xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตที่ผ่านการออกแบบของสาวน้อยนักดีไซน์ จิราภา ลักษณวิศิษฏ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เจ้าของเรือนร่างสูงโปร่งถึง 173 เซนติเมตรคนนี้ คือ “มิลค์กี้-จิราภา ลักษณวิศิษฏ์” สาวน้อยวัย 19 ปี บุตรสาวคนโตของ “คุณศุภมาส ลักษณวิศิษฏ์” กับ “พ.ต.อ.สังวาลย์ ฤกษ์ศรีลักษณ์” รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมภาค 1 ที่กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาออกแบบสื่อสารดิจิตอล

“กำลังจะขึ้นปี 3 ค่ะ มิลค์เลือกเรียนทางด้าน Illustration ก็คล้ายๆ กับพวกคอมพิวเตอร์ กราฟิกค่ะ เราเองเป็นคนชอบวาดรูป ชอบออกแบบอยู่แล้ว มาเรียนสาขานี้ก็ได้ทำอะไรสนุกๆ เยอะเลย และเอาไปประยุกต์ได้หลายอย่าง จะไปทำพวกโปรดักต์ดีไซน์ก็ได้ ออกแบบโลโก้ ทำหนังสือก็ได้...

มิลค์อยากไปศึกษาต่อด้าน Fashion Communication ที่อังกฤษค่ะ เล็งที่เซนต์มาร์ตินไว้ คือที่จริงแล้วมิลค์อยากเรียนด้านแฟชั่นตั้งแต่ตอนจบไฮสกูลแล้วค่ะ แต่มหาวิทยาลัยของเมืองไทยภาคอินเตอร์ มันไม่มีสาขาที่เราอยากเรียนโดยตรง ก็เลยเลือกเรียนอะไรที่ใกล้เคียงและคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อยอดด้านงานแฟชั่นที่ตั้งใจไว้ได้”

เพราะตั้งใจจะไปศึกษาต่อที่สถาบันดัง เธอจึงตั้งใจเก็บรวบรวมพอร์ตผลงาน และตั้งใจเรียนเพื่อผลการศึกษาอันดีเยี่ยม “เทอมที่แล้วได้เกรดเฉลี่ย 4 ค่ะ ก็ดีใจมาก เกรดเฉลี่ยรวม 3.87 มิลค์ก็อยากได้เกียรตินิยมเหรียญทองอันดับหนึ่งนะ แต่ไม่รู้จะได้ไหม เพราะเพื่อนๆ ก็เก่งเหมือนกัน คือคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยกดดันนะ เป็นมิลค์เองที่อยากทำให้ดี เพราะรู้สึกว่าถ้าเราจะไปเรียนต่อ เกรดพวกนี้มันก็ช่วยให้เราได้เปรียบกว่าคนอื่น มีโอกาสที่เขาจะคัดเลือกเรามากกว่า”

เธอวางแผนไว้ว่า หลังจากเรียนจบจะทำแบรนด์เสื้อผ้าของตนเอง “เป็นการต่อยอดกิจการของครอบครัวค่ะ เพราะคุณแม่ทำธุรกิจผลิตเสื้อผ้าส่งออกอยู่แล้ว ชื่อ Mamere Fashion Wholesale Thailand โดยมีทั้งแบบที่คุณแม่กับทีมงานดีไซน์เอง และก็แบบรับผลิตตามที่ลูกค้าออกแบบ โดยส่งไปหลายที่ ทั้งดูไบ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ คือถ้ามิลค์จะทำแบรนด์ของตัวเองก็มีทุกอย่างรองรับเต็มที่ มีโรงงาน มีคนผลิตพร้อมอยู่แล้ว”

นอกจากกิจการเสื้อผ้าส่งออกแล้ว มิลค์กี้และคุณแม่ก็เริ่มเปิดธุรกิจใหม่อีกหนึ่งอย่าง คือ อาหารเสริมแบรนด์ Me Plus เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดีท็อกซ์ซึ่งมีส่วนผสมของคอลลาเจน

