>>ช่วงปีที่ผ่านมา สังคมไทยมีโอกาสคุ้นหน้ากับหนุ่มหล่อหุ่นเพอร์เฟกต์ ทายาทรุ่นใหม่ในธุรกิจหมื่นล้านของ ช.การช่าง ทั้งทางสื่อออนไลน์ ข่าวสังคม ธุรกิจ บันเทิง แฟชั่น ไลฟ์สไตล์ หรือแม้กระทั่งรายการทีวีกระชากเรตติ้งอย่าง The Face ซีซัน 2 ระดับความฮอตของเขาบอกได้ด้วยยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมส่วนตัวของเขา @joetrivis ที่มีจำนวนกว่า 60,000 ราย
“โจ้-ณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์” บุตรชายคนสุดท้องในครอบครัวพี่น้องสามคนของ “ปลิว-สายเกษม ตรีวิศวเวทย์” สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี 2 สาขา ด้านวิชวล อาร์ต และวิศวกรรมไฟฟ้า และปริญญาโทด้านการเงิน จากนั้นอยู่ทำงานด้านไฟแนนซ์ต่อที่นิวยอร์กอีก 6 ปี ก่อนเดินทางกลับมาเมืองไทยเพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัว
การใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกานานถึง 16 ปีของเขา จะว่าเป็นฝันร้ายก็ได้ แต่มันก็ทำให้เขารู้จักและเป็นตัวตนของตัวเองในปัจจุบันที่มีความสุข “ผมเป็นคนขอพ่อกับแม่เองว่าจะไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาตอน ม.4 ในมุมหนึ่งเรารู้สึกว่าพลาดประสบการณ์วัยเด็กบางอย่างไป เช่น การได้อยู่กับครอบครัวอบอุ่นที่มีพ่อแม่พี่น้อง ผมกลับไปอยู่คนเดียวที่อเมริกาตอนอายุ 15-16 ซึ่งพอมองย้อนกลับไป ผมคิดว่าทุกคนตอนอายุ 15-16 เป็นช่วงเวลาที่กำลังค้นหาตัวตนของตัวเอง เป็นวัยรุ่นที่ต้องการการยอมรับจากเพื่อน แต่พอตัดสินใจไป ผมก็กลายเป็นเนิร์ด เป็นคนเอเชียที่ไม่มีใครให้ความสนใจ และเป็นเอเชียเพียงไม่กี่คนในโรงเรียน อันนี้ก็เป็นปมของผมตั้งแต่เด็ก ที่ว่าไม่เป็นที่ยอมรับของใคร
แต่มันก็เป็นปมที่ทำให้ผมตั้งใจเรียน ทำให้ผมรู้สึกอยากจะเก่งกว่าคนอื่น ซึ่งถ้าเกิดผมไม่ตัดสินใจเลือกที่จะไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา ผมอาจจะกลายเป็นเด็กสปอยล์ก็ได้ เพราะว่าพ่อแม่มีเงิน อยู่ ม.4 ม.5 ที่เมืองไทย ผมอาจจะป็อปปูลาร์ไปอีกแนวหนึ่งก็ได้ (หัวเราะ) ตอนเด็กๆ ก็รู้สึกทรมานอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ผ่านมาได้” เขาสารภาพว่า ภาพความกลัวที่จะตื่นไปเรียนไม่ทัน และภาพเด็กเนิร์ดของตนเองสมัยมัธยมปลาย ยังกลายเป็นปมที่ติดตาเขาในความฝันอย่างไม่เคยเลือนหายตราบถึงทุกวันนี้
การได้ทำงานที่สหรัฐอเมริกาก่อนกลับมาทำงานที่บริษัทของครอบครัว ทำให้โจ้เรียนรู้ว่า การเป็นลูกจ้างบริษัทมันเป็นอย่างไร เขาบอก “ถ้าเราไม่ได้เริ่มจากการเป็นลูกจ้างมาก่อน แล้วมาบริหารคน มันอาจจะทำได้แบบไม่ครบเท่าไหร่ เพราะการบริหารคนจริงๆ เราต้องเข้าใจคนด้วย เราเองเคยอยู่ตำแหน่งนั้นมาก่อน พอมาเป็นผู้บริหารเอง เราก็จะเข้าใจได้มากขึ้น”
