>>ถือเป็นการรวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อ Celeb Online โดยเฉพาะ สำหรับครอบครัวทายาทอดีตนายกรัฐมนตรี “เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์” ที่ครั้งนี้เราได้รับเกียรติ 5 สมาชิก ประกอบด้วย หัวหน้าครอบครัวอย่าง “พันเอกพิเศษพงศ์พิพัฒน์ ชมะนันทน์” ที่ควงคู่มากับศรีภรรยาคนสวย “กรองกาญจน์ ชมะนันทน์” พร้อมด้วยทายาททั้งสามอย่างสองสาวฝาแฝดสุดไฮเปอร์ “พริม-พิมพิศา & แพรว-พิชามญช์” และหนุ่มสุดท้องมาดนิ่ง “แพลน-ภาณุสิชฌ์” มาจับเข่าคุยเรื่องราวหรรษาภายในบ้านหลังนี้
การพบกันครั้งนี้ นัดหมายกันที่บ้านครอบครัวชมะนันทน์ มองจากภายนอกเป็นเพียงอาคารสีขาวเรียบๆ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในกลับพบบรรยากาศต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง เบื้องหน้าโดดเด่นด้วยสระน้ำพุขนาดใหญ่ เงยหน้าขึ้นไปสะดุดตากับหลังคาโดมกระจกสเตนกลาสสีสันสวยงามขนาดใหญ่ บ้านหลังนี้สร้างมาได้ 20 ปีแล้ว บนที่ดินที่ตกทอดมาจากท่านเกรียงศักดิ์ สมัยนั้นได้ไรเฟนเบิร์ก แอนด์ ฤกษ์ฤทธิ์ บริษัทออกแบบชื่อดังมาเป็นสถาปนิก ด้วยโจทย์การดีไซน์ต้องไม่ล้าสมัย อยู่ได้ชั่วลูกชั่วหลาน ทำให้ภายในบ้านออกแบบมาในสไตล์คอนเทมโพรารี คลาสสิก ผนังหินอ่อน รอบบ้านตกแต่งด้วยเสาหินทรงกลม ซึ่งเป็นวัสดุทนทาน
“บ้านหลังนี้เหมือนมี 3 หลังอยู่ในอาคารเดียวกัน เพราะตั้งใจสร้างมาเพื่อทุกคน ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของพงศ์พิพัฒน์และเผื่อลูกๆ ของเราในอนาคตด้วย บังเอิญเราได้ทีมอินทีเรียเดียวกับที่ออกแบบโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ (ราชดำริ) น้ำพุเลยคล้ายกับโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ (หัวเราะ) ตัวกระจกสเตนกลาสส่งไปทำที่อิตาลี สมัยนั้นลังเลอยู่ว่าจะสร้างแบบนี้ดีไหม แต่อินทีเรียแนะนำว่าทำเถอะ เพราะถือว่าคุ้มราคาสำหรับบ้านที่จะอยู่ได้นานเป็นสิบๆ ปี” กรองกาญจน์เกริ่นที่มาของบ้านที่กลายเป็นจุดศูนย์รวมความอบอุ่นของครอบครัว
คุณพ่อผู้นำครอบครัว
เปิดฉากการสนทนากับหัวหน้าครอบครัว ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะมีโอกาสสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการเช่นนี้ เพราะปกติพงศ์พิพัฒน์ไม่ค่อยออกงานสังคม โดยปัจจุบันพงศ์พิพัฒน์ดำรงตำแหน่งประธาน KNOWN-YOU SEED (Thailand) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เพื่อนเกษตร” บริษัทวิจัยและพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืช จากความร่วมมือกับ KNOWN-YOU SEED ประเทศไต้หวัน บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาและปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ ที่ได้รับการยอมรับด้านการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ของโลก
“ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจครอบครัวทำมา 40 ปีแล้ว โอเปอเรชันส่วนใหญ่อยู่ตัวแล้ว ผมจะดูนโยบายเป็นหลัก ความมุ่งมั่นหนึ่งตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งบริษัทคือเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพราะสมัยก่อนเทคโนโลยีการปลูกเมล็ดพันธุ์ไม่ค่อยมีคุณภาพ เกษตรกรได้ผลผลิตต่อไร่น้อย แต่พอเราเข้ามาทำตรงนี้ช่วยทำให้เกษตรกรมีรายได้ดีจากการนำเมล็ดพันธุ์ของเราไปปลูก ผมว่าเป็นอานิสงส์อย่างหนึ่ง เราคิดดีทำดี ช่วยเหลือเกษตรกร ก็ทำให้บริษัทเราเติบโต” พงศ์พิพัฒน์ เล่าถึงเนื้องานที่ภาคภูมิ ก่อนเผยถึงอีกบทบาทคุณพ่อลูกสาม ซึ่งพอเข้าประเด็นครอบครัวก็ชวนศรีภรรยากรองกาญจน์มาร่วมวงสนทนาทันที
เลี้ยงลูกอิสระสไตล์บ้านชมะนันทน์
แม้พื้นเพครอบครัวชมะนันทน์มาจากตระกูลทหาร แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับเต็มไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะ มีเรื่องราวมากระเซ้าเย้าแหย่ให้สนุกสนานกันอยู่ตลอดเวลา จุดนี้ต้องยกเครดิตให้คุณพ่อพงศ์พิพัฒน์ และคุณแม่กรองกาญจน์ ที่เป็นคนอารมณ์ดี สบายๆ และเป็นกันเอง จึงสร้างบรรยากาศความอบอุ่นนี้ให้เกิดขึ้นและถ่ายทอดไปถึงลูกๆ ทั้งสาม ผ่านการอบรมเลี้ยงดูที่ให้อิสระลูกๆ ตัดสินใจ เปิดกว้างทางความคิด ฝึกให้เป็นผู้ใหญ่ด้วยการกระตุ้นให้รู้จักคิดด้วยตัวเอง แทนที่จะสั่งหรือสอนแบบตรงๆ ทำให้ทั้งสามมีพื้นฐานนิสัยบางอย่างเหมือนกัน ในแบบที่คุณพ่อพงศ์พิพัฒน์ว่า “มีความทะเยอทะยานในสิ่งที่ดี”
“ลูกๆ จะมีโครงการ มีโปรเจกต์ที่อยากทำตลอดเวลา และเป็นเด็กว่าง่าย เข้าหาธรรมะโดยมีผมและภรรยาเป็นผู้ชี้นำ คือการที่เราชี้นำเด็กให้ทำบุญ ฟังธรรม เด็กบางคนอาจไม่รับก็ได้ แต่ลูกทั้งสามเขารับและชอบทำบุญทำทานจนติดอยู่ในนิสัย บางทีไปอ่านหนังสือให้เด็กตาบอด ไปเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือทำการกุศลกับมูลนิธิต่างๆ อีกอย่างที่ผมสังเกตคือลูกๆ มักชอบคุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า”
“อย่างลูกชายผมรู้จักเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จอายุ 60 กว่าๆ เป็นนักการเงินติดท็อปเทนของอังกฤษ บังเอิญเขาเจอกันในงานเลี้ยงมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ถูกชะตากันก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจนเป็นเพื่อนสนิทกัน เขาก็ส่งเสริมลูกผม ชวนลูกไปฝึกงานที่บริษัทเขา เขาบอกว่าลูกผมมีความทะเยอทะยานในสิ่งที่ดี ไม่เที่ยวเตร่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เขาสอนลูกผมว่าถ้าคุณเอาเวลาเที่ยว มานั่งทำงานนั่งคิดและทำแบบนี้สัก 4-5 ปี คุณจะเห็นความแตกต่างระหว่างคุณกับเพื่อนของคุณอย่างชัดเจน” คุณพ่อเอ่ยถึงลูกชายคนเล็กของบ้านที่ชอบปรึกษาหาความรู้จากผู้ใหญ่ และมีบุคลิกราวลูกคนโตมากกว่า จนคุณแม่แอบแซวว่าลูกชายคนนี้ถอดแบบคุณพ่อมาเต็มๆ
