>>“ตอนเป็นเด็กผมไม่ชอบการเป็นดาราเลยครับ เพราะเพื่อนๆ ชอบแหย่ว่าเป็นลูกดารา ผมไม่ชอบเท่าไหร่ ผมชอบอยู่เงียบๆ มากกว่า” ไมค์ - ณกรณ์ จำปาดิบ นักแสดงหนุ่มวัย 21 สารภาพชื่อเล่นของเขามาจากคำเต็มว่า “ไมโครโฟน” ซึ่งน่าจะเดาที่มาได้ไม่ยาก หากรู้ว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวของ “กษาปณ์ จำปาดิบ” นักร้องและนักแสดงชื่อดังของวงการ ส่วนแม่ “นิธิมา จำปาดิบ” ประกอบกิจการร้านอาหาร
แต่ถึงกระนั้น เมื่อแรกคิดจะเข้าวงการ เขากลับไม่ได้อ้างอิงชื่อเสียงของผู้เป็นพ่อ “สี่ปีที่แล้ว มีพี่คนหนึ่งเจอผมในเฟซบุ๊ก แล้วชวนผมไปแคสต์เป็นนักร้อง” ไมค์เล่าย้อนความ “สมัยนั้นค่ายอาร์เอสยังทำเพลงอยู่ ยังไม่มีช่อง 8 และยังไม่มีนักแสดงในสังกัด ผมมาแคสต์เป็นนักร้อง แต่ไม่ผ่าน (ยิ้ม) ความจริงตอนนั้นที่ไปแคสต์งาน ทุกคนยังไม่รู้เลยครับว่าผมเป็นลูกใคร มารู้เอาทีหลัง ตอนที่ผมเขียนโปรไฟล์”
เขายังสารภาพด้วยว่า ความจริงเขาร้องเพลงได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ถึงกับดี “หลังจากนั้นก็หยุดไปสองปี จนกระทั่งพี่คนเดิมติดต่อผมมาอีกครั้ง บอกว่าที่อาร์เอสกำลังเปิดรับคัดเลือกนักแสดง ถามผมว่าจะกลับมาลองดูอีกรอบไหม ผมว่ามันไม่เสียหายอะไร ก็เลยตอบตกลงมาแคสต์ ปรากฏว่าได้คำตอบหลังจากนั้นอีกสองเดือนว่าผมแคