ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ดูแลแบรนด์ระดับโลก อย่าง “เฟอร์รารี” ในประเทศไทย แถมพ่วงความคูลด้วยการเป็นเอ็มดีหญิงคนแรกและคนเดียวในเอเชียของเฟอร์รารี่ ฉะนั้น เรื่องของความหรูหรา คลาสสิก ไว้ใจ “บิ๋ง-นันทมาลี ภิรมย์ภักดี” ได้เลย! เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว และการดูแลตัวเอง สาวนักบริหารคนนี้ ใส่ใจลงรายละเอียดทุกเรื่อง! แต่วันนี้เราไม่ได้จะพาทุกคนไปเทสต์ (Test) รถ หากแต่เราจะพาไปรู้จักกับเทสต์ (Taste) หรือรสนิยมสุดคลาสสิกของ “มาดามบิ๋ง” ที่นุ่มละมุนผสานอยู่ในความแข็งแกร่งของแบรนด์ลักชัวรี อย่างเฟอร์รารีได้เป็นอย่างดี
“เราร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเฟอร์รารีมาแล้ว 11 ปี อยากให้ทุกคนรู้จักเฟอร์รารีมากกว่าความเป็นซูเปอร์คาร์ เป็นรถที่เร็ว แรง ทรงพลัง...ความจริงแล้วเฟอร์รารีเป็นลักชัวรีแบรนด์ ที่เคยได้รางวัล Most Powerful Brand in The World ถึง 2 ปีซ้อน สิ่งที่เรามอบให้มากกว่าเรื่องการขายและดูแลรถยนต์ก็คือ ประสบการณ์ที่ทุกคนจะได้รับจากเฟอร์รารี ข้อดีของการเป็นผู้บริหารผู้หญิงคือ เราจะใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้มาก เช่น โชว์รูมของเฟอร์รารีทุกที่ จะมีมู้ดแอนด์โทนเหมือนกัน แต่เราก็เติมเรื่องของรายละเอียดอื่นๆ เข้าไป เช่น เรื่องของการบริการ ดอกไม้ กลิ่นหอม ของว่างที่ทำให้โชว์รูมดูอบอุ่นขึ้น... ด้วยความที่เป็นผู้หญิงที่มาบริหารแบรนด์นี้ เราใส่ใจเองทุกรายละเอียด กระทั่งคำกล่าวเวลาที่มีงาน ก็จะเขียน speech เอง อยากให้เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจเราจริงๆ หรือทุกครั้งที่จัดดินเนอร์ให้ลูกค้า ก็จะเป็นคนเลือกเมนูอาหารเอง โดยเอามาจากไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของเรา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของการทำลักชัวรีแบรนด์”
การเป็นผู้บริหารแบรนด์หรูที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคโควิด ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ท้าทายและยิ่งต้องใส่ใจมากขึ้น จนทำให้เกิดความภาคภูมิใจครั้งล่าสุด ที่เธอต้องจัดงานเปิดตัวท่ามกลางกฎระเบียบมากมายในช่วง Social Distancing
“ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เรามีการจัดงานให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แต่ตั้งแต่มีสถานการณ์โควิด-19 เราก็จัดเป็นงานเล็กๆ และอยู่ภายใต้มาตรฐานที่ดีเพื่อป้องกันเชื้อโรค เป็นการจัดงานการแถลงข่าวผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นการให้ความรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับเฟอร์รารี จนมีคนเข้าดูเกือบถึง 1 แสนคน เรียกว่าเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งสำหรับยุคดิจิทัล”
