>>กระแสร้อนแรงจากการปิดตัวของนิตยสารอิมเมจยังไม่จบ เมื่อ โจ-วิโรจน์ วชิรเดชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทรีแดนซ์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ถือหุ้นบริษัท อิมเมจ พับลิชชิ่ง จำกัด ออกมาตอบโต้กรณีที่แอ-คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและอดีตกรรมการผู้จัดการนิตยสารอิมเมจ ได้โพสต์ภาพ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ในเฟซบุ๊ก ‘Kamron Pramoj’ พร้อมอ้างว่า ภาพดังกล่าวเป็นปกอิมเมจที่ต้องวางแผงในเดือน พ.ค. แต่ภายหลังกลับเปลี่ยนเป็นใช้ภาพแคทรียา อิงลิช ที่แต่แรกกำหนดไว้ว่าจะใช้สำหรับเดือน มิ.ย.แทน
จากกรณีดังกล่าว ล่าสุด ผู้สื่อข่าวของเซเลบออนไลน์ ได้สอบถามไปยัง แอ-คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา เพื่อสอบถามถึงกรณีที่เกิดขึ้น
“ผมเป็นผู้ก่อตั้งของอิมเมจ และเป็นเจ้าของ 100% ของอิมเมจแต่เพียงผู้เดียว ในช่วงแรกพอดีมีโอกาสรู้จักกับคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) คุณไพบูลย์ สนใจอยากมาซื้อหุ้นก็ตามจีบอยู่หลายปี ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจขายหุ้นอิมเมจให้คุณไพบูลย์ 70% ผมถือไว้ 30% ตลอดเวลา 19 ปีที่อยู่กับจีเอ็มเอ็มมา ถือว่าเป็นครอบครัวที่มีความสุขมากๆ”
“กระทั่งเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา วงการนิตยสารอยู่ในช่วงขาลง เนื่องจากเส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจอย่างโฆษณาลดลง ผมเองได้เรียนกับคณะกรรมการใหญ่ของทางจีเอ็มเอ็มถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้นปี 58 จึงเสนอว่าให้ปิด ในฐานะผู้บริหารเราก็พร้อมจะจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานที่อยู่กับเรามานาน ทุ่มเทให้กับการทำงาน แต่ทางคณะกรรมการของทางแกรมมี่มองว่าน่าจะลองมองดูว่ามีใครอยากจะซื้อหัวนิตยสารนี้ต่อหรือไม่ ซึ่งตามเงื่อนไขทั้งผมและทางแกรมมี่จะขายหุ้นทั้งหมด”
“ตอนนั้นตัวผมเอง ก็คิดว่าสมควรกับวาระที่จะหยุดการทำงาน แต่ผู้ที่ซื้อหัวนิตยสารของเราไปและคุณไพบูลย์ขอให้ทำต่อ ผมเกรงใจคุณไพบูลย์ ผมก็เลยทำ บริษัท อิมเมจ พับลิชชิ่ง จำกัด จึงมีคณะกรรมการ 3 คน ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ และเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท อิมเมจ พับลิชชิ่ง จำกัดด้วย นอกจากนี้ยังเป็น 1 ใน 4 ของกรรมการบริษัท ทรีแดนซ์ โฮลดิ้ง จำกัด พร้อมนั่งตำแหน่งบรรณาธิการบริหารของอิมเมจต่อไป ซึ่งหมายความว่าต้องรับผิดชอบทั้งเนื้อหา ผู้แสดงแบบ และภาระที่เกี่ยวพันกับกฎหมายของนิตยสารอิมเมจทั้งหมด
“สำหรับผมเวลาที่เราจะเดินเข้าไปสมัครงาน เราก็ต้องดูว่าองค์กรนั้น เขามีความน่าเชื่อถือมั้ย หรือ อยากรับเราเข้าไปทำงานมั้ย เวลาที่เรามีพาร์ตเนอร์ในการทำธุรกิจเราก็ต้องดูอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอย่างไร ซึ่งตอนที่เขาเข้ามาซื้อหุ้นอิมเมจเมื่อปีที่แล้ว ผมเองไม่มีสิทธิ์เลือกผู้ซื้อ เพราะผมถือหุ้นส่วนน้อย ด้วยความรักและเคารพทางจีเอ็มเอ็ม เมื่อทางคุณไพบูลย์ว่าอย่างไร ผมก็ว่าอย่างนั้น”
จุดแตกหัก!?
