ไม่ใช่ทุกคนที่เมื่อเจอคำถามว่าอะไรคือแพสชันในชีวิต? แล้วจะสามารถตอบได้อย่างฉะฉาน แต่สำหรับ “ชาลี สมุทรโคจร” ลูกชายคนเก่งของ “กมลดิษฐ สมุทรโคจร และวงดาว ถนอมบูรณ์เจริญ” เขาคือหนึ่งในผู้โชคดีที่สามารถค้นพบแพสชันของตัวเองที่มีต่อกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เด็ก และรู้ตัวว่ามีความสนใจด้านการตลาดมาตั้งแต่เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ฟังดูอาจเป็นสองขั้วที่ไม่น่าจะบรรจบกันได้ แต่สำหรับชายหนุ่มที่แน่วแน่กับแพสชันของตัวเอง เขาสามารถเดินตามความฝันด้วยการเป็นนักเตะของสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด (เดิมชื่อ บางกอกกล๊าส เอฟซี) ถึง 3 ปี ก่อนจะแขวนสตั๊ดชั่วคราวมาเสริมทัพธุรกิจครอบครัว อย่าง ซีเจ เอ็กซ์เพรส กรุ๊ป ซึ่งหลายคนอาจคุ้นหูในชื่อ “ซีเจ ซูเปอร์มาร์เก็ต” โดยนำความรู้มาช่วยในการพัฒนาโปรเจกต์ใหม่ๆ
“ผมเริ่มต้นจากการเข้ามาดูแลโปรเจกต์ CSR ให้กับทางคาราบาวแดง ซึ่งตอนนั้นมีโครงการร่วมมือกับ สโมสรเชลซี (Chelsea) พอดีเลยเข้าทางผมเพราะมาสายฟุตบอลอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็มาช่วยทางซีเจดันยอดขายให้กับร้านสาขาต่างๆ ที่อาจจะยอดตกหรือยอดขายไม่ดีทั้งที่มีศักยภาพ ด้วยการทำมาร์เกตติ้ง ล่าสุดผมเข้ามาช่วยทำโปรเจกต์ ซีเจ มอร์ ฟู้ด ฮอลล์ ตั้งแต่เริ่ม ซึ่งมีการพัฒนา ปรับปรุง และแก้ปัญหาตลอด เรียกได้ว่าแทบไม่ได้นั่งโต๊ะทำงานเลยเพราะต้องลงมาคลุกคลีที่หน้างาน เวลาร้านอาหารร้านไหนมีปัญหาผมเข้าไปช่วย แม้แต่ไม้กวาดหาย จานหาย ก็ไปช่วยหา” ชาลีเปิดฉากอัปเดตบทบาทใหม่อย่างออกรสก่อนเสริมว่า
“ส่วนตัวผมชอบด้านการตลาดอยู่แล้ว ตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ผมเลือก มหิดล ที่เดียวเลย ส่วนหนึ่งอาจจะซึมซับมาจากคุณพ่อที่ทำงานด้านนี้ จำได้เลยว่าผมเป็นคนขี้สงสัย ตอนเด็กๆ เวลาเห็นโฆษณาคาราบาวก็จะถามคุณพ่อไปเรื่อย คุณพ่อก็จะอธิบายให้ฟัง พอมาเรียนยิ่งอิน อาจารย์สอนอะไรก็เก็ตได้เร็วไม่ต้องอธิบายเยอะ อีกเหตุผลที่ผมชอบการตลาดเพราะเป็นศาสตร์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่เหมือนการเงิน มีสูตรเป๊ะๆ แต่การตลาดไม่มีผิดหรือถูก อยู่ที่ว่าทำอะไรแล้วดีหรือไม่ดี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์ เราเข้าใจมันหรือเปล่าว่าจะเอามาใช้อย่างไร ส่วนตัวผมไม่ชอบอ่านหนังสือ ชอบการเรียนรู้ แต่ไม่ชอบการนั่งเรียนในห้องหรือการสอบ ผมชอบคุยกับคน เพราะเชื่อว่าคนเราแต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้และเอามาปรับใช้อย่างไร”
อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นว่าแพสชันของชาลีมี 2 อย่าง ดังนั้น ในวัยเรียนเขาเลือกทำในสิ่งที่รักและเรียนในสิ่งที่ชอบ จนเมื่อเรียนจบเขาเลือกใช้ชีวิตตามเส้นทางที่ฝันด้วยการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