“เริ่มจากตัวมิลค์เองที่มีปัญหาเรื่องระบบขับถ่ายไม่ดี เพราะเป็นคนไม่ทานผัก ผลไม้ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว กินได้อยู่ไม่กี่ชนิดเอง มิลค์จะทานได้แต่พวกผักสลัดใบๆ นิ่มๆ ทุกวันนี้เวลาไปสั่งอาหารที่ไหนจะสั่งแบบไม่ใส่ผัก หรือถ้าเขาใส่มาก็จะเขี่ยๆ ออก ดังนั้นก็เลยต้องมีตัวช่วยเพราะบางครั้งไม่ถ่ายเป็นวันๆ เลย เราก็ลองมาสารพัดแบบ

จนกระทั่งมีเพื่อนคุณแม่แนะนำตัวนี้ให้ทาน เราลองแล้วเห็นว่าได้ผลดี ชอบตรงที่รับประทานง่าย คือเป็นผงชงกับน้ำ กลิ่นรสเหมือนน้ำผลไม้ อร่อยค่ะ รสไม่แย่ เลยกินได้ พอเขาชวนร่วมทำกับบริษัทของญี่ปุ่น เราก็เลยตกลงเพราะรู้สึกว่าไม่ใช่แค่เราที่เป็น คนสมัยนี้มีปัญหาเรื่องนี้กันเยอะ เพื่อนๆ เราหรือเพื่อนๆ คุณแม่ก็เป็น เราเห็นว่าตัวนี้มันได้ผลก็เลยอยากแบ่งปัน

กำลังจะออกวางขายอย่างเป็นทางการช่วงปลายปีค่ะ ตอนนี้มีขายแต่ในออนไลน์ ทาง IG กับ facebook โดยเริ่มจากตัวดีท็อกซ์ก่อน และก็จะมีตัวอื่นๆ ออกมาอีก อย่างคอลลาเจน แล้วก็พวก Block & Burn พวกเรื่องคุมน้ำหนัก ก็กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์กันอยู่ แล้วก็จะค่อยๆ ทยอยทำไปค่ะ”

นอกจากจะเป็นคนคอยทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์แล้ว เธอยังมีหน้าที่เป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ด้วย โดยได้แสดงฝีมือในการออกแบบผลิตภัณฑ์และภาพกราฟิกประชาสัมพันธ์ต่างๆ

“ได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาอย่างเต็มที่เลยค่ะ โดยหัวทางด้านการดีไซน์ มิลค์ได้มาจากคุณแม่เยอะเลย คือไม่ได้มานั่งสอนวาดรูป สอนออกแบบนะ เพราะที่จริงเขาไม่ได้เรียนมาทางนี้ เขาจบทางเศรษฐศาสตร์มา แต่คุณแม่ชอบพวกแฟชั่น งานดีไซน์มาตั้งแต่เด็กแล้ว และเขาก็มีประสบการณ์ต่างๆ มากกว่า ก็จะคอยช่วยออกความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์งานให้ ว่าขาดตรงไหน ควรเพิ่มตรงไหนบ้าง...

สไตล์มิลค์กับแม่จะคล้ายๆ กัน ชอบอะไรเหมือนกัน แต่จะไม่ค่อยได้แชร์เสื้อผ้ากันเท่าไร เพราะหุ่นไม่ได้ คุณแม่ตัวเล็กกว่าเรา แต่อย่างพวกเครื่องประดับ กระเป๋า บางทีก็มีใช้ร่วมกันบ้าง แต่มิลค์เองจะเน้นพวกมินิมัลมากกว่าอย่างพวก Tiffany & Co. อะไรพวกนี้

คุณแม่ไม่ค่อยได้มาใช้ของของมิลค์ มีแต่มิลค์แหละไปจิ๊กของแม่มาใช้ คือมิลค์ใช้ของทุกคนในบ้านได้ อย่างนาฬิกาโรเล็กซ์นี่ก็ของคุณพ่อ อย่างของเฮนรี่ (ฐิติวัฒน์ ลักษณวิศิษฏ์-น้องชายวัย 11 ขวบ) พวกเสื้อเชิ้ตมิลค์ก็ยังไปเอามาใช้เลย และพวกเขาไม่ชอบใช้ของร่วมกัน ดังนั้นพอเราเอามาใช้แล้ว เขาก็จะไม่ใช้อีกและมันก็จะตกเป็นของเราไปโดยปริยาย (หัวเราะ)”