ประสบการณ์เลี้ยงแฝดสาว
จุดเริ่มต้นความเป็นครอบครัวแสนสุขนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อครั้งคุณแม่กรองกาญจน์ตั้งท้องลูกฝาแฝด นับแต่นาทีนั้นก็มีแต่ประสบการณ์ชวนขำชนิดเก็บมาเล่าให้ฟังได้ไม่รู้จบ เพราะแค่เริ่มแรกคุณหมออัลตราซาวด์ว่าเป็นชายคนหญิงคน ทำให้ตอนนั้นทุกคนในบ้านเตรียมของใช้เด็กเป็นโทนสีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชายและชมพูสำหรับผู้หญิง แต่พอถึงเวลาคลอดกลับกลายเป็นพลิกล็อก
“ตอนนั้นคุณหมอยังแซวเลยว่าคนไหนที่หลอกคุณลุงหมอ ตอนนั้นลูกสาวอีกคนจำเป็นต้องใช้ของสีฟ้าเนียนๆ ไป สองสาวโตขึ้นมาถึงนิสัยและรสนิยมคล้ายๆ กัน แต่ลงไปลึกๆ แล้วต่างกัน อย่างแพรวจะมีความติสต์ๆ ห้าวๆ กว่าหน่อย แต่ยังมีความเป็นผู้หญิงหวานอยู่ บุคลิกภายนอกอาจขรึมๆ แต่บทจะหัวเราะก็เสียงดังลั่น ข้างนอกดูดุๆ แต่ถ้าได้คุยแล้วเป็นคนตลกมาก มีคำแซวให้คนในครอบครัวขำได้ตลอด”
“ส่วนพริมคลอดออกมาก่อนจะทำตัวเป็นพี่สาวคนโต คอยดูแลเอาใจใส่ทุกคน เป็นคนหวานๆ อ่อนโยน และเป็นคนเซนซิทีฟกว่า พริมจะชอบเขียนโน้ตเล็กๆ ให้ทุกคนในบ้าน แต่ถ้าเรื่องแต่งตัวสองสาวใกล้เคียงกันมาก แต่ถ้าสนิทจะรู้ว่าชุดไหนของใคร ถ้าแบบน้องพริมจะผู้ยิ้งผู้หญิง แต่ถ้าเป็นน้องแพรวจะเสริมความทะมัดทะแมงลงไป” คุณแม่ร่ายยาวอย่างผู้รู้จริงถึงนิสัยลูกสาวแสนขี้เล่นทั้งสอง
นอกจากหน้าตาที่เหมือนกันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่แฝดสาวคล้ายกันคือความเป็นคนแอกทีฟ เจ้าไอเดีย ทำให้ไม่เคยอยู่ว่าง มักเฟ้นหากิจกรรมมาทำอยู่เสมอ รวมถึงดีกรีความน่ารักที่แม้คุณพ่อจะบอกว่าไม่ได้หวง แต่เวลาลูกสาวก้าวออกจากบ้านต้องมีผู้ติดตามไปด้วยเสมอ จนอดถามไม่ได้ว่าคุณพ่อมีกรอบหรือมาตรการคุมเข้มหรือเปล่า?
“กรอบไม่มีนะ เพราะลูกสาวเป็นคนคิดดีทำดีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เตือนว่าต้องทันคนมากกว่า แต่ละช่วงอายุเราห่วงลูกไม่เหมือนกัน อย่างตอนนี้เราสอนการเลือกคู่ครอง ไม่ได้บอกอะไรมากแค่มองคนให้เป็น และลูกอยู่ในวัยทำงานก็ต้องตั้งใจทำงาน จะสร้างอนาคตอย่างไร ต้องขยันขันแข็งอย่างไร เพราะสังเกตได้ว่าเด็กสมัยนี้ประสบความสำเร็จเร็ว อายุ 27-28 เป็นเศรษฐีกันแล้ว ผมจะบอกว่าอย่าทิ้งโอกาส อย่าทิ้งเวลานี้ไป”
ลูกคนเล็กประหนึ่งพี่คนโต
ไม่แน่ใจเพราะเป็นฝาแฝดที่โตมาด้วยกันจนเหมือนเป็นเพื่อนดูโอกันตลอดเวลาหรือเปล่า ทำให้สองสาวพริม-แพรว เป็นคนช่างพูดช่างคุย ชอบออกไปพบปะผู้คน เพื่อนฝูงมากมาย ดูออกเป็นสาวสังคม ต่างจากลูกชายคนเล็ก “แพลน-ภาณุสิชฌ์” วัย 21 ที่อายุน้อยกว่าลูกสาว 2 ปี แต่กลับมีบุคลิกสุขุมสุภาพ ราวกับพี่คนโตมากกว่า ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว มองการณ์ไกล ช่างคิดวิเคราะห์ จะลงมือทำอะไรต้องหาข้อมูลมาแบบแน่นปึ้ก และออกเป็นหนุ่มติดบ้านด้วยซ้ำ
“ลูกคนนี้กิจกรรมเยอะ แต่ทุกอย่างชอบทำที่บ้าน ตอนเรียนอยู่อังกฤษคุณพ่อให้เงินเท่าไรก็หมดไปกับการซื้อหนังสือ แพลนให้เหตุผลว่าคอนเทนต์พวกนี้มีประโยชน์ครับ เวลาคุยกับใครจะได้รู้เรื่อง จำได้ตอนสอบติดเศรษฐศาสตร์ที่อังกฤษ คุณย่าจะซื้อรถให้ เขาขอไม่เอา แต่ขอเอาเงินซื้อรถไปลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมข้างๆ กับเอ็มควอเทียร์ ตอนนั้นยังสร้างไม่เสร็จ แพลนให้เหตุผลว่าราคาจะขึ้น ตอนนั้นคอนโดราคายูนิตละ 5 ล้าน ตอนนี้ขึ้นไปที่ 12 ล้าน แต่ไม่ทันแล้ว เพราะคุณย่าสั่งซื้อรถไปแล้ว ตอนนั้นถ้าพ่อแม่เชื่อลูกป่านนี้ลูกรวยไปแล้ว (หัวเราะ)” กรองกาญจน์ยืนยันนิสัยช่างคิดคำนวณของลูกชายคนนี้ โดยมีคุณพ่อเสริมต่อว่า
“ถ้าคุณพ่อของผมได้เห็นตอนแพลนโตขนาดนี้ท่านคงภูมิใจ เพราะท่านชอบเด็กที่เข้าหาผู้ใหญ่ และอย่างแพลนเจอผู้ใหญ่ปุ๊บเข้าไปคุยเลย เดี๋ยวนี้เวลาผมไปดูธุรกิจหรือทำงานต่างประเทศ ผมพึ่งพาเขาได้เลย เพราะถึงเขาจะเรียนเศรษฐศาสตร์แต่ก็ไม่ได้อยู่ในตำราอย่างเดียว” พงศ์พิพัฒน์เล่าถึงคุณสมบัติของลูกชายคนนี้อย่างเป็นปลื้ม ซึ่งในฐานะคุณพ่อคงหมดห่วงไปได้เปลาะหนึ่ง เพราะอย่างน้อยลูกๆ เป็นคนคิดดีทำดี มีความสามารถติดตัว ที่สำคัญทั้งสามแม้นิสัยไม่เหมือนกัน แต่รักใคร่กลมเกลียว ช่วยเหลือกันเป็นทีมเวิร์ก
แฝดสาวสายกิจกรรมสุดแอกทีฟ
ทำความรู้จักทายาทชมะนันทน์ทั้งสามผ่านมุมมองของพ่อแม่กันไปแล้ว ลองมาสัมผัสตัวตนของพวกเขาบ้าง สำหรับสองสาวในวัย 23 เพิ่งคว้าปริญญาโท เกียรตินิยมอันดับ 2 มาทั้งคู่ โดย “พริม-พิมพิศา” สำเร็จด้าน International Management&Finance ที่ SOAS, University of London ขณะที่ “แพรว-พิชามญช์” จบมาทาง Interior Design มหาวิทยาลัยเดียวกัน
ตามประสาคนรุ่นใหม่ไฟแรง ทั้งสองกลับมาเมืองไทยพร้อมสารพัดไอเดียผุดโปรเจกต์ลุยงานเพียบ ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ส่วนตัวอย่างการสร้างแบรนด์รองเท้าส้นสูงที่จะมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้, ก่อตั้งเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียในชื่อ Faddaily และการสานต่องานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของคุณพ่อกับโครงการ Co-Working Space ที่ศาลายา โดยเธอทั้งสองกำลังกระตือรือร้นและสนุกกับโปรเจกต์ใหม่นี้อย่างแรงชนิดว่าแย่งกันเล่าให้ฟังเลยทีเดียว