โจ้เริ่มงานที่ ช.การช่าง ในตำแหน่งผู้จัดการสำนักกรรมการผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท “ตอนมาทำงานรับเหมาก่อสร้างใหม่ๆ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างต่างจากสิ่งที่เรียนมา หรือเคยทำมา และอาจจะเป็นอาการช็อกนิดๆ ที่เพิ่งกลับมาจากสหรัฐอเมริกาปุ๊บแล้วถูกส่งไปทำงานอยู่หน้างานก่อสร้างเลย คือจากการที่นั่งทำงานในออฟฟิศมาตลอด ทำงานไฟแนนซ์ เย็นๆ ออฟฟิศสวยๆ อยู่ในนิวยอร์ก พอกลับมาเมืองไทยโดนสั่งให้ไปทำงานอยู่ไซต์ก่อสร้างตรงไซต์งานสายสีม่วง รัตนาธิเบศร์ ออฟฟิศเป็นกล่อง ลำบากนิดหนึ่ง แต่ก็แปลกดี
ถือเป็นความท้าทายอันใหม่ และมันทำให้เราเรียนรู้จริงๆ ว่า ธุรกิจของ ช.การช่าง เป็นอย่างไร ออฟฟิศหรูๆ งามๆ ที่ตรงนี้ไม่ใช่ ช.การช่าง นะ ช.การช่าง คือการที่วิศวกรต้องอยู่ตรงหน้างาน ตัวดำๆ ร้อนๆ โดนแดด เหงื่อไหล ซึ่งการที่เราได้ไปลำบากลำบนอยู่ตรงนั้น ทำให้เราได้เห็นว่าวิศวกรของ ช.การช่าง เขาทำงานอย่างไร เป็นนิวเคลียสที่ขับเคลื่อนธุรกิจของ ช.การช่าง ที่แท้จริง
“ตอนแรกผมเหมือนไปเรียนรู้งานมากกว่า เพราะต้องไปประกบกับโปรเจกต์ แมเนเจอร์เลย เริ่มต้นโครงการตั้งแต่ไปสำรวจสายไฟ ไปเดินข้างถนนร้อนๆ ดูว่าสายไฟแบบนี้ถ้าเราจะต้องเอาลงดินจะทำอย่างไร และต้องดูว่าถ้าเอาลงดินแล้วมันจะติดกับท่อประปาไหม ถ้าติดก็ต้องไปคุยกับการประปาอีก แล้วก็จะมีแบบที่เราประมูลงานมาได้ ต้องมานั่งดูแบบว่ามันทำได้จริงหรือเปล่า เพราะเราต้องทำจริง เราดูหน้างานจริง และต้องคุยกับฝ่ายที่ปรึกษาที่ทำงานให้กับรัฐบาล มีการแก้แบบ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการก่อสร้างที่แท้จริง
“ก็ดีนะครับ เพราะการเข้ามาเป็นผู้บริหารในองค์กรของ ช.การช่าง จะต้องเข้าใจเนื้องานที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ถ้าเข้ามาแล้วมาอยู่ตรงสำนักงานใหญ่เลย ไม่ได้เข้าไปอยู่หน้างานก็จะมองภาพไม่ออก และจะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ”
หลังจากเรียนรู้งานใน ช.การช่าง มา 4 ปี ผู้เป็นบิดาต้องการให้ลูกชายคนสุดท้องได้เป็นผู้บริหารเต็มตัว จึงแต่งตั้งให้เขาเป็น MD ที่ Bangkok Metro Networks Limited (BMN) บริษัทลูกของ บมจ.ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เพื่อให้เรียนรู้งานที่แปลกใหม่ รวมทั้งรับผิดชอบงานที่สูงขึ้น
