เรียกได้ว่าไม่ว่าจะธุรกิจไหนๆ ก็ต่างได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 กันอย่างทั่วหน้า แต่ถ้าให้จัดไล่เรียงอันดับของวงการที่กระทบหนักที่สุด เชื่อได้ว่าสายงาน Hospitality อย่าง ธุรกิจโรงแรม ต้องติดอยู่ใน TOP3 อย่างไม่ต้องสงสัย ก็ทั้งไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีการเดินทาง แถมโดนสั่งปิดร้านอาหาร ทำเอาโรงแรมทั้งหลายที่ต้องดูแลพนักงานหลักร้อยหลักพันต้องหาทางปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางการดำเนินงานครั้งนี้ที่ไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร
เราจึงได้เห็นบรรดาเครือโรงแรมต่างๆ สรรหากลยุทธ์ ปรับเปลี่ยนการนำเสนอบริการ และหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ มาเป็นทางออก ที่เห็นชัดที่สุดก็น่าจะไม่พ้นจากการที่เสริมบริการดีลิเวอรีอาหารเมนูรสเลิศต่างๆ จากที่ปกติจัดเสิร์ฟแบบสไตล์ไฟน์ไดนิ่งในห้องอาหารสุดหรูในโรงแรม มาบรรจุลงกล่องส่งถึงประตูบ้านในราคาแสนพิเศษ
ส่วนใครที่ครีเอทขึ้นมาหน่อยก็เสริมบริการซัก-รีด รับทำความสะอาดเสื้อผ้าแบบรับส่งถึงหน้าประตู แต่กลยุทธ์การตลาดที่ดูจะเข้ากับกระแสที่สุด ก็มีทั้งแบบ CSR แนวเพื่อสังคมที่เปิดโรงแรมให้แก่บุคลากรการแพทย์เข้าพักกันแบบฟรี ซึ่งอาจจะไม่ได้ในส่วนของเม็ดเงิน แต่ได้เสียงปรบมือ และได้ชื่อเสียงที่สร้างความประทับใจ ต่อยอดสู่การที่หลายๆ คนจดลิสต์ไว้ในใจว่าจะต้องเข้าใช้บริการหลังหมดวิกฤต หรือบางแห่งก็ปรับตัวไปร่วมมือกับทางภาครัฐ เปิดให้เป็นสถานที่กักตัวสำหรับกลุ่มเสี่ยง หรือไม่ก็ปรับเปลี่ยนสถานที่ห้องพักให้กลายเป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราว ช่วยเพิ่มปริมาณเตียงการรองรับผู้ป่วยในการรักษาได้ สำหรับผู้ติดเชื้อที่อาจจะไม่ได้มีอาการป่วยร้ายแรง หรือเพียงแค่เฝ้าดูอาการ
อย่าง โรงแรม มูเวนพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท กรุงเทพ ที่ร่วมกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จัดแพ็กเก็จ “14 Days Health Watch” เปิดห้องให้เข้าพัก 14 วัน ในราคา 50,000 บาท สำหรับคนที่มีการกังวลใจหรือมีภาวะเสี่ยงสำหรับกักตัวดูอาการ โดยในแพกเกจนอกจาจะมีห้องพักแบบสวีทขนาดกว้างขวางพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมอาหาร 3 มื้อแล้ว ยังมีบริการตรวจสุขภาพ ตรวจหาโควิด-19และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยบุคลากรการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลกรุงเทพ
