xs
xsm
sm
md
lg

คณิน สมุทรโคจร ชีวิตมันๆ บนคมมีดบางๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เด็กหนุ่มหน้าตาดี วัย 22 ปี จากครอบครัวนักธุรกิจ ลุ่มหลงในกีฬาผาดโผนมาตั้งแต่ครั้งวัยรุ่น ก่อนจับพลัดจับผลูเข้าไปเป็นสมาชิกฮอกกี้ทีมชาติ รุ่นเยาวชน ตอนอายุย่าง 18 ปี และลงแข่งระดับชาติที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จนได้แชมป์ในปี 2012

“ผมเริ่มเล่นสเกตน้ำแข็งตั้งแต่อายุ 16 จนถึงตอนนี้ ถามว่าผมเริ่มช้าไปมั้ย ผมว่าไม่นะครับ” คีน “คณิน สมุทรโคจร” เล่า “เพียงแต่ถ้าผมเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ผมอาจจะได้เปรียบกว่าเท่านั้นเอง บางคนมาเริ่มเล่นตอนอายุ 20 แล้วก็มี มันเป็นกีฬาที่ออกกำลังกายได้ดีนะครับ ได้ทั้งกล้ามเนื้อ และลดน้ำหนัก”

คีนเล่าว่า แต่เดิมเขาไม่เคยคิดอยากเล่นกีฬาฮอกกี้มาก่อน “เผอิญว่าน้องสาวผมอยากไปเล่น ผมก็พาไป และไม่กล้าปล่อยให้น้องเล่นคนเดียว กลัวว่าล้มแล้วไม่มีใครช่วย ผมเองก็เกาะขอบลานสเกตไปเรื่อยๆ ล้มด้วยกันทั้งคู่ แล้วพี่วินก็เข้ามาชนผมพอดี ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไปกับน้องบ่อยขึ้น แต่กลายเป็นว่าน้องไม่อยากเล่นต่อ แต่ผมอยากเล่นเสียเอง”

พี่วินที่เขากล่าวถึงคือ ธนันทร เสรีทัศน์ หนึ่งในสมาชิกฮอกกี้ทีมชาติไทยปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นไอดอลของเขา และเป็นแรงจูงใจให้เขาหมั่นฝึกซ้อมนับตั้งแต่นั้นมา กระทั่งได้เข้าทีม และผ่านการคัดตัวเข้าทีมชาติรุ่นเยาวชนในเวลาเพียงปีเศษ

“ผมเคยลองเล่นกีฬาทุกอย่างบนลานน้ำแข็งครับ ตั้งแต่ Figure (สเกตลีลา) สปีด (แข่งความเร็ว) ผมว่าฮอกกี้นี่ละครับที่โอเคสุด เพราะเล่นกันเป็นทีม ได้เพื่อน ได้สังคม ตอนที่ผมเลิกเล่นฮอกกี้แล้ว ผมก็ยังมีสังคมนี้อยู่

“ฮอกกี้ต้องใช้ทักษะเพิ่มเติมจากสเกตก็คือ การจับไม้ การตีลูก และที่สำคัญคือ ทีมเวิร์ก ตอนที่ฝึกผมจะมีคู่บัดดี้ ที่ต้องไปไหนมาไหนด้วยกัน เข้าฟิตเนสด้วยกัน ซึ่งพอลงเล่นแล้วจะรู้สึกว่าเข้าขากัน เวลาเล่นจะรู้กันโดยไม่ต้องตะโกนบอก”

ผละออกจากทีมชาติรุ่นเยาวชน คีนหันมาโฟกัสในเรื่องการเรียนมากขึ้น ปัจจุบันเขายังเรียนอยู่ปี 3 คณะนิเทศศาสตร์ IMC (บริหารการตลาด) มหาวิทยาลัยรังสิต แต่เจียดเวลาว่างช่วงวันเสาร์-อาทิตย์มาสอนสเกตน้ำแข็งที่ เดอะ ริงก์ ไอซ์ อารีน่า บนชั้น 7 ของห้างเซ็นทรัล พระราม 9 เป็นการหารายได้พิเศษ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของทางบ้าน

“ที่ผมอยากทำงาน อาจเป็นเพราะแรงกดดันจากสังคมรอบข้างผมด้วยครับ ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเรียนอย่างเดียวไม่ได้ ผมต้องทำงานไปด้วย ถ้าเราเริ่มช้าไป บางทีเราก็รับผิดชอบตัวเองได้ช้าไปด้วย”

“ลูกศิษย์ของผมส่วนใหญ่เป็นเด็กวัย 3-5 ขวบ ที่เรียนประจำมีอยู่ 2-3 คน นอกนั้นเป็นวอล์กอินเสียมากกว่า ช่วงเช้าผมสอนเด็กเป็นกลุ่มที่มีหลายระดับ สอนให้เด็กพัฒนาไปแต่ละขั้น จริงๆ สเกตน้ำแข็งเล่นไม่ยากครับ ถ้าเราตั้งใจจะเล่น อย่างลูกศิษย์ผมคนหนึ่งอายุ 5 ขวบ ตอนนี้ถอยหลังได้ เบรกได้ เดินหน้าได้คล่อง ทั้งๆ ที่ผมสอนเขาแค่คอร์สเดียว คือประมาณเกือบ 10 ครั้ง”