แอ บอกว่า ปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เขาตัดสินใจยื่นจดหมายลาออกจากการเป็นคณะกรรมการ กรรมการของบริษัททั้ง 2 แห่ง รวมทั้งตำแหน่งบรรราธิการบริหารอิมเมจ โดยจะมีผลบังคับสิ้นเดือน เม.ย. นั่นหมายความว่ากระบวนการดำเนินการทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากเดือน พ.ค.ไม่เกี่ยวกับเขาอีกต่อไป
“ความรับผิดชอบในการทำงานเดือนสุดท้ายของผมที่อิมเมจ คือ ทำนิตยสารเดือน พ.ค.ให้ออกสู่สายตาผู้อ่าน แต่ปรากฏว่าวันที่ 27 ม.ย. ตัวพี่และพนักงานทุกคนได้รับทราบจากฝ่ายบุคคลว่า อิมเมจฉบับเดือน พ.ค. จะเป็นฉบับสุดท้าย ซึ่งตอนที่ผมยื่นใบลาออกผมไม่รู้ก่อนว่านิตยสารจะปิดตัว ตามที่ผู้บริหารของบริษัท ทรีแดนซ์ โฮลดิ้ง จำกัด ผู้ถือหุ้นบริษัท อิมเมจ พับลิชชิ่ง จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า ทีมบริหารได้คุยเมื่อกลางเดือน มี.ค. เพื่อพิมพ์เดือน พ.ค.เป็นเล่มสุดท้าย ด้วยตำแหน่งต่างๆ ผมไม่เคยได้รับทราบการประชุมดังกล่าว”
ถามว่าทำไมถึงตัดสินใจยื่นใบลาออก แอบอกว่า คิดมาตั้งแต่ช่วง ต.ค. ปีที่แล้ว หลังจากบริษัท ซีทรู ซึ่งเป็นบริษัทในเครือทรีแดนซ์ โฮลดิ้ง จำกัด ตัดสินใจถอนตัวออกไป ด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ผมเองอาจจะนิสัยเสีย ด้วยความที่เราเคยมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของหรือพาร์ตเนอร์ของธุรกิจ พอมาถึงตอนนี้คิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมจะเป็นลูกจ้าง จริงๆผมก็คุยกับทางจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่มาตั้งแต่ปี 58 แล้วว่าจะหยุด และอยากไปทำอะไรที่ฝันของตัวเอง เพราะในช่วงปี 58 ที่เสนอว่าให้หยุดทำตั้งแต่แรก เรามองแล้วว่าสิ่งที่เราสร้างมาเป็นเวลา 27 ปี กำลังอยู่ในช่วงที่สวยงาม ผมอยากให้เป็น Sleeping beauty ผมอยู่ในวงการนี้มา 28 ปี ก็ถือว่านานพอแล้วนะ เวลาที่นิตยสารที่เราทำมาจะจากไป เราก็อยากให้ไปแบบสวยๆ เท่ๆสวยๆ แบบดีๆ เป็นการตอบแทนผู้อ่าน”
“สำหรับปกนิตสารที่ตกเป็นประเด็น ต้องบอกว่า เดิมทีเราล็อกคิวชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต ไว้ตั้งแต่ต้นปี เพราะก่อนนี้เรามีโปรเจกต์เตรียมไว้ เลยขอล็อกคิวเดือน เม.ย. ปรากฏว่าพอจะถึงเวลาโปรเจกต์ที่เตรียมไว้ถูกยกเลิกไป ผมเองก็เกรงใจและเสียดายคิวของชม เลยตัดสินใจใช้คิวชมต่อในการถ่ายปก ซึ่งผมปรารถนาให้ชมเป็นปกเดือน พ.ค.”