“โปรเจกต์ Faddaily เราตั้งใจให้เป็น ออนไลน์ คอมมูนิตี้ มากกว่าเป็นแค่บล็อก หรือแมกกาซีนออนไลน์ เรา 2 คนอยากสร้างแรงบันดาลใจจากสิ่งที่เรานำเสนอ เป็นเสมือนกูรูที่แนะนำเนื้อหาทุกด้านทั้งเรื่องนวัตกรรม, เทรนด์, เมกอัพ, บิวตี้, แฟชั่น เป็นอีกช่องทางหนึ่งให้คนเจเนอเรชันใหม่ที่เสพออนไลน์ได้เปิดกว้างและเรียนรู้” แฝดพริมฉายให้เห็นภาพกว้างถึงโปรเจกต์ Faddaily ที่เพิ่งเปิดมาได้ไม่กี่เดือน ซึ่งมีทั้งตัวเว็บและเฟซบุ๊ก ขณะที่แพรวอัปเดตคอนเซ็ปต์โปรเจกต์ Co-Working Space ที่มีเนื้องานหนักไปในแนวออกแบบตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เธอถนัดอยู่แล้ว
“ทำเลนี้เราไปเซอร์เวย์และรีเสิร์ชกับคุณพ่อมาแล้ว อยู่ใกล้กับ ม.มหิดล เราเรียกโปรเจกต์นี้เป็น Salaya Creative Space มากกว่าเป็นแค่ Co-Working Space ตั้งใจให้มีร้านอาหาร คาเฟ่ มีพื้นที่ออกกำลังกายแนวใหม่ต่างๆ เข้ามาด้วย ไปจนถึงมีพื้นที่เวิร์กชอป, พื้นที่จัดแสดง Art Installation ให้คนทั่วไปหรือนักศึกษามาโชว์ด้วย อยากให้ที่นี่เป็นศูนย์กลางของการพบปะแลกเปลี่ยนไอเดียของทุกคน ซึ่งเราได้คุยกับอาจารย์ที่มหิดล ท่านก็ว่าดี เพราะมหาวิทยาลัยขาดแคลนพื้นที่อ่านหนังสือ ทำให้นักศึกษาต้องเสียเวลาเข้าเมือง”
ถึงจะเป็นการก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงานจริงเต็มตัว แต่ทั้งหมดไม่ใช่งานแรกสำหรับพวกเธอทั้งสอง เพราะด้วยนิสัยไม่อยู่นิ่ง ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สองแฝดจึงเคยชิมลางประสบการณ์การทำงานมาบ้าง จากการฝึกงานสารพัดรูปแบบตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน และหลายงานไม่ใช่สาขาที่ตัวเองร่ำเรียนมา แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็นและชอบความท้าทาย สุดท้ายก็ดั้นด้นเรียนรู้ โดยมีคุณแม่เป็นกุนซือส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นงานโปรดักชั่น งานในกองบรรณาธิการนิตยสาร รายการทีวี งานออกแบบตกแต่งภายใน ไปจนถึงงานด้านการเงินจากหลากหลายบริษัท อาทิ สยามพิวรรธน์, ลิปส์, ช่อง ONE, ธนาคารกรุงเทพ, ISM Interior Architect, Credit Suisse และอีกเพียบ
พริม : เราอยากก้าวข้ามคำที่คนบอกว่าแบบนี้ทำไม่ได้ชัวร์ มันยิ่งเป็นแรงให้เราอยากทำ
แพรว : เราอยากท้าทายตัวเองว่า เราทำได้มากกว่าที่คนดูถูกไว้ แต่บางเรื่องก็มาจากตัวเราเองที่อยากทำอะไรใหม่ๆ อยู่แล้วทั้งคู่
พริม : คุณพ่อตามใจมาก ไม่ว่าจะอยากทำอะไรหรือเรียนอะไร แค่เตือนเรื่องทั่วไปอย่างคบเพื่อน เที่ยว วินัย การทำงาน ความรับผิดชอบ