และอีกหนึ่งทางเลือกที่ดูจะได้รับความนิยมสุด คือ การเปิดให้เข้าพักสำหรับคนที่อยากกักตัวเองให้แยกห่างจากคนในครอบครัว เพราะบางคนยังต้องทำงานอยู่ต้องเดินทางออกนอกบ้านทุกวันก็เกรงว่าตนเองจะกลายเป็นพาหะที่นำความเสี่ยงต่อการติดโรคไปสู่คนที่บ้าน อย่างพ่อแม่ ผู้สูงวัย ก็เลยเลือกที่จะพักในโรงแรมแทน ซึ่งโรงแรมดังทั้งหลายก็ตอบสนองความต้องการนี้ด้วยการออกโปรโมชันลดราคาห้องพักลงเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เปิดโอกาสให้คุณได้พักห้องหรูหรา บริการสะดวกสบาย มาตรฐานระดับห้าดาวได้ในราคาถูกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ส่วนอีกหนึ่งทางรอดของโรงแรม คือ การโปรโมตให้คน หันมา WORK FORM HOTEL แทนการ WORK FROM HOME บริการให้เช่าเปลี่ยนบรรยากาศ แก้เบื่อการนั่งทำงานที่บ้าน เปลี่ยนมาเป็นมานั่งทำงานที่โรงแรมแทน โดยนอกจากสถานที่จะสะอาด เรียบหรู งดงามแล้ว ยังมีโต๊ะทำงานนั่งสบาย แอร์เย็นๆ สัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการเสิร์ฟอาหารมื้อหลักและมื้อว่าง รวมอยู่ในแพ็กเก็จด้วย ซึ่งโปรโมชั่นให้เช่าห้องพักในช่วงกลางวันราว 8-10 ชั่วโมง แบบนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่หนุ่มสาวคนทำงานที่เริ่มจะทนไม่ได้กับการคลุกอยู่ในบ้าน ต้องการหาสถานที่ใหม่ๆ นั่งทำงานกัน
อย่าง แอคคอร์ กรุ๊ป เครือโรงแรมดังที่มีสาขาอยู่ทั่วโลกก็เปิดโมเดลธุรกิจใหม่ เปิดให้ใช้ห้องพักในช่วงกลางวัน (ช่วง 08.00-20.00 น.) ให้คนได้ Work From Hotel เป็นระยะเวลา 8 ชั่วโมง โดยในแพ็กเก็จเป็นห้องพักเรียบหรู พร้อมโต๊ะทำงาน อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกตามมาตรฐานโรงแรมชั้นนำ พร้อมชุดอาหารกลางวัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 690 บาท++ สำหรับโรงแรมแบรนด์ไอบิส และ 890 บาท++ สำหรับโรงแรมแบรนด์โนโวเทล และราคา 1,190 บาท++ สำหรับโรงแรมแบรนด์ เอ็มแกลลอรี่, พลูแมน, แกรนด์เมอเคียว
อย่างที่ โรงแรมพูลแมนพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ ซอยรางน้ำ ที่ได้เข้าร่วมกับแคมเปญนี้ก็จัดแพกเกจ ห้องพักรายวัน 8 ชั่วโมง เป็นห้องสุพีเรียร์ขนาด 32 ตารางเมตร มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พร้อมโคมไฟปรับระดับความสูงต่ำ และเก้าอี้นั่งสบาย พร้อมชาและกาแฟแบบไม่อั้น และบริการเสิร์ฟอาหารกลางวันถึงห้อง ในราคาเริ่มต้นที่ 1,190 บาท++
ส่วน แมริออท เอ็กซ์เซ็คคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ สุขุมวิท (ทองหล่อ) กรุงเทพฯ ก็เปิดให้คุณสัมผัสประสบการณ์นั่งทำงานในที่พักบริการระดับ 5 ดาว ด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง พร้อมเซ็ตอาหารกลางวัน ในราคาคนละ 1,200 บาท++ ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
ส่วนที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท ก็จัดแพกเกจ Anytime Anywhere เปิดโรงแรมให้นั่งทำงานกัน ตั้งแต่ 07.00-19.00 น. จะมาตัวคนเดียวเดี่ยวๆ หรือมานั่งทำกับเพื่อนร่วมงานก็ได้ โดยในแพ็กเก็จมีสถานที่นั่งทำงาน พร้อมที่ชาร์จบต อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง พร้อมน้ำ ชา กาแฟ และของว่างแบบไม่อั้น โดยราคาเริ่มต้นเพียง 600 บาท สำหรับ 3 ชั่วโมง และ 1,600 บาท สำหรับ 6 ชั่วโมง พร้อมอาหารกลางวัน และ 2,700 บาท สำหรับ 12 ชั่วโมง พร้อมอาหารกลางวัน และอาหารเย็น