แต่จะว่าง่ายก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คีนสารภาพเมื่อถูกถามแบบคาดคั้น “สเกตน้ำแข็ง ถ้าจะยากก็ตรงที่เราต้องประคองตัวเองบนใบมีดบางๆ ให้ยืนอยู่บนน้ำแข็งที่ลื่นๆ หนึ่งก้าวที่เราก้าวบนพื้นปกติ กับบนน้ำแข็ง ความเร็วและความแรงจะต่างกัน ถ้าอยากให้มันง่ายเราต้องชนะความกลัวเสียก่อน อย่างตอนผมเริ่มเล่น ผมหกล้ม กระแทก จนเลือดออกหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่ท้อ คิดว่ามันแค่ล้ม ลุกขึ้นใหม่ได้ ผมเล่นมาเรื่อยๆ ได้แผลเต็มตัวเลย”

ครอบครัวพี่น้องสองคนดูเหมือนจะใช้ชีวิตอย่างอิสระ พ่อ-สมุทร สมุทรโคจร ทำงานเป็นนักบัญชีของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง ส่วนแม่-ณัฐพร สมุทรโคจร ทำกิจการค้าขายบ้างเล็กๆ น้อยๆ ทว่าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับบ้านคอยดูแลบุตรสาวคนสุดท้อง

“เมื่อก่อนพ่อดุผมบ่อย” คีนเล่าถึงวัยเด็ก “ผมเลยสนิทกับแม่มากกว่า เวลามีเรื่องอะไรผมมักปรึกษาแม่ เพราะว่าพ่อไปทำงานแต่เช้า แล้วกลับเย็น ช่วงเสาร์-อาทิตย์พ่ออยู่บ้าน แต่ผมก็ออกมาทำงาน ก็เลยไม่ค่อยได้คุย”

แต่ผู้เป็นพ่อรับรู้ในทุกเรื่อง เพียงแต่จะปล่อยให้แม่เป็นคนพูดคุยปรึกษากับลูกๆ “ส่วนใหญ่พ่อกับแม่จะเข้มงวดผมแค่เรื่องเรียนครับ อยากให้ผมรีบเรียนให้จบ จะได้ดูแลตัวเอง ดูแลน้องได้”

คีนบอกว่า ตัวเขาเป็นคนขี้อายมาแต่ไหนแต่ไร “เวลาเจอคนแปลกหน้าที่เข้ามาคุย บางครั้งผมไม่ค่อยกล้าคุย แต่ถ้าสนิทกัน ผมจะหลุดๆ รั่วๆ เหมือนกัน เพื่อนๆ จะบอกว่าผมเป็นคนตลก ผมชอบทุ่มเทกับบางอย่าง ถ้าชอบแล้วจะทำให้ได้

“ตอนเด็กๆ ผมค่อนข้างเกเรหน่อย ชอบแข่งขัน แข่งอะไรแล้วพยายามจะเอาชนะให้ได้ บางทีพ่อต้องคอยเตือนว่า เราไม่จำเป็นต้องชนะเสมอไป”

เมื่อถามถึงความผิดหวังในชีวิต คีนนิ่ง พยายามนั่งนึก สุดท้ายก็นึกออกแค่เรื่องความรัก เขาเล่าด้วยใบหน้ายิ้ม “ผมมีแฟนมาแค่ 2-3 คน คนล่าสุดทำให้ผิดหวัง คบกันมา 5 ปีกว่า แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งผม”

ผู้หญิงในสเปก...เขาสาธยายว่า ต้องเป็นผู้หญิงที่มีเนื้อมีหนังหน่อย ไม่ผอมมากเกินไป ผมสั้น พูดอะไรตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่ปิดบัง เป็นคนที่สามารถทำให้เขาสบายใจ ผิวไม่ต้องขาวมากก็ได้ แต่ไม่คล้ำ และไม่ต้องสูงมาก “เท่าที่คบๆ มาไม่มีใครสูงเลยสักคน” เขาว่า พลางหัวเราะ

“สิ่งสำคัญอันดับแรกเลย คือ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกเราเป็นตัวเอง ไม่ต้องมาเฟกใส่กัน ถ้าเจอแบบนั้นจริงๆ ผมก็จะตัดสเปกที่มีออกได้เลย ไม่ว่าจะผมสั้น ตัวเล็ก เซ็กซี่แค่ไหนก็ไม่สำคัญแล้ว ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ”