“ผมเตะบอลมาตั้งแต่ 3 ขวบ มีแค่ช่วงที่ไปเรียนไฮสกูลที่ Mount Albert Grammar School นิวซีแลนด์ ที่ห่างหายไป เพราะพอไปเรียนต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องปรับตัวหลายอย่าง จนกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ไทย ผมเป็นนักกีฬามหาวิทยาลัย ไปแข่งขันและคว้าแชมป์ในรายการต่างๆ ผมเชื่อว่าเด็กๆ หลายคนมีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอล แต่ปัญหาคือไม่กล้าจะทำให้ฝันเป็นจริง ผมมองว่าข้อดีของการเล่นกีฬานอกจากจะทำให้สุขภาพดี ยังฝึกความมีวินัย อย่างเวลาที่มีนัดซ้อมตอน 7 โมงเช้าที่รังสิต ปทุมธานี ด้วยความที่บ้านผมอยู่แถวราชดำริ ก็ต้องตื่นตีห้า อาบน้ำ เตรียมตัวไปซ้อม
นอกจากจะโชคดีได้เดินตามความฝัน ครอบครัวยังไม่เคยบังคับว่าต้องทำงานอะไร แต่สนับสนุนในเส้นทางที่ชาลีเลือกมาตั้งแต่เด็ก และถ้าถามว่าในฐานะคอบอลเขามีทีมไหนเป็นทีมโปรด ชาลียกให้ทีมชาติฝรั่งเศส และทีมอาร์เซนอล เพราะมีนักเตะในดวงใจคือ อองรี ตำนานดาวยิงอาร์เซนอล ซึ่งตอนนี้เกษียณไปเป็นโค้ชแล้ว
“คุณพ่อผมไม่เตะบอลแต่ชอบดูบอล ตั้งแต่เด็กคุณพ่อจะไปรับ-ส่ง พาผมไปซ้อมฟุตบอล อย่างจันทร์-ศุกร์ ซ้อมหลังเลิกเรียน พอเสาร์-อาทิตย์ก็ไปส่งเรียนกับอะคาเดมีต่างๆ วันละ 3 ที่ เช้า กลางวัน ค่ำ จนพอเรียนจบ ผมมาเป็นนักฟุตบอล ทางบ้านก็ให้อิสระ อาจจะมีคุณแม่ที่เป็นห่วง เพราะเห็นว่าเจ็บบ่อย เคยถึงขั้นต้องผ่าตัด”
3 ปีกับการเดินตามความฝัน ชาลีบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี เขาได้รับมิตรภาพจากเพื่อนใหม่ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ
“ด้วยธรรมชาติเราเป็นเด็กเมือง โตมากับสังคมแบบคนเมือง พอมาอยู่กับเพื่อนร่วมทีม หลายคนมาจากต่างจังหวัด ซึ่งสารภาพตามตรงว่าที่ผ่านมาผมอาจจะไม่ค่อยได้เข้าถึง หรือมีเพื่อนที่มาจากต่างจังหวัดมากนัก ช่วงแรกๆ ที่มาร่วมทีมเลยได้เห็นมุมมองใหม่ๆ มากมาย ผมไม่เรียกว่า Culture Shock นะ แต่เป็นโอกาสที่ทำให้ผมได้เรียนรู้คนใหม่ๆ อยู่ด้วยแล้วก็มีความสุขอีกแบบ เพราะบางคนก็มีความสุขกับสิ่งง่ายๆ แค่ได้เตะบอลก็พอแล้วไม่คิดอะไรมาก อยู่ๆ กันไปผมก็ซึมซับนะ บางวันก็กลับมาบ้านมาฟังเพลงอีสานหมอลำตาม”
กระทั่งเมื่อหมดสัญญากับทางสโมสร ชีวิตที่เคยมีกีฬาเป็นลมหายใจของชาลีมีอันต้องพลิกผัน “ตอนแรกผมคิดว่าจะหาทีมใหม่ แต่หลังจากคิดแล้วคิดอีก ผมเลือกที่จะแขวนสตั๊ดชั่วคราว เพราะต้องบอกก่อนว่า ชีวิตนักฟุตบอลไทยไม่แน่นอน ฐานเงินเดือนไม่สูง ไม่เหมือนกับต่างประเทศที่อาชีพนี้ค่อนข้างมั่นคง เงินเดือนดี ถามว่าเสียดายมั้ย ก็เสียดายนะ ทุกวันนี้ก็ยังมีเพื่อนร่วมทีมเก่าชวนไปเตะ แต่งานตรงนี้ก็ยุ่งมาก บวกกับบริษัทก็ให้ความสำคัญต่อผม เลยขอทำงานตรงนี้ให้ดีก่อน ส่วนอนาคตจะกลับไปเตะอีกหรือไม่ค่อยว่ากัน”
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งผลพลอยได้จากทีมฟุตบอลคือ ใครจะคิดว่าเพื่อนกลุ่มนี้จะเป็นประตูบานสำคัญที่ทำให้ชาลีเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของบริษัทมากขึ้น เมื่อวันหนึ่งตัดสินใจผันตัวมาทำงานที่คาราบาวและซีเจ