“BMN เป็นผู้พัฒนาเชิงพาณิชย์ในรถไฟฟ้า MRT ทำทั้งสื่อโฆษณา มีพื้นที่ขายปลีกในเมโทรมอลล์ และทำโทรคมนาคมให้กับสื่อโปรไวเดอร์ต่างๆ ไม่ว่าเอไอเอส ดีแทค หรือทรู ให้เขามาติดตั้งเพื่อให้สัญญาณสามารถใช้ได้ในรถไฟฟ้าใต้ดิน ตรงนี้เป็นอีกธุรกิจหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับมีเดีย ที่เริ่มมีสีสัน มีอะไรที่แตกต่างจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ผมก็เลยค่อนข้างใช้เวลามาเรียนรู้และทำความรู้จักกับธุรกิจนี้ให้มากขึ้น รวมทั้งทำความรู้จักกับผู้คนในวงการมีเดียมากขึ้นด้วย”
โจ้เพิ่งเริ่มธุรกิจใหม่ได้ประมาณครึ่งปี เขาเล่าว่า “ตอนแรกมาทำใหม่ๆ ผมก็งงๆ อยู่เหมือนกันว่า อะไรคือ Sticker Wall Wrapped อะไรคือ Light Box หรือวิธีการติดโฆษณาต้องใช้สติกเกอร์ไวนิล เราต้องไปเรียนใหม่ว่ามันมีสติกเกอร์หลายแบบ แต่ละอันมันมีวิธีใช้ต่างกัน จะเอาสติกเกอร์มาติดพื้นนั้น มันก็มีสติกเกอร์เฉพาะของมันที่ต้องกันลื่น ทุกวันนี้ยังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ สนุกดี
“ตอนนี้เราประสบปัญหาอยู่บ้างเหมือนกันว่า เดือนหนึ่งเดือนสองของปี 2559 ลูกค้าเริ่มที่จะระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น อย่างที่ผ่านมาตอนต้นปีเราจะเห็นลูกค้าจองสื่อทั้งปี ตอนนี้มีผลกระทบบ้างแล้ว คือแทนที่เขาจะจอง 12 เดือน เขาก็จองแค่ 6 เดือน ที่จองแค่ 3 เดือนก็มี ทางเราก็พยายามพัฒนาตัวเองไปด้วยนะ เพราะเข้าใจว่ายุคนี้เป็นยุคที่มีดิจิตอลมากขึ้น ลูกค้านิยมใช้สื่อไวรัล สื่อโฆษณาออนไลน์มากขึ้น เพราะใช้งบต่ำกว่า เข้าถึงคนได้มากขึ้น เพราะคนหันมาใช้มือถือมากขึ้น
ทาง BMN เองก็พยายามที่จะเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น อาจจะทำเป็น Job Interactive มากขึ้น ใช้สื่อที่ไม่ใช่แค่พรินต์ อาจจะมี 3D ป็อปอัพ มีเสียงจิงเกิลเวลาคนเดินผ่าน มีปล่อยกลิ่น ก็พยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ มาเสริมมีเดียของเรา เพราะว่ามีเดียของเราจริงๆ แล้วมันอยู่ในพื้นที่ปิด อยู่ใต้ดิน ซึ่งต่างจาก BTS ก็เลยพยายามคิดว่าจะทำอะไรใหม่ๆ เพื่อจะเพิ่มมูลค่าของของสื่อใน MRT และเพื่อสู้กับสื่อดิจิตอลสื่อออนไลน์ต่างๆ
“ข้อกำหนดในการโฆษณาใน MRT แต่ก่อนตอนที่เปิดใหม่ๆ ค่อนข้างเข้มงวดมาก หลักๆ คือห้ามทำให้ผู้โดยสารตกใจ ภาพต่างๆ ห้ามโป๊ ห้ามโชว์โน่นโชว์นี่ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาตกแต่ง อย่างเช่นถ้าเราจะทำเป็นป็อปอัพขึ้นมา ถ้าเป็นไม้ติดไฟก็จะห้ามใช้ อะไรที่ทำให้เกิดควันก็ห้าม และถ้ามีของมาวางต้องวางให้มิดชิด เพราะเขากลัวว่าจะมีคนเอาระเบิดไปวาง เป็นต้น แต่เราก็พยายามที่จะหาทางทำให้มันเกิดขึ้นมาได้”
จากเรื่องราวการทำงานที่ท้าทายและต้องใช้พลังความคิด บทสนทนาของหนุ่มวัย 35 ปีก็ผ่านมาถึงเรื่องไลฟ์สไตล์ โจ้บรรยายภาพตัวเองให้ฟังว่าเขาเป็นคนง่ายๆ สบายๆ
