ป้อม-วิภารดี ภูวนารถนรานุบาล ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งความสวย ชาติตระกูล และการศึกษา เรียกได้ว่าเธอเกิดมากับชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่แล้วเมื่อ 20 ปีก่อนชีวิตต้องพลิกผัน เมื่อเกิดอาการเคืองตาข้างขวา แต่กลับไปหยิบสเปรย์มาฉีดนัยน์ตาดำ แม้ว่าจะเจ็บปวดทรมานอยู่หลายวัน แต่เธอกลับไม่สนใจที่จะไปหาแพทย์ จนในที่สุด ก็สายเกินแก้ เมื่อแพทย์บอกว่าเธอจะต้องตาบอดตลอดชีวิต
เมื่อรู้ตัวว่าจะต้องตาบอดไปข้างหนึ่ง ชีวิตก็พังทลายลง จากคนร่าเริง ป้อมกลายเป็นคนทุกข์สาหัสชีวิตสิ้นหวังไม่กล้าเข้าสังคม ไม่กล้าแม้แต่จะเดินตลาด ในที่สุด ด้วง-ปรารภ โมกขะเว ส ผู้สามี จึงพาไปลงชื่อเข้าคิวขอรับบริจาคดวงตา แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับเธอ
จากนั้นเพียงไม่นานเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้โทร.เรียกเธอให้มาผ่าตัดเปลี่ยนดวงตา เนื่องจากมีผู้บริจาคดวงตาแล้วเพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โรงพยาบาลพยายามโทร.นัดผู้ป่วยตามคิวที่ได้ลงชื่อไว้ แต่ไม่มีผู้ใดว่างเลยในขณะนั้น ซึ่งตามปกติการรอตามคิวจะต้องใช้เวลานานนับปี แต่กรณีของเธอถือเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิต
“คืนนั้นหลังการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี พี่นอนพักฟื้นที่ตึกจุมภฏพงษ์บริพัตรคนเดียว เพราะสามีติดงานอยู่ต่างประเทศ จำได้ว่าช่วงตีห้ากว่าๆ ก็ฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งดูท่าทางสง่างามมาก เดินมาหา ข้างหลังท่านมีผู้หญิงคนหนึ่งท่าทางมอมแมม เดินตามท่านมาด้วย ในฝันพี่ถามว่า ท่านทั้งสองเป็นใคร ผู้ชายในฝันก็พูดว่า จะพาผู้หญิงคนนี้มาอยู่ด้วย จะให้อยู่ได้ไหม พี่ก็ตอบว่า อยู่ได้ แล้วพี่ก็สะดุ้งตื่น วันนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอวันรุ่งขึ้นก็ฝันแบบเดิมอีก จำได้ว่าฝันแบบนี้อยู่ประมาณ 3-4 ครั้ง ก็รู้สึกแปลก ในใจคิดว่าเขาคงมาขอส่วนบุญ ก็โทร.เล่าให้สามีฟังและขอให้เขาตักบาตรแทน พร้อมสั่งคนรถซื้อชุดสังฆทานทำบุญให้ป้อมด้วย”
เจ้าของใบหน้าสวยสง่าตรงหน้าเรา หยุดเล่าพร้อมกับนั่งเงียบลำดับเหตุการณ์ก่อนจะเล่าต่อว่า ระหว่างที่พักฟื้น นางพยาบาลที่ดูแลก็เข้ามาพูดคุยพร้อมถามว่า หลับสบายหรือไม่ เธอจึงเล่าความฝันให้นางพยาบาลฟัง เธอก็ยิ้มๆ แล้วบอกให้ลองไปที่ห้องโถง
“พอไปถึงได้เห็นภาพของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร ที่ติดตรงผนังแล้วพี่ตกใจมาก เพราะเป็นคนเดียวกับในฝันเลย นางพยาบาลก็อธิบายให้ฟังว่า คนไข้ผ่าตัดตาที่นี่หากประสบความสำเร็จ มักฝันลักษณะนี้ รุ่งขึ้นพี่ก็เลยทำบุญให้ท่านและผู้หญิงที่พี่คิดว่าเป็นเจ้าของดวงตา จนวันสุดท้ายก่อนกลับบ้าน ก็ได้ฝันเห็นพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรมากับผู้หญิงคนเดิมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผู้หญิงที่ตามท่านมาดูสวยงามมากค่ะ ตรงนี้พี่เชื่อว่าเป็นเพราะผลบุญที่เราทำด้วยกันส่งถึงกันแล้ว”
