>>หลายคนอาจรู้จักหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มสดใส “ยุ้ย-ณพอาภา เทวกุล ณ อยุธยา” ในบทบาทที่แตกต่างกันไป ทั้งในฐานะนักร้องวัยรุ่นชื่อดัง, ตัวอย่างเยาวชนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อหลวง และนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ หรือบางคนอาจรู้จักเธอในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบสติกเกอร์ “เรารักในหลวง” สติกเกอร์ใสพิมพ์อักษรสีขาวเขียนด้วยลายมือที่มีคำว่า “รัก” ในรูปหัวใจสีแดงซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ
ปัจจุบันสาวเก่งผู้ตั้งมั่นในการทำความดีตามรอยพ่อหลวง ผันตัวเองมาเป็นอาจารย์พิเศษด้านดนตรีที่ภาควิชาดนตรี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เธอบอกเล่าด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้มว่า ด้วยความที่เกิดมาในครอบครัวที่ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิดตั้งแต่สมัยคุณตา (แก้วขวัญ วัชโรทัย) จนถึงคุณพ่อ (พล.อ.ม.ล.ทศนวอมร เทวกุล) ที่ทำหน้าที่เป็นนายทหารราชองครักษ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้ตั้งแต่เด็กเธอได้เห็นแบบอย่างของคุณตาคุณยาย และคุณพ่อ ในการทำความดี และได้รับการหล่อหลอมให้เป็นคนดี รู้จักทำคุณความดีตอบแทนสังคม ตอบแทนประเทศชาติ
“ตั้งแต่เด็กคุณตาจะสอนเสมอว่าที่ครอบครัวเรามีทุกวันนี้ได้ เพราะได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ท่าน เพราะฉะนั้นตั้งแต่เล็กจนโตยุ้ยบอกตัวเองเสมอว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่สองมือของประชาชนตัวเล็กๆ อย่างเราจะทำให้กับสังคมประเทศชาตินี้ได้ เรายินดีที่จะทำ และเราก็ทำด้วยความเต็มใจ ยุ้ยว่าความดีเป็นสิ่งที่เราทำแล้วอิ่มเอมใจ ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ก็ได้ เพราะฉะนั้นยุ้ยจะทำความดีทุกครั้งที่มีโอกาส จนเพื่อนๆ จะรู้เลยว่า ยุ้ยเป็นเจ้าแม่โปรเจกต์ ชอบทำโปรเจกต์การกุศล เช่นช่วงปีใหม่หรือวันเกิดทุกปี ยุ้ยก็จะชวนเพื่อนๆ ไปสร้างห้องสมุดให้เด็กๆ ชาวเขา ไปมอบทุนการศึกษา และเลี้ยงอาหารกลางวัน”
จวบจนมีโอกาสมาเป็นศิลปิน เธอก็ยังไม่ละทิ้งความตั้งใจที่จะเป็นคนดี และส่งต่อความดี เช่นเดียวกับบทบาทการเป็นอาจารย์ในวันนี้ เธอไม่เพียงมุ่งหวังจะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ด้านดนตรีที่มีแก่ลูกศิษย์ แต่ยังตั้งใจสอดแทรกแรงบันดาลใจในการทำความดีโดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัวเพื่อส่งต่อไปยังคนรอบข้างอีกด้วย
“ยุ้ยเชื่อว่า สิ่งที่เราถ่ายทอดไปกับนักศึกษาในห้องแค่ 40 คน แต่ถ้า 40 คนนี้นำไปบอกต่อกับเพื่อนสนิทแค่ 1 คนก็เท่ากับว่าเราได้ส่งต่อแรงบันดาลใจในการทำความดีออกไปในสังคมที่กว้างขึ้น ยุ้ยมีความสุขทุกครั้งที่ได้ส่งต่อเรื่องราวดีๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจ ครั้งหนึ่งมีโอกาสไปพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำ ยุ้ยรู้สึกว่าเรามีความสุขกับสิ่งที่ทำ พอพูดเสร็จ เราก็ร้องเพลง มอบความสุขด้วยเสียงเพลง ยุ้ยว่านี่แหละคือสิ่งเล็กๆ ที่เราตอบแทนสังคมประเทศชาติได้”
เล่ามาถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าภาพความทรงจำที่แสนประทับใจในอดีตค่อยๆ ผุดขึ้นในหัวทีละน้อย ยุ้ยบอกเล่าถึงเมื่อครั้งได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเยาวชนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพ่อหลวง และนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ เพื่อตีพิมพ์ลงในหนังสือ 9 ย่างตามรอยพ่อว่า “ครั้งนั้นทีมงานตั้งคำถามว่า ในหลวงทรงเป็นแรงบันดาลให้คุณอยากทำอะไร ยุ้ยตอบได้เลยว่า ในหลวงทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ยุ้ยอยากทำความดี อยากทำสิ่งดีๆ ตอบแทนสังคม ประเทศชาติ เขาถามยุ้ยว่า การทำความดีของยุ้ยคืออะไร ยุ้ยตอบไปว่า ยุ้ยตอบไม่ได้หรอกว่าการทำความดีของยุ้ยคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ยุ้ยตอบได้คือ ยุ้ยเคยเห็นพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่านบทหนึ่ง และยุ้ยรู้สึกว่ายุ้ยทำได้ ทำตามนี้ได้และเป็นแรงบันดาลใจให้ยุ้ยอยากทำความดีให้สังคม
