ถ้าลองค้นหาชื่อของหนุ่ม “อาร์ต-อิทธิโชติ สะสมทรัพย์” ผ่านกูเกิล คุณอาจจะได้รู้จักเขาเพียงผิวเผินในฐานะทายาทนักการเมืองดังอย่าง ไชยา สะสมทรัพย์ หรืออาจรู้จักเขาในฐานะทายาทหมื่นล้านที่มีหวานใจเป็นคนในวงการ แต่บทสัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟชิ้นนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับตัวตนของหนุ่มหล่อที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
อาร์ตเริ่มเข้ามาชิมลางช่วยคุณแม่บริหารธุรกิจขายกรวดและทราย ควบคู่ไปกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกับกำลังซุ่มเรียนต่อปริญญาโท ซึ่งเขาหมายมั่นว่าจะต้องเรียนให้จบภายในปีนี้
“ผมเข้ามาช่วยคุณแม่ดูภาพรวมของทั้งสองธุรกิจครับ แล้วก็เรียนโทไปด้วย ตอนนี้เทอมสุดท้ายแล้วครับ ผมเลือกเรียนต่อปริญญาโทด้านการสื่อสารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะชอบภาษาเป็นทุนเดิม คิดว่าจะเป็นประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจ
อย่างตอนที่เรียนปริญญาตรีผมก็เลือกเรียนคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เพราะไม่ว่าอย่างไรภาษาอังกฤษก็ยังเป็นภาษาหลักของโลก และจำเป็นมากๆ สำหรับการทำธุรกิจ หลายคนอาจจะมองว่าภาษาจีนก็มาแรง ซึ่งผมไม่เถียง แต่จากประสบการณ์สมัยเรียนไฮสกูลที่อังกฤษ ผมเห็นว่าเพื่อนๆ ที่เป็นคนจีนหลายคนก็พูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี เลยมองว่าในอนาคตถ้าอยากติดต่อกับคนจีนก็ใช้ภาษาอังกฤษได้เหมือนกัน” อาร์ตเริ่มต้นอัปเดตสเตตัสอย่างออกรส ก่อนเสริมว่า
“ผมเองถึงจะไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่เด็ก หลายคนอาจจะมองว่าภาษาก็น่าจะดีอยู่แล้ว จริงๆ ก็ต้องบอกว่าถูกครับ ช่วงที่เรียนที่โน่นผมก็ได้ซึมซับสำเนียงแบบคนอังกฤษมา แต่พอกลับมาเรียนที่ไทย ถึงจะมีพื้นฐานสื่อสารได้คล่อง ไม่ติดขัด แต่สำเนียงอาจจะไม่ได้เป๊ะเหมือนเจ้าของภาษา ผมก็เลยพยายามไม่ทิ้งและศึกษาเพิ่มเติม”
ถามว่าในเมื่อเลือกเรียนเกี่ยวกับภาษามาตลอด แล้วหมายมั่นอยู่แล้วหรือไม่ว่าวันหนึ่งจะมาสวมบทนักธุรกิจ อาร์ตตอบว่าไม่ขนาดนั้น เพราะถ้าพูดถึงอาชีพในฝัน เขาก็ไม่ต่างจากเด็กผู้ชายอีกหลายๆ คนที่ฝันว่าอยากจะเป็นตำรวจ เพราะดูเท่ คุณพ่อเองก็เคยอยากให้เป็นนักการเมือง
“แต่ผมคิดว่าผมอาจจะไม่ใช่สายนั้น เลยเบนเข็มมาทางสายนักธุรกิจเหมือนคุณแม่มากกว่า ซึ่งผมเอง ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเล็ก มีพี่สาวสองคน ก็คิดมาตลอดว่าถ้าเรียนจบก็อยากมาช่วยแบ่งเบาคุณแม่ ตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรีผมก็เริ่มเข้ามาช่วยคุณแม่ เพราะถึงจะเรียนปริญญาโทก็เรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ วันธรรมดาก็ยังทำงานได้ แต่ที่ผ่านมายังไม่ได้มีโอกาสไปลองหาประสบการณ์การทำงานอื่น”
