ความเป็นตัวของตัวเอง “ชอบที่จะทำงานในสิ่งที่รัก” ถูกบ่มเพาะมานับตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ ชาคริต พิชญางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์สตาร์ (ประเทศไทย) ก็ยังคงยืนยันคำนี้ แม้ว่าการบริหารธุรกิจความงามในเครืออาร์เอสฯ ที่ดูแลรับผิดชอบจะหนักอึ้งทางความคิด และงานสอนหนังสือที่ต้องเตรียมข้อมูลให้ความรู้เด็กอย่างเข้มข้น จะต่างกันสุดขั้ว แต่เขาก็รักและเลือกที่จะทำทั้งสองอย่างมีความสุข ท่ามกลางเวลาที่จัดสรรได้อย่างลงตัว
หนุ่มใหญ่มาดเข้มสูงสมาร์ทในชุดสูทเรียบเก๋ ที่ดูออกว่าเจ้าตัวเป็นคนเนี้ยบเอาการ ชาคริต พิชญางกูร เริ่มต้นเล่าย้อนประวัติแบบย่อให้ฟังว่า หลังใช้ชีวิตนักเรียนนอกจนจบปริญญาตรีแล้ว ก็เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมนำไลฟ์สไตล์ความชอบส่วนตัวเรื่องเกี่ยวกับนวตกรรมความงามมาเริ่มต้นการทำงานที่ “ลอลีอัล” และนิตยสารผู้หญิง ก่อนจะข้ามมาทำงานกับบริษัท อาร์ เอส จำกัด (มหาชน) จน เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ให้มารับตำแหน่งเป็น กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์สตาร์ ทำหน้าที่คุมทัพธุรกิจความงาม
“อายุได้ยี่สิบกว่าๆ ก็รู้และมั่นใจแล้วว่าผมต้องการอะไร เลยมุ่งตรงไปที่บริษัทที่ทำงานด้านเครื่องสำอางโดยเฉพาะ นานพอที่จะเข้าใจว่าธุรกิจความงามนั้นมีพื้นฐานหรือกลไกอย่างไร จากนั้นผมไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านนวัตกรรมการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ พอมาอยู่อาร์เอสฯ ทำบริษัทสื่อที่ผลิตคอนเทนต์บันเทิงต่างๆ ให้ทีวีหลายช่อง ผมเห็นโอกาส และเมื่อมีจังหวะคุยกับเฮียฮ้อก็คิดตรงกัน จึงมีการขยายธุรกิจสู่เฮลตี้ แอนด์ บิวตี้ โดยบริษัท ไลฟ์สตาร์ เป็นบริษัทลูกของอาร์เอส ธุรกิจแม่ขายความบันเทิง เราขายผลิตภัณฑ์เช่น มาจีค, กราวีธัส, โนเบิลไวท์ และรีไวฟ์ ตรงนี้เราอาศัย “สื่อ” บริษัทแม่เป็นช่องทางการทำตลาด”
แม้ว่าจะชื่นชอบเรื่องราวความงามมากเพียงใด แต่เมื่อต้องมาต้องมาปลุกปั้นแบรนด์เครื่องสำอางใหม่ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงนั้น ชาคริตยอมรับว่าเหนื่อยพอควร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกกังวลอะไร ตรงข้ามกลับรู้สึกสนุกในการวางแผนการตลาดรวมถึงการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ
การทำงานอย่างหนักในช่วงปลุกปั้นแบรนด์เครื่องสำอางใหม่ แน่นอนว่าย่อมเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา หากเป็นคนทั่วไปเมื่อผ่านงานหนัก ยามว่างก็ต้องเลือกที่จะพักผ่อนด้วยการท่องเที่ยวหรือช้อปปิ้งเป็นการผ่อนคลาย แต่กับด๊อกเตอร์หนุ่มใหญ่คนนี้ เขากลับเลือกที่จะอ่านหนังสือ ถือตำราไปสอนหนังสือเป็นอาจารย์พิเศษสอนทางด้านการบริหารจัดการธุรกิจขนาดเล็ก ที่วิทยาลัยนานาชาติมหิดล และที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
“ผมเป็นคนไม่บ้างานนะ ค่อนข้างรักตัวเอง จึงไม่มีทางทำให้ร่างกายแย่ด้วยการทำงานหนักแน่นอน การสอนหนังสือสำหรับผมเป็นงานที่ผมทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้เติมพลัง จะมองว่าการสอนหนังสือของผมเป็นงานอดิเรกก็ได้นะ ผมมีความสุขพร้อมที่จะไปเจอ เพราะแต่ละครั้งเราก็จะได้อะไรกลับมาทุกที เหมือนการแลกเปลี่ยนความรู้ เด็กสมัยนี้เขาเก่งหลายคนมีความฝัน มีไอเดียมากมาย มีเป้าหมายชัดเจน ทำให้เราได้รับรู้เทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้น”
ส่วนการพักผ่อนแบบจริงๆ ของเขาคือ การเข้าฟิตเนส ดูสารคดี และอ่านหนังสือ “มันเป็นช่วงเวลาที่ผมจะไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเลย ผมอ่านหนังสือทุกชนิดตั้งแต่ไอที สังคมชีวประวัติ วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงสัจธรรมของสิ่งต่างๆ บนโลก ผมเชื่อว่าหนังสือช่วยเพิ่มความรู้และเอามาช่วยเรื่องการทำงานได้”
ชาคริต ยังบอกอีกว่า เขาชื่นชอบหนังสือชีวประวัติคนดัง เพราะทำให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตของคนพวกนี้แบบรวบรัด โดยเฉพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ อย่าง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) นักคิดค้นนวัตกรรมบ้าระห่ำในวงการเทคโนโลยี ผู้ก่อตั้ง PayPal, Tesla Motors และ SpaceX , แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง อาลีบาบาดอทคอม (Alibaba.com) “ผมสนใจ ไม่ใช่เพราะเขารวยหรือเป็นนักธุรกิจที่สำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่สนใจที่ธุรกิจของเขามันเป็นเทคโนโลยี่ที่ส่งผลให้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถผลักดันให้คนมีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ทำให้มีอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของเฟสบุ๊ค เจ้าของเพย์พราว และ แจ๊คหม่า เขาสามารถสร้างงาน ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของคนในสังคมครับ”
ในวัยกว่า 40 ปีของ “ชาคริต” เขาบอกพอใจกับชีวิตที่มีอยู่ เพราะได้ทำงานที่รักสำหรับอนาคตนอกจากเป้าหมายที่จะพาไลฟ์สตาร์ เติบโตในตลาดแล้ว ความฝันในชีวิตอีกหนึ่งอย่างก็คือการเป็นอาจารย์เต็มตัว “ผมอยากสอนเยอะขึ้น ทำงานน้อยลง เพราะการสอนตอบโจทย์ผม ถ้า 55 ปี เกษียณผมว่าคงได้สอนหนังสือเต็มตัว ส่วนธุรกิจที่สร้างผมยังไม่ได้ฝันอะไรไปมากกว่านี้ พอได้มาทำจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าเราสำเร็จแล้ว แต่อย่างไรก็ตามอนาคตก็ต้องดีกว่าเดิม คิดใกล้ๆ ไว้ก่อนว่าอาจมีแนวโน้มที่จะขยายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในระดับอา เซียนซึ่งต้องมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเองและหาพาร์ตเนอร์ที่ดี” ชาคริต กล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง วรกัญญา สมพลวัฒนา
ภาพ กัมพล เสนสอน