แพรว : คุณพ่อจะออฟฟิศอาวร์มากๆ เวลาพวกเราทำงานต้องมาถึงออฟฟิศตรงเวลา ห้ามออกไปไถลข้างนอกก่อนเวลาเลิกงาน แต่เราทำโปรเจกต์ด้วยกัน ห้องนอนเราติดกัน บางทีคุยงานกันดึกถึงตี 2-ตี 3 แล้วต้องตื่นเช้าอีกก็เหนื่อยนะ แต่ตอนนี้เริ่มชิน
พริม : พอทำงานแล้ว สิ่งที่ได้เรียนรู้ คือต้องมีวินัย ทำอะไรทำจริง ไม่ใช่หยิบโหย่ง ต้องทำให้ต่อเนื่อง
แพรว : คือคุณพ่อเป็นแนวคอยแนะนำ แต่จะทำไม่ทำขึ้นอยู่กับตัวเรา ส่วนคุณแม่เป็นสายคอนเนกชันว่าต้องพูดคุยกับคนอย่างไร
นอกจากกำลังเพลินกับการเริ่มต้นชีวิตการทำงานแล้ว ชีวิตยามว่างของเธอทั้งสองก็ไฮเปอร์ไม่แพ้กัน จากเมื่อก่อนสนใจกิจกรรมสุดบู๊อย่างมวยไทย ฟันดาบ ไอคิโด้ ศิลปะป้องกันตัว มายามนี้กำลังอินกับการปั่นจักรยานอีดีเอ็ม ทำอาหาร และปีนผาจำลอง รวมถึงกำลังเตรียมแผนจัดกิจกรรมวิ่งมาราธอนการกุศลช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสบ้านแสงสว่าง ที่พวกเธอกระซิบว่างานบุญแบบถือโอกาสลดหุ่นไปในตัว เท่านั้นไม่พอ กิจกรรมอีกมุมหนึ่งที่ดูขัดกับคาแรกเตอร์ของสองสาว คือ กิจกรรมปฏิบัติธรรมสายแข็งชนิดนุ่งขาวห่มขาวที่พวกเธอต้องจัดตารางไปกันทุกปี
“เพื่อนคุณแม่พาไปครั้งแรก ตอนอายุ 15-16 จากนั้นช่วงวันเกิดเราจะไปกันทุกปี มีปีหนึ่งหลอกเพื่อนกว่า 30 คนไปปฏิบัติธรรมด้วย เพื่อนส่วนใหญ่เป็นเด็กอินเตอร์ก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกัน พวกเราไปปฏิบัติธรรมกัน 5 วัน เพื่อนบางคนนั่งสมาธิกันไม่ไหวก็มี เพราะพระอาจารย์ค่อนข้างโหด แต่หลายคนชอบนะ เพราะเขาไม่เคยเจอ รู้สึกว่าได้ประสบการณ์อะไรเยอะ” แฝดพริมย้อนถึงกิจกรรมปฏิบัติธรรมที่ไม่พ้นมีเรื่องฮา
หนุ่มน้อยอนาคตไกล
ปิดท้ายที่ลูกชายคนเล็ก “แพลน-ภาณุสิชฌ์” ที่เพิ่งหอบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้าน BSC Economic มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่สาว พร้อมพกพาไอเดียบุกเบิกธุรกิจของตัวเอง ภายใต้ชื่อบริษัทโชมาซอฟต์ และดูเหมือนไม่ใช่ธุรกิจที่ตัวเองร่ำเรียนมาโดยตรง แต่เกิดจากการผสมผสานสิ่งที่สนใจและประสบการณ์การทำงานของตัวเอง กับการเปิดตัวเว็บไซต์คอนเทนต์ร่วมสมัยรูปแบบใหม่ ที่มีฟอร์แมตการผสมผสานเครื่องมือโซเชียลมีเดียหลายๆ ประเภทเข้าด้วยกัน โดยหนุ่มน้อยคนนี้ตั้งใจปั้นนิวมีเดียของเขาให้ไปไกลถึงตลาดอาเซียนเลยทีเดียว จนอดถามไม่ได้ว่าสนใจธุรกิจไอทีขนาดนี้ทำไมจึงเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ เขาตอบคำถามนี้ด้วยเหตุผลคาดไม่ถึงว่า “เพราะอยากกลับมาพัฒนาประเทศ”
“คุณปู่ของผมเคยเป็นนายกรัฐมนตรี ช่วยประเทศชาติ ผมก็ซึมซับหลายๆ เรื่องมาจากท่าน จากการบอกเล่าของคนรอบข้าง ทำให้ผมอยากสานต่อความคิดของท่านในแง่ใดแง่หนึ่ง ก็คิดว่าเศรษฐศาสตร์จะช่วยตอบโจทย์ได้ดีที่สุด อีกอย่างผมมองว่าการหันมาทำเรื่อง นิวมีเดีย จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เยาวชนไทยหันมาสนใจด้านการเรียนหรืออย่างน้อยช่วยส่งเสริมให้เยาวชนมีมุมมองและเปิดโลกได้กว้างขึ้น”