“ผมชอบออกกำลังกาย วันจันทร์ถึงศุกร์จะหาเวลาสัปดาห์ละ 3 วันไปออกกำลังกาย วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็จะตื่นสายๆ หน่อย ถ้าไม่ออกกำลังกายก็จะไปดูหนังฟังเพลง แล้วเล่นวิดีโอเกม ซึ่งตอนนี้โตแล้วก็ยังชอบเล่นวิดีโอเกมเหมือนเดิม (หัวเราะ)
“ผมออกกำลังกายมาตั้งแต่เรียนมัธยมปลายที่อเมริกา เหมือนถูกบังคับ เพราะที่นั่นหลังเลิกเรียนบ่ายสามจะต้องเล่นกีฬา 2 ชั่วโมง ทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์จะไปแข่งกีฬากับโรงเรียนเพื่อนบ้าน แต่มาออกกำลังกายแบบเข้าฟิตเนส ยกเวต สร้างซิกแพก สร้างกล้ามตอนเรียนปริญญาโท ตอนนั้นเริ่มใส่ใจตัวเอง เพราะไม่อยากให้ใครมองว่าเราคนเอเชียผอมบาง ตัวเล็ก ซึ่งผมไม่ชอบความคิดนั้นมาตั้งแต่เด็กแล้ว จึงรู้สึกว่าอยากจะออกกำลังกายให้ตัวใหญ่ขึ้น ด้วยการสร้างกล้ามเนื้อ
“ทุกวันนี้ผมเล่นเน้นลีนมากกว่า เล่นให้กำลังดี มีความสุขกับรูปแบบที่ตัวเองชอบก็พอ ไม่ได้เล่นเพื่อแข่งขันเอารางวัล (หัวเราะ) ผมมีความสุขกับการออกกำลังกาย และมีความสุขกับการมีซิกแพก
“ปกติผมยกเวต ทำสูตรนี้มาตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้ว คือวันนี้กล้ามเนื้อ อก ไหล่ หลัง ขา เปลี่ยนไปเรื่อยๆ และทุกวันผมเล่น abs (หน้าท้อง) วันที่เล่นอกก็เล่นไตรเซป หลังก็เล่นไบเซป และพยายามกินอาหารให้ถูกต้อง นอนให้เพียงพอ พยายามใช้ชีวิตให้ครบสูตร เพราะมันจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาได้”
เรื่องอาหารการกินก็สำคัญ เขาบอก “ผมพยายามลดแป้ง ลดของหวาน ลดของทอด กินเนื้อที่ไขมันน้อย กินโปรตีนที่ไม่อ้วน และพยายามกินหลายๆ มื้อถ้าเป็นไปได้ มื้อละหน่อย กินแป้งได้ แต่หลังเที่ยงไปแล้วจะลด แอลกอฮอล์ก็พยายามหลีกเลี่ยง ฟังดูเพอร์เฟกต์ไหมครับ แต่ในชีวิตจริงเราต้องพยายามปรับมาใช้ เพราะจริงๆ เราไม่ได้เป๊ะตามนั้น บางวันไปงาน เจอผู้ใหญ่ เขาดื่มไวน์กัน เราก็ต้องดื่มกับเขาบ้าง ตรงนี้เราต้องรู้จักผสมผสานและหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
“ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนมีวินัยมากนะครับ เพราะตั้งแต่เรื่องเรียนหนังสือ พูดได้เลยว่าผมไม่เคยโดดเรียนเลย และไม่เคยผิดนัดส่งการบ้านเลย ผมรู้สึกว่าถ้าเรามีวินัย ทำการบ้านครบ ฟังอาจารย์สอนอย่างตั้งใจ มันเป็นความสำเร็จที่ได้มาง่ายมากเลย การออกกำลังกายก็เหมือนกัน ถ้าเรามีวินัย ออกกำลังกาย กินสิ่งที่ควรจะกิน นอนให้เพียงพอ คุณก็จะมีกล้ามได้เหมือนกัน”