“จริงๆ พวกเขาก็คือหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเรา การได้ไปใช้ชีวิตกับพวกเขาเลยทำให้เข้าใจลูกค้าของเรามากขึ้นว่าเขาคิดอย่างไร ต้องการอะไร เชื่อมั้ยผมเคยพาทีมเข้าซีเจ ฟังคอมเมนต์ ได้ไอเดียดีๆ กลับมา จากตอนแรกไม่ค่อยเข้าใจพวกกลุ่มเป้าหมาย พออยู่กับเขา เข้าใจมากขึ้น เห็นอะไรก็เก็ตง่าย
สำหรับการเข้ามาสานต่อธุรกิจในช่วงโควิด-19 ทำให้ต้องเจอโจทย์หินกว่าเก่าหรือไม่ ชาลีบอกว่า โชคดีที่โควิด-19 มาแต่ธุรกิจยังรันต่อไปได้ อาจจะมีเพิ่มเรื่องมาตรการความปลอดภัย การรักษาระยะห่าง ขณะเดียวกัน บริษัทยังเพิ่งเปิดตัวซีเจ มอร์ ปฏิวัติวงการค้าปลีก ด้วยการเป็นมากกว่าซูเปอร์มาร์เกต และร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยชาลีเข้ามาดูแลในส่วนของ ซีเจ มอร์ ฟู้ดฮอลล์
“การที่ได้มาทำ ซีเจ มอร์ ฟู้ดฮอลล์ ทำให้ผมโตขึ้นมากๆ ได้เรียนรู้หลายอย่าง เพราะเป็นโปรเจกต์ที่ต้องประสานงานกับแทบจะทุกฝ่ายในบริษัท ทำให้รู้จักทุกคนในบริษัท เรียนรู้ว่าแต่ละฝ่ายทำงานอย่างไร เพราะวิธีประสานงานกับแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีวิธีคุยไม่เหมือนกัน จะคุยอย่างไรให้ได้งานตามเดดไลน์ที่กำหนดเพื่อไม่ให้แผนงานรวนไปหมด ฝึกความมั่นใจ ความกล้า และการตัดสินใจที่เด็ดชาด จริงๆ ผมก็มีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งมาตั้งแต่เด็ก แต่เราไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด เราไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ”
ปิดท้ายด้วยไลฟ์สไตล์วันว่างของสปอร์ตแมน ชาลียอมรับว่าเป็นสายกิน แต่ต้องพยายามหักห้ามใจ เพราะกลัวอ้วน ยิ่งช่วงนี้ไม่ได้เตะบอลเหมือนเก่า เลยต้องหันมารักษาหุ่นให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม ด้วยการว่ายน้ำ เข้าฟิตเนส ถ้ามีวันว่างเขาเลือกที่จะอยู่บ้านผ่อนคลาย เล่นเกม ดูหนัง ใช้เวลากับคนรัก นานๆ ครั้งจะออกไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง
ถามถึงแผนการในอนาคต ชาลีแบ่งเป็น 2 ภาพ ภาพแรกคือ อนาคตในหน้าที่การงาน “ผมอยากให้ซีเจเป็นซูเปอร์มาร์เกตที่โด่งดังและดีที่สุดที่คนไทยไว้วางใจได้ ผมเชื่อว่าซีเจยังเติบโตไปได้อีกไกลมาก ยิ่งเห็นแผนอนาคตของซีเจ ผมยิ่งค่อนข้างมั่นใจว่าจะมีทิศทางที่ดีมาก”
ส่วนตัวเขาเอง ตอนนี้ขอทุ่มเทให้กับงานตรงหน้า “อย่างที่บอกผมไม่ชอบเรียน (หัวเราะ) ตอนสอบวันสุดท้ายที่มหิดลเสร็จ ผมบอกตัวเองว่าจะไม่เข้าห้องสอบอีกต่อไป แต่ก็ไม่แน่นะครับ ถ้าวันหนึ่งผมตัดสินใจเรียนต่ออีกครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นคอร์สเกี่ยวกับการบริหารทีมฟุตบอล ซึ่งที่อังกฤษมีเปิดสอน หรืออาจจะเป็นคอร์สที่เรียนเกี่ยวกับเรื่องสรีระ กายวิภาค เวลาเตะบอลมาแล้วบาดเจ็บจะได้รู้ว่าต้องดูแลอย่างไร เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตของผมคือ ฟุตบอล ไม่ว่าจะเตะบอล ดูบอล เล่นเกมก็ยังเล่นเกมฟุตบอล ผมไม่มีวันทิ้งฟุตบอลแน่นอน” ชาลีทิ้งท้าย