เธอบอกเล่าว่า พระบรมราโชวาทนั้นพระองค์พระราชทานให้เนื่องในวันเด็ก เป็นพระบรมราโชวาทที่ปรากฏอยู่ในหนังสือปัจฉิมนิเทศตอนที่เรียนจบจากโรงเรียนจิตรลดา มีใจความว่า “คนเราวันนี้มีหน้าที่อะไรให้ทำอย่างนั้น แม้ว่าเรามีหน้าที่อย่างเด็ก ก็ให้ทำอย่างเด็ก มีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียนก็ให้ศึกษาเล่าเรียน มีหน้าที่เป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ ก็ให้เชื่อฟังท่าน เพื่อที่วันหนึ่งเราจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และสามารถทำคุณประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติต่อไป”
“นี่แหละคือสิ่งที่บอกให้ยุ้ยอยากเป็นคนดี ทำสิ่งดีๆ ตอบแทนสังคมและประเทศชาติ เป็นคนดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ การทำความดีของยุ้ย ไมได้หมายความว่าต้องไปสนามหลวงแจกของทุกวัน หรือต้องไปแจกของที่หัวลำโพง แต่ความดีสามารถเริ่มต้นได้ที่ตัวคุณ การที่คุณเดินออกไปจากบ้าน แล้วหยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่น นั่นแหละคือการทำความดีตามแบบของพระองค์ท่านแล้ว เราทุกคนสามารถทำได้โดยเริ่มต้นจากตัวเอง ถ้าเราเป็นคนดี เราก็ส่งต่อความดีของเรา ความรู้สึกดีๆ ให้คนอื่นได้ แค่เราเดินออกไปแล้วยิ้มให้คนคนหนึ่งที่เราเชื่อว่าเขาจะทำสิ่งดีๆ ต่อนั่นก็เป็นสิ่งดีๆ ที่เรามอบให้แก่กันแล้ว เป็นสิ่งที่จับต้องได้ง่ายและทำได้ง่ายมาก”
เพราะเชื่อว่าความดีเริ่มต้นจากตัวเราเอง ด้วยการส่งต่อความรู้สึกดีๆ นี้เอง จึงเป็นที่มาของโปรเจกต์ล่าสุด ที่เธอร่วมลงขันกับเพื่อนๆ ด้วยการจัดทำสติกเกอร์น้อมถวายความอาลัย เป็นรูปริบบิ้นดำสำหรับติดที่กระจกรถยนต์ ยุ้ยเริ่มต้นผลิตมา 9,000 ดวงก่อน แต่ตั้งเป้าจะทำไปเรื่อยๆ ตามกำลังจนครบ 90,000 ดวง
“ยุ้ยมองว่า สติกเกอร์นี้เป็นอีกตัวแทนในการส่งต่อความรู้สึกดีๆ ถึงกัน ยุ้ยไม่ได้ใช้วิธีเอาไปแจกจ่าย แต่จะหยิบยื่นให้กันมากกว่า ยกตัวอย่าง ยุ้ยขับรถไป เห็นรถคันหน้าติดอยู่ ยุ้ยดูจากการตกแต่งรถที่มีการทำล้อเป็นเลข 9 มีข้อความ ขอเป็นข้ารองพระบาท พอรถขนานกัน ยุ้ยเปิดกระจก ถามเลยว่า พี่คะ รับสติกเกอร์ไหมคะ คนในรถบอกโยนมาเลยน้อง(ยิ้ม) หรือบางทีไปร้านหนังสือ เจอคุณยายต่อแถวจ่ายเงินโดยมีหนังสือที่เป็นเรื่องราวของพ่อหลวงอยู่ในมือ ยุ้ยก็จะถามว่าคุณยายนำสติกเกอร์ไปติดรถไหมคะ ยุ้ยว่านี่คือการส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้กับคนที่มีหัวใจรักพ่อเหมือนกัน เป็นการสร้างรอยยิ้มเล็กๆ ท่ามกลางความรู้สึกเศร้าโศกของคนไทยเวลานี้ พระองค์ท่านทรงสอนให้คนไทยรู้ว่า การทำความดีนั้นเพื่อความดี ไม่ได้ทำเพื่อหวังสิ่งใด เมื่อไหร่ที่เราทำความดี เราจะรู้สึกอิ่มเอมในฐานะผู้ให้”
สาวน้อยผู้มีพลังงานด้านบวกอยู่เหลือล้น กล่าวทิ้งท้ายว่า ในภาวะที่คนไทยทั้งประเทศมีหัวใจดวงเดียวกัน รู้สึกเศร้าโศกเสียใจเหมือนกัน แม้รู้ดีว่าทุกวันที่ตื่นขึ้นมาจากนี้จะไม่มีวันเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยเราต้องย้อนกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อฟื้นฟูจิตใจให้ตัวเรา คนรอบข้างกลับมายิ้มให้กันได้เหมือนเดิม
“วันนี้เราอาจจะสูญเสียพ่อหลวง แต่หากเรายังยึดมั่นในการทำความดี เพื่อสังคมเพื่อประเทศชาติยุ้ยเชื่อว่าเมื่อนั้นพระองค์ท่านจะยังคงอยู่ในใจเราเสมอ ไม่ได้จากไปไหน ดั่งประโยคที่ว่า ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ พ่อหลวงจะอยู่ในใจทุกคนตลอดไป” :: Text by FLASH