ในฐานะผู้บริหารหญิงคนดังแห่งเอเชีย การที่เธอจะยืนอย่างโดดเด่นสง่างามนั้น ก็ต้องมีการดูแลภาพลักษณ์ตัวเองอย่างดีด้วย โดยมาดามบิ๋งได้พูดถึงเรื่องการดูแลภาพลักษณ์ว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลตัวเอง
“การที่จะแต่งตัวออกมาดูดีได้ เราต้องมีรูปร่างดี ผิวพรรณดี บอกเลยว่าเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาก ชอบนวดหน้าตั้งแต่วัยรุ่น ออกกำลังกาย ดูแลรูปร่างตัวเองตั้งแต่สมัยเรียนที่อังกฤษ กลายเป็นนิสัยที่รักการดูแลตัวเองมาตลอด กระทั่งติดมาดูแลทุกคนในครอบครัวด้วย เดี๋ยวนี้มีเครื่องออกกำลังกายที่บ้าน เลยได้เล่นบ่อยขึ้น การออกกำลังกายทำให้สารเอนโดรฟินหลั่ง ช่วยให้เราผ่อนคลายและหลับสบาย
นอกจากการดูแลตัวเองเรื่องรูปร่างและผิวพรรณ ที่มาเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ในเรื่องของการแต่งตัวก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความน่าเชื่อถือในหลายๆ สถานการณ์
“ตั้งแต่เล็กจนโตชอบแต่งตัวสไตล์มิกซ์แอนด์แมตช์ พยายามหาอะไรที่ชอบและเหมาะกับตัวเอง จะไม่เลือกอะไรที่แฟชั่นจัด ชอบแบบเรียบๆ แล้วเปลี่ยนเครื่องประดับ และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแบรนด์เนมเท่านั้น แต่ถ้าเป็นแบรนด์เนมจะเลือกแบบที่เป็นการลงทุน... การลงทุนหมายความว่าไม่ได้ใส่แค่หนเดียว แต่ต้องใส่ได้ในระยะยาว มองขนาดว่า ลูกสาว (น้องบีม-วรณัน) สามารถเอาไปใส่ได้ในอนาคตอีกด้วย (หัวเราะ)
เครื่องประดับที่ชอบก็เป็นพวกวินเทจ ต่างหู หมวก กิ๊บติดผมบ้างตามเทรนด์แฟชั่น แต่เสื้อผ้าต้องอยู่ได้นาน หรือกระเป๋าจะซื้อก็ต้องดูว่าให้ใช้ได้ถึงลูกสาว อย่าง ช่วงนี้ลูกๆ กำลังเป็นวัยรุ่น เขาก็จะชอบแบรนด์ Off-white, Givenchy พอไปชอปปิ้งกับเขา เห็นว่าเท่ดีก็เลยซื้อตามลูก คุณพ่อก็ใส่รองเท้าผ้าใบแบรนด์เดียวกับลูก บางชิ้นบิ๋งซื้อมาก็แบ่งกันใส่กับลูกสาวได้ เพราะช่วงวันหยุดหรือวันไปเที่ยว เราก็จะแต่งตัววัยรุ่นหน่อย ใส่เสื้อยืดบ้าง ขาสั้นบ้าง สบายๆ สนุกกับการมิกซ์แอนด์แมตช์”
แม้จะมองบางไอเท็มว่าเป็นการลงทุน แต่ไอเท็มที่อดใจได้ยากสำหรับมาดามบิ๋งก็คือ กระเป๋าใบน้อยๆ ที่อาจจะราคาไม่ได้สูงแต่มักจะเป็นของหายาก ที่ยวนใจให้เธออยากสะสม
“มีของที่ชอบสะสมอยู่อย่างหนึ่งคือ กระเป๋าใบเล็กๆ แต่หายาก อย่าง มินิโทสของ ดิออร์ (Dior), หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) ใบเล็กๆ แต่ละใบราคาอาจจะไม่ได้สูงแต่เป็นของหายาก เป็นความน่ารักที่เราสะสมไว้ และมักจะหยิบมาใช้เป็นพร็อพชิ้นเล็กๆ ในการแต่งตัวของเราด้วย แต่สำหรับกระเป๋าทำงานในชีวิตประจำวันจะใช้ใบเดิมๆ ที่สามารถใส่ของได้ทุกอย่างในชีวิตการทำงานประจำวันของเราได้”
มาถึงตรงนี้ทำให้เรานึกถึงคำพูดหนึ่งของมาดามบิ๋ง ที่พูดถึง “เฟอร์รารี” ในขณะที่พาเราเดินชมโชว์รูมว่า “เฟอร์รารีทุกรุ่นไม่มีเก่า ทุกรุ่นคือความคลาสสิก Timeless” ซึ่งคำนิยามนั้นก็เปรียบได้เหมือนกับสไตล์การแต่งตัวของเธอที่คลาสสิก ดูได้ไม่มีเบื่อกันเลยทีเดียว!