ความสนใจในเทคโนโลยีการสื่อสารของแพลน เริ่มบ่มเพาะมาตั้งแต่เด็กจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้งการใช้โปรแกรมออกแบบกราฟิกต่างๆ ไปจนถึงการเขียนโค้ดโปรแกรม อาจเพราะเมื่อก่อนคุณแม่เคยจับธุรกิจให้คำปรึกษาการพัฒนาเว็บไซต์ ทำให้แพลนเองหัดรับงานพัฒนาเว็บไซต์ ออกแบบกราฟิกต่างๆ และ 3D แอนิเมชัน ตั้งแต่อายุ 15-16 เป็นเงินเก็บสะสมและนำมาเป็นทุนเปิดบริษัทของตัวเองตั้งแต่ยังไม่จบมหาวิทยาลัย
นอกจากโปรเจกต์งานส่วนตัวแล้ว แพลนยังเข้ามาช่วยประสานงานด้านต่างประเทศที่ไต้หวันและดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อังกฤษ ซึ่งเป็นธุรกิจของคุณพ่ออีกด้วย นับเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีมุมมองความคิดความสามารถเกินวัย
“ผมว่าทุกอย่างมันมาจากแพสชั่น ถ้าอยากเป็นมหาเศรษฐี เราก็ต้องเริ่มให้เร็ว ตอนอายุ 14-15 ผมเริ่มขอเงินคุณพ่อไปทำบริษัทพัฒนาโซเชียลเน็ตเวิร์กคล้ายๆ เฟซบุ๊ก แต่ตอนนั้นทำไปพักหนึ่งก็เลิก เพราะยุคนั้นเฟซบุ๊กยังไม่เข้าตลาดไทย ตั้งแต่นั้นมาผมก็ทำงานเก็บเงินมาเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเพราะคุณพ่อคุณแม่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีอยู่แล้ว ทำให้ผมซึมซับตรงนั้นมา”
“พอมีโอกาสพบปะกับผู้ใหญ่หลายคนที่ประสบความสำเร็จ ก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราอยากไปถึงเป้าหมายนั้นให้ได้ การที่เรามีเป้าหมายตั้งแต่เด็กจะทำให้เราต้องพัฒนาตนเอง หาความรู้ตลอดเวลา เพื่อให้ไปถึงจุดนั้น สิ่งที่ผมทำก็แค่รักในงานและทำเต็มที่ จัดการวางแผนให้รอบคอบและเก็บรายละเอียดให้มากที่สุด”
ช่างเป็นคนหนุ่มมุ่งมั่นกับเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่คิดแต่ลงมือทำจริง ไม่แปลกใจหากยามว่างของเขาจะบอกว่าชอบอ่านบทวิเคราะห์การพัฒนาประเทศต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงาน แต่ก็ใช่ว่าหนุ่มแพลนจะเป็นหนอนหนังสือตลอดเวลา เพราะกีฬาฮาร์ดคอร์อื่นๆ เขาก็สนใจและจริงจังไม่ต่างจากเรื่องงาน ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย มวยจีน โดยเฉพาะไอคิโด้ เล่นจริงจังถึงขั้นเคยเป็นครูฝึกสอนนักเรียนนายร้อยมาแล้ว
เรียกว่าตลอดการสนทนา นอกจากเต็มไปด้วยความครื้นเครงเฮฮาแล้ว ยังรู้สึกได้ถึงพลังสร้างสรรค์ที่พร้อมกระโจนไปข้างหน้า จากมุมมองความคิดของ 3 ทายาทหนุ่มสาวรุ่นใหม่ตระกูลชมะนันทน์ ทำให้ฟันธงได้ว่านี่คงเป็นดีเอ็นเอของครอบครัวนี้ซะแล้ว :: Text by FLASH