แน่นอนว่าโลกของการทำงานก็ไม่ได้เหมือนอย่างที่คิดไว้ “หลายอย่างเลยครับที่ไม่เหมือน ยิ่งมาเจอโควิด-19 จากเดิมที่คิดว่างานเราจะได้ใช้ภาษา เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ลูกค้าเราส่วนใหญ่เป็นคนไทย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ถือโอกาสเตรียมพร้อมไปก่อน ถ้าสถานการณ์ดีขึ้นเมื่อไหร่คงจะมีโอกาสต่อยอดธุรกิจไปประเทศเพื่อนบ้าน และได้ใช้ภาษาจริงๆ”
นอกจากอยากต่อยอดทักษะภาษาอังกฤษ อีกแรงผลักดันที่ทำให้อาร์ตตั้งใจเรียนปริญญาโททั้งที่เขาออกปากว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นเด็กเกเร และเคยคิดว่าจะเรียนไม่จบปริญญาตรีด้วยซ้ำ เพราะอยากพิสูจน์ตัวเองและทำให้คุณแม่ภูมิใจ
“ผมเป็นลูกที่เกเรครับ เกเรระดับที่ทำให้คุณแม่ผิดหวัง เสียใจมาหลายรอบ ไม่คิดว่าตัวเองจะเรียนจบปริญญาตรีมาได้ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เพราะผมก็ไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่งเหมือนเพื่อนๆ อาศัยถูๆ ไถๆ มา แต่ก็เรียนจนจบมาได้ด้วยเกรดเฉลี่ย 3 กว่า ก็ถือว่าโอเค มาถึงตอนที่จะเรียนโท อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะครับ ผมไม่ได้ดูถูกคนที่จบปริญญาตรีนะครับ ผมแค่คิดเผื่อว่าถ้าวันหนึ่งผมต้องมาเป็นหัวหน้าที่มีลูกน้องเรียนจบปริญญาโทกันหมด ผมก็กลัวว่าจะไม่มีความรู้มากพอ หรือลูกน้องจะตั้งคำถามว่า ผมจะเอาอะไรมาสอนหรือแนะนำเขา พอคิดแบบนี้ผมเลยอยากเรียนโท และคิดว่าถ้าจบใบนี้แล้วยังมีเวลา ไม่ต้องรีบมาช่วยสานต่อธุรกิจ ผมยังอยากไปเรียนปริญญาโทอีกใบ แต่คราวนี้อาจจะไปต่อที่ต่างประเทศ”
นอกจากจะเตรียมความพร้อมด้วยการสั่งสมความรู้ อาร์ตยังเสริมด้วยว่า ในฐานะทายาทที่เข้ามาสานต่อธุรกิจของคุณแม่ ก็ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายไม่น้อย
“คนส่วนใหญ่มักคิดว่ารุ่นลูกมักทำได้ไม่ดีเท่าที่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ทำไว้ ผมไม่เถียงนะครับ แต่ถือคติว่ายิ่งเราผิดพลาดตรงไหน เรายิ่งต้องเอามาพัฒนา พยายามเรียนรู้จากคุณแม่และพี่สาวให้มากที่สุด โดยเฉพาะการบริหารทีมในช่วงที่เจอวิกฤตแบบนี้ต้องรับมืออย่างไร ถามว่ามีแผนอยากทำธุรกิจของตัวเองหรือไม่ วันนี้ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีความรู้ไม่แน่นพอที่จะสร้างธุรกิจของตัวเอง คงต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อน”
แม้จะออกตัวว่ายังไม่พร้อม แต่ถ้าให้ลองจินตนาการว่าอยากทำธุรกิจแนวไหน อาร์ตตอบได้เลยว่า ด้วยความที่เป็นคนชอบความเร็ว เคยคุยกับคุณแม่ว่าอยากนำเข้ารถมาขาย เพราะมองว่าถ้าได้มีโอกาสทำธุรกิจที่ชอบคงจะมีความสุขไม่น้อย แต่อย่างที่บอกคงไม่ใช่เร็วๆ นี้
มาถึงไอดอลในการทำงาน อาร์ตยกให้คุณแม่ ซึ่งเป็นหญิงแกร่งที่หนึ่งในใจ