“ในการทำงานนิตยสารผมต้องเซ็นกำกับทุกหน้าก่อนหนังสือจะออก ซึ่งผมได้ลงชื่อกำกับในส่วนที่เป็นปกของชมไปแล้ว จนกระทั่งนิตยสารออก ผมในฐานะบก.บห. ของฉบับเดือน พ.ค.ซึ่งจะได้รับนิตยสารที่ออกจากแท่นก่อน พอเห็นปกเป็นแคทรียา อิงลิช ผมก็รู้สึกเซอร์ไพรส์นะ แต่ด้วยสิทธิของเจ้าของหนังสือ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ผมก็แค่รู้สึกเสียดาย เพราะอย่างที่รู้ว่า เดือน พ.ค. ชมคือคนในกระแสที่ใครๆก็พูดถึง ส่วนตัวผมไม่มีปัญหากับน้องๆที่รักในวงการ กับตัวแคทเองผมก็รู้จัก ตั้งแต่น้องมาแจ้งเกิดจากแกรมมี่ เพียงแต่รู้สึกเสียดายอย่างที่บอก”
สำหรับที่มาของกระแสดราม่าจากเฟซบุ๊กส่วนตัว แอบอกว่า “จนตอนนี้ยังสับสนว่า เฟซบุ๊กเป็นพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ส่วนบุคคล เพราะจริงๆแล้วตามกติกาของเฟซบุ๊ก ถ้าโพสต์ไหนเป็นการให้ร้ายคนหรือผิดศีลธรรม เฟซบุ๊กมีสิทธิ์ที่จะดูดโพสต์นั้นออกไป ซึ่งที่ผ่านมาผมเองก็ไม่เคยโดนนะ สิ่งที่พี่โพสต์ไม่ได้เป็น public แต่พอมีสื่อยักษ์ใหญ่แคปเจอร์หน้าจอเฟซบุ๊กของผมไปโพสต์ต่อโดยไม่บอกกล่าวจนเป็นประเด็น ไปสัมภาษณ์ผู้บริหารอีกฝ่าย โดยไม่ได้ถามอะไรผมผมก็ได้แต่งงว่า ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ เพราะผมเองไม่เคยทำ ถึงแม้จะเป็นสื่อมวลชน ผมก็ไม่เคยแคปเจอร์หน้าจอใครทำเป็นข่าว”
“กับสิ่งที่อีกฝ่ายตอบโต้ ผมไม่ค่อยได้ใส่ใจ มาถึงตรงนี้ ถ้าวันหนึ่งได้รับหมายศาล ก็คงต้องเป็นเรื่องของกระบวนการต่อไป ค่อยว่ากัน แต่สิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์ในวันนี้ คือ เรื่องราวความรู้สึกของผมจริงๆ ผมตัดใจกับอิมเมจไปตั้งแต่ปี 58 แล้ว มาถึงวันนี้ผมเองก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้ เพราะถ้าทำได้ ผมคิดว่าถ้าผมปิดตั้งแต่วันนั้น เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น จนถึงวันนี้ผมอิ่มกับความสำเร็จในช่วงที่ตลาดนิตยสารบ้านเราบูมสุดๆแล้ว แต่ผมยังเชื่อมั่นในอนาคตของสิ่งพิมพ์ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีสิ่งพิมพ์ที่อยู่รอดได้เยอะ สำหรับผมผมมาถึงจุดที่อิ่มตัวกับตลาดสิ่งพิมพ์และอยากไปทำอะไรเล็กๆ ของตัวเอง”
“จากนี้ไป ถ้าอิมเมจกลับมาผมคงเป็นผู้ซื้อ อยู่ในแพลตฟอร์มของผู้บริโภคคนหนึ่ง และอยากให้ทุกคนติดตามอิมเมจต่อไป มีอีกมากมายหลายคนตื่นเต้นอยากเห็นเซตแฟชั่นของชม ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าได้กระแสโปรโมตไปในระดับหนึ่งแล้ว และผมเชื่อว่า ต่อไปเขาต้องทำออกมาได้ดี และใครที่มอบความรักให้กับหัวหนังสือที่ผมเป็นผู้ก่อตั้ง ก็ขอให้ติดตามรักแล้วรักเลยต่อไป” แอกล่าวทิ้งท้าย :: Text by FLASH