“พี่เป็นผู้รับคนหนึ่ง ที่ได้ชีวิตใหม่กลับคืนมา” นั่นคือความปลาบปลื้มที่ดวงตากลับมามองเห็นได้อีกครั้งหนึ่ง หลังผ่าตัดสำเร็จชีวิตของป้อม-วิภารดีกลับไม่เหมือนเดิม เพราะมีหลายๆ สิ่งที่แปลกๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของเธอ อาทิ ในชีวิตไม่เคยเรียนเขียนบท แต่สามารถเขียนบทละครได้เหมือนมืออาชีพ หรือไม่เคยจับพู่กันมาก่อนแต่พอมาวาดรูปก็ได้รับคำชมตลอด
“จากเดิมที่พี่เป็นคนลอยละล่องไม่ทำงาน ก็กลายเป็นสนใจอยากทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา อย่างเรื่องวาดรูปนี่ เริ่มจากตอนสร้างบ้านแล้วไปหาซื้อภาพเขียนมาติดผนัง พอไปเห็นราคาแล้วโอ้โห! แพงมาก เลยไปเรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่งจนวาดรูปออกมาได้ รูปแรกเป็นภาพน้ำตกเขียนด้วยสีน้ำมัน วาดเสร็จอาจารย์เห็นบอกว่า มองภาพนี้แล้วได้ยินเสียงน้ำตก คือเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริง แล้วเชื่อมั้ยทุกรูปในบ้านพี่วาดเองทั้งหมด”
แม้วันเวลาจะผ่านมานานกว่า 20 ปีแล้ว วิภารดีบอกว่า ทุกวันนี้เธอยังรู้สึกว่าเจ้าของดวงตาก็ยังอยู่กับเธอ ยังคงเฝ้าดูแลเธอไม่ห่างกาย ขณะที่ เธอเองก็ดูแลรักษาดวงตาข้างขวาเป็นอย่างดี “ทุกวันนี้พี่ยังใส่บาตร ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเจ้าของดวงตาสม่ำเสมอ ทุกครั้งเวลาพี่มีปัญหาอะไร พี่จะพูดกับท่าน ซึ่งพี่รู้ว่าท่านดูแลพี่เป็นอย่างดี ตอนนี้บ้างที่เจ็บดวงตาอาจเป็นเพราะด้วยวัยที่สูงขึ้นก็มีบางส่วนสึกหรอ ตรงนี้พี่จะบอกคุณหมอเลยอะไรที่ยังไว้ก่อนก็เอาไว้ คือเราจะยังดูแลซึ่งกันและกันอยู่”
สีหน้าและดวงตาที่สดใสของสตรีตรงหน้า ทำให้เรารู้ว่าเธอมีความสุขกับชีวิตในทุกวันนี้มาก ก่อนจะจากกันเธอยังบอกอีกว่า อุบัติเหตุชีวิตที่เกิดขึ้นกับเธอครั้งนี้ ทำให้เธอได้สติ ได้รู้จักความสูญเสีย ได้รู้คุณค่าของชีวิต ได้เรียนรู้ผลลัพธ์ที่เกิดจากความประมาทว่าทุกข์ทรมานขนาดไหน
“อวัยวะที่เราได้รับบริจาคในยามที่เราหมดหวังกับชีวิต ทำให้พี่รู้สึกได้เลยว่า การฟื้นจากอาการตายทั้งเป็นนั้นเป็นอย่างไร เมื่อก่อนพี่เคยกลัวเรื่องการบริจาคอวัยวะเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ กลัว คือกลัวไปเกิดใหม่แล้วอวัยวะจะไม่ครบ 32 แต่จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับตัวเองทำให้รู้ว่าไม่เป็นความจริง การ “ให้” ทุกอย่างมีคุณค่า “ผู้รับ” จะรู้สึกดีใจที่ได้รับ ขณะที่ “ผู้ให้” จะเกิดความปีติมีความสุข ตอนนี้พี่ก็บริจาคอวัยวะให้โรงพยาบาลแล้วเหมือนกันค่ะ อยากให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งตรงนี้พี่ก็ยังอยากฝากถึงทุกคนถ้ามีโอกาสบริจาคได้ช่วยกันค่ะ” ป้อม-วิภารดี กล่าวทิ้งท้าย