“สำหรับผม คุณแม่เป็นทั้งเพื่อน พี่ ที่ปรึกษา เป็นทุกอย่าง คุณแม่จะคอยให้คำแนะนำ ตักเตือนในหลายๆ เรื่อง ผมชอบคุณแม่ที่เป็นผู้หญิงค่อนข้างสตรอง ออกจะแมนๆ เพราะเขามีลูกน้องเยอะ เป็นแนวกล้าได้กล้าเสีย เวลาสอนคุณแม่จะไม่ได้เน้นสอนเป็นคำพูด แต่ทำให้ดู เวลาที่มีอะไรพลาดไป คุณแม่จะบอกว่า สิ่งที่เสียไปแล้วเราย้อนกลับไปแก้ไม่ได้ แต่เราทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ คุณแม่เป็นคนเลี้ยงลูกแบบให้อิสระ ปล่อยให้ไปเผชิญชีวิต เมื่อไหร่ที่ล้มก็ค่อยกลับมาหาเขา เพราะไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหน ต่อให้มีครอบครัวหรือเรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่คุณแม่ก็มองว่าลูกทุกคนยังเป็นเด็กเสมอ”
ไหนๆ ก็เกริ่นถึงความหลงใหลในความเร็วมาแล้ว เลยถือโอกาสชวนคุยถึงไลฟ์สไตล์วันว่างและความชอบส่วนตัว อาร์ตบอกว่า นอกจากจะชื่นชอบพวกซูเปอร์คาร์ อีกหนึ่งงานอดิเรกที่ชอบมากคือ การเล่นกอล์ฟ
“ผมเล่นมาตั้งแต่ 10 ขวบครับ สมัยเด็กคุณพ่อบังคับให้เล่น แต่ผมก็เกเร ไม่ค่อยอิน จนได้กลับมาเล่นอีกครั้งตอนโต รู้สึกว่าชอบ รู้สึกว่าเป็นกีฬาที่ได้ฝึกสมาธิ เวลาตีในหัวต้องว่างเปล่าใจต้องนิ่ง ผมคิดว่าการเล่นกอล์ฟเหมือนเป็นการฝึกสติที่ดีอย่างหนึ่ง แต่ช่วงนี้อาจจะต้องพักก่อนเพราะด้วยสถานการณ์โควิด-19”
นอกจากเล่นกอล์ฟ ถ้าไม่ติดว่าเป็นช่วงโควิด-19 ระลอก 3 อาร์ตจะเข้ายิมเป็นประจำ ไปเล่นเวต คาร์ดิโอ แต่พอไปไม่ได้ ก็ต้องอาศัยคาร์ดิโอด้วยการเดินบนลู่เพื่อรักษาหุ่น
“ผมเป็นสายชอบกิน ถ้ามีร้านไหนเปิดใหม่ต้องไปลอง ยิ่งถ้าไปเที่ยวต่างประเทศ ผมต้องลิสต์ไว้เลยว่าจะไปร้านไหนบ้าง แต่ถ้าเป็นคาเฟ่ไม่ค่อย เพราะผมดื่มแต่กาแฟดำ และไม่ได้เป็นสายที่ศึกษาเรื่องเมล็ดกาแฟเยอะ เลยไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่าง ปกติคุณแม่ผมจะจัดทริปครอบครัวทุกปี ประเทศที่ผมชอบที่สุดคือ ฝรั่งเศส นอกจากอาหาร อากาศที่เย็นสบาย ผมชอบภาษาของเขา ถึงฟังไม่ออกก็ยังรู้สึกว่าเพราะอยู่ดี เมืองที่ชอบก็คือ ปารีส สมัยเรียนที่อังกฤษ ถ้าคุณแม่มาเที่ยวยุโรปผมก็จะนั่งรถไฟมาหา เป็นประเทศที่ไปกี่ครั้งก็ชอบ ส่วนตัวผมเที่ยวได้หมด ไม่ว่าจะไปชอป ไปผจญภัย หรือเที่ยวแนวธรรมชาติครับ”
ปิดท้ายด้วยสไตล์การแต่งตัว อาร์ตนิยามการแต่งตัวของตัวเองว่าเป็นแนวสมาร์ท แคชชวล
“ผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อรองเท้า เวลาคุยงาน ถ้าไม่สวมรองเท้าหนังก็จะใส่ผ้าใบ แต่ถ้าเป็นเวลาชิลๆ ผมชอบใส่รองเท้าแตะ มีที่สลับใส่อยู่ถึง 4 คู่ เพราะรู้สึกว่าใส่สบาย ไม่อับเท้า ผมเป็นคนให้ความสำคัญต่อรองเท้า เพราะมองว่าเสื้อผ้าจะดูดีหรือไม่อยู่ที่เราแต่ง ไม่จำเป็นต้องแบรนด์เนมทั้งตัว แต่รองเท้าต้องดูดี เป็นหนึ่งในแอ็กเซสซอรีสำคัญของผู้ชาย นอกเหนือจาก นาฬิกา ซึ่งผมก็ชอบ แต่ไม่ได้ซื้อเพื่อลงทุน ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อใส่จริงๆ” อาร์ตทิ้งท้าย