เราย้อนกลับมาคุยเรื่องกีฬาฮอกกี้อีกครั้ง คีนบอกว่า “ผมหยุดเล่นฮอกกี้ไปประมาณปีกว่า พอกลับมาเล่น ผมจำทุกอย่างได้โดยที่ผมไม่ต้องกลับไปเรียนรู้อะไรอีก ผมเหยียบลงน้ำแข็งเมื่อไหร่ ผมสามารถเบรกได้ มันเหมือนเราเคยขับรถมาก่อน ไม่ได้ขับไปนานเป็นปี กลับมาขับอีกครั้งเราก็ยังขับได้ มันฝังอยู่ในตัวแล้ว

“ทุกวันนี้ผมเดินบนน้ำแข็งได้คล่องพอๆ กับเดินบนพื้นดิน ผมชอบ ยิ่งได้วิ่งเร็วๆ ปล่อยตัวไป จะรู้สึกสบาย ไม่เครียด ผมชอบจังหวะนี้มากกว่าตอนไปคัดตัว ต้องมานั่งแข่งกับคนนั้นคนนี้ ให้รู้สึกกดดัน ที่ผมไม่ไปคัดตัวเข้าทีมชาติก็เพราะผมไม่อยากรู้สึกกดดัน ตอนนี้เรียนหนังสืออยู่ ผมก็ว่ากดดันพอแล้ว”

และพูดถึงงานสอนสเกตน้ำแข็งของเขาที่ เดอะ ริงก์ ไอซ์ อารีน่า ว่า “เวลาสอนเด็กแล้วเด็กเล่นได้ มันทำให้ผมหายเหนื่อยนะ และที่รู้สึกดีคือ เวลาสอนแล้วเขาอยากกลับมาเล่นกับเราอีก ผมว่าผมแค่สอนอยู่ตรงนี้ผมก็พอใจแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันอะไรกับใครที่ไหน”

ส่วนอนาคต ดูเหมือนเขาจะมีทางเลือกที่ฝันอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่การเป็นนักบิน ช่างภาพถ่ายหนังหรือตัดต่อ นักออกแบบโลโก้ ไปจนถึงเจ้าของกิจการร้านเบอร์เกอร์

“เรื่องจะเป็นนักบิน ผมว่าผมต้องทำให้ได้ครับ ไม่น่าจะมีอะไรยากอีกแล้ว ส่วนร้านเบอร์เกอร์ ตอนนี้ต้องทำงานหาเงินทุนก่อน อาจจะทำเป็นรถที่สามารถขับไปขายตามที่ต่างๆ ได้” พร้อมบอกที่มาของความคิดว่า “พ่อผมชอบพาไปกินเบอร์เกอร์ครับ ตัวผมเองก็ชอบตะลอนหากินกับเพื่อนๆ เคยลองทำเบอร์เกอร์เองที่บ้าน จำเอาจากอินเทอร์เน็ต เพื่อนๆ เคยลองกินก็บอกว่าอร่อย ก็เลยเกิดความคิดนี้ขึ้นมา

“แต่ผมมักจะคิดอะไรแล้วทำเลย จนบางครั้งไม่ได้วางแผนก่อนว่า ถ้ามันไม่เวิร์กจะทำยังไง และส่วนใหญ่เวลาผมคิดจะทำอะไร พ่อมักจะพูดขัดเป็นคนแรก อย่างเรื่องจะเปิดร้านเบอร์เกอร์ พ่อถามขึ้นมาว่า ทำไมคนถึงต้องมาซื้อเบอร์เกอร์ของเรา ถ้าตอบได้แล้วค่อยทำ ถึงตอนนี้ผมยังตอบไม่ได้เลยว่าทำไมคนถึงมาซื้อเบอร์เกอร์ของเรา ถ้าผมตอบได้ ผมคิดว่าพ่อคงอนุญาตให้ผมเปิดขาย”

อนาคตข้างหน้ายังไม่มีใครรู้ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมีชื่อเสียงในแวดวงอาชีพไหนกันแน่

READING
ผมชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษครับ อยากฝึกภาษา จำพวกนิทานหรือนิยาย เมื่อก่อนพ่อเคยบังคับให้อ่านออกเสียงดังๆ บางทีผมก็อ่านหนังสือแก้เครียดเหมือนกัน เล่มที่อ่านใกล้จะจบแล้วคือ “Frankenstein” ครับ ผมเคยดูหนังมาก่อน แล้วหามาอ่านทีหลัง นอกนั้นก็เป็นนิยายรัก อย่าง “Fifty Shades of Grey”

COLLECTED ITEM
ผมสะสม BearBrick มานานแล้วครับ ส่วนใหญ่ซื้อมาจากญี่ปุ่นบ้าง เพื่อนให้มาบ้าง ตัวที่แพงที่สุด 20,000 บาทครับ คนออกแบบเป็นศิลปินที่ตายไปแล้ว ผมชอบซื้อของเก็บ ตอนแรกมันไม่แพงเท่าไหร่ ตอนหลังพอคนเล่นกันเยอะๆ ราคาเริ่มขยับขึ้นเรื่อยๆ บางตัวผมซื้อมาร้อยกว่าบาท ราคาขายตอนนี้อยู่ที่ 800 บาทแล้ว :: Text by FLASH




กำลังโหลดความคิดเห็น