ได้ยินแบบนี้ ก็เลยไม่แปลกใจเมื่อเธอบอกว่า ในบ้านนี้ข้าวของเธอเยอะที่สุด แล้วก็กระจายอยู่ทั่วทุกห้อง “ชอปเยอะไงคะ ทั้งที่ร้าน ทั้งออนไลน์ เดี๋ยวนี้ซื้อของง่ายมากแค่จิ้มๆ ก็เสร็จแล้ว ของมิลค์เลยเยอะไปหมด ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ที่สำคัญคือซื้อเข้าอย่างเดียว ไม่ค่อยโละทิ้ง เพราะคิดว่าเก็บไว้ใช้ ซึ่งบางอย่างก็ไม่ได้ใช้มาเป็นปีๆ เราก็ยังคิดว่าเดี๋ยวอนาคตจะได้ใช้ เลยทำใจทิ้งไม่ได้สักอย่าง”

นอกจากข้าวของที่สามารถหยิบยืมกันใช้แล้ว ครอบครัวนี้ยังมีความรัก ความผูกพันที่แสนอบอุ่นอีกมากมาย โดยมิลค์ยอมรับว่าเป็นคนติดครอบครัวมาก “มิลค์จะสนิทกับที่บ้านมาก อย่างคุณแม่นี่คือเหมือนเพื่อนมากกว่า มีอะไรเราสามารถพูดคุยได้หมด ปรึกษาได้หมด ไม่เคยมีอะไรปิดบัง เขารู้จักเพื่อนเราทุกคน และทั้งครอบครัวจะทำกิจกรรมร่วมกันตลอด วันหยุดว่างๆ ถ้าไม่ไปต่างจังหวัดแถบๆ ชายทะเล พวกหัวหิน บางแสน พัทยา หรือเขาใหญ่ ก็จะออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน เดินห้างบ้าง ดูหนังบ้าง ถ้าอยู่บ้านก็จะเปิดทีวีดูซีรีส์กัน หรืออย่างช่วงปิดเทอมก็จะมีทริปครอบครัว

บ้านเราเดินทางเยอะมาก อย่างฮ่องกงนี่ มิลค์ไปเป็นบ้านหลังที่ 2 เลย ไปบ่อยมากขนาดหลับตาเดินได้ เวลาไปก็จะไปเดินชอปปิ้ง ไปเดินหาของอร่อยกิน ไปไหนมาไหนได้คล่องและรู้สึกอุ่นใจไม่ต่างจากอยู่เมืองไทย เพราะคุณแม่ทำธุรกิจกับคนที่นั่น ก็จะพาเราไปด้วยตั้งแต่เด็ก แต่ก่อนไปแทบทุกเดือน ตอนนี้น้อยลงเพราะมิลค์ติดเรียน หยุดไม่ได้”

นอกจากฮ่องกงที่ไปบ่อยๆ แล้ว ยังมีทริปประจำปีอีกปีละ 3-4 ทริป ที่ทั้งครอบครัวเดินทางไปท่องเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตากัน “ต้องอาศัยช่วงหยุดยาวที่ทุกคนว่าง ไปเที่ยวด้วยกัน จุดหมายก็แล้วแต่ช่วงไหนอยากไปไหน โดยส่วนใหญ่จะเป็นมิลค์กับคุณแม่จะเป็นคนเลือก คุณพ่อกับเฮนรี่จะเป็นฝ่ายตามใจ ไปมาหลายที่แล้ว ที่ประทับใจน่าจะเป็นที่ฟินแลนด์ ตอนนี้มิลค์ยังเด็ก จำได้ว่าตื่นเต้นมากเพราะอยากเจอซานตาคลอส ต่อคิวนานเป็นชั่วโมงเพื่อจะไปนั่งตักถ่ายรูปกับซานต้า พอมองย้อนกลับไปรู้สึกติงต๊องมากเลยค่ะ แต่ตอนนั้นรู้สึกมีความสุขมาก เพราะกว่าจะไปถึงเราได้นั่งรถให้กวางลาก และก็หนาวมาก มีแต่หิมะเต็มไปหมด

ส่วนทริปหน้า ตั้งใจว่าจะไปฝรั่งเศสกัน มิลค์อยากชอปปิ้ง เพราะที่นั่นของถูกกว่าบ้านเรา ชอปสนุกกว่าเยอะเลยค่ะ” น้องมิลค์กล่าวทิ้งท้าย :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น