นอกจากรูปร่างหน้าตาดีอย่างคนมีวินัยแล้ว สิ่งที่ช่วยทำให้โจ้ดูดีขึ้นอีกมากในสายตาของคนที่รู้จักเขา นั่นคือ “ผมไม่ใช่คนติดแบรนด์เนม ไม่ได้ขับรถสปอร์ตหรูๆ ราคายี่สิบ-สามสิบล้าน ไม่มีเรือยอชต์หรือเครื่องบินส่วนตัว ผมเป็นตัวของตัวเอง ที่ไม่ได้สร้างภาพขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม”
ความฟุ่มเฟือยของเขาคืออะไร - เป็นคำถามสุดท้าย โจ้นิ่งคิดอยู่นานก่อนให้คำตอบว่า “โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว ผมไม่ใช่คนที่ชอบชอปปิ้ง ตอนนี้ยังอยู่กับที่บ้าน ไม่ได้มีคอนโดมิเนียมส่วนตัว ถ้ามีความฟุ่มเฟือยบ้างก็คงเป็นการออกไปกินอาหารหรูๆ …แต่ผมคิดว่าชีวิตก็คงจะมีบ้าง”
:: Hobby
“นอกจากออกกำลังกายแล้ว ผมก็เล่นวิดีโอเกม อย่างที่บอกว่าเล่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว (หัวเราะ) ผมโตมาในยุคที่วิดีโอเกมกำลังบูมพอดี ตอนผมอายุหก-เจ็ดขวบ มาริโอ้ดังมาก ทุกวันนี้ บางครั้งคุณพ่อก็งงว่าทำไมผมยังเล่นเกมอยู่
ผมว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นของเล่นสำหรับเด็กเสมอไป มันเหมือนการดู Interactive Movies มากกว่า หรือหนังดีๆ นั่นเอง ถ้าไปดูปัจจุบันอย่างเกม Play Station 4 มันไม่ใช่การ์ตูนแล้วนะ ภาพมันเหมือนในหนังที่เราสามารถเล่นได้ วางแผนได้ ฉะนั้น มันคืออีกรูปแบบหนึ่งของความบันเทิงแล้ว ปกติผมชอบเกมประเภทนักรบสู้กับปีศาจมังกรร่ายเวทมนตร์ (หัวเราะ) ผมชอบดาร์กแฟนตาซีหน่อยๆ ประมาณ the Lord of the Rings”
:: Idol
“คุณพ่อของผมครับ ถ้าใครรู้จักประวัติของคุณพ่อ จะรู้ว่าควรนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้ จากการเป็นเด็กบ้านนอก ช่วยพ่อแม่เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ และโรงสีข้าวที่สุพรรณบุรี มีพี่น้อง 10 คน โชคดีที่เป็นคนเรียนเก่ง ทางอาจารย์ที่สุพรรณบุรีก็เลยพาเข้ามาสอบชิงทุนที่สวนกุหลาบวิทยาลัย และเป็น 1 ใน 2 คนของพี่น้องที่ได้เรียนหนังสือ แต่เป็นคนแรกในตระกูลที่ได้เรียนสูง เพราะทุกคนสนับสนุนให้มาสอบชิงทุนสวนกุหลาบวิทยาลัย และขยันเรียนมาก จนสามารถสอบชิงทุนมอนบุโชได้ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น (ปริญญาตรี และโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยโอซากา)
จะเห็นได้ว่า จากเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่มีวินัย ความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะสร้างชีวิตให้ดีขึ้น เรียนจบแล้วก็กลับมาช่วยงานที่ ช.การช่าง ซึ่งตอนนั้นยังเป็นอู่ซ่อมรถที่สี่แยกบ้านแขก แล้วย้ายมาที่อาคารวิริยะถาวร ถนนสุทธิสารวินิจฉัย สมัยนั้นยังเป็นโรงไม้ หลังคาสังกะสี จากบริษัทซ่อมรถ ซ่อมอาคาร จนผ่าน 40 ปีเราก็โตมาถึงทุกวันนี้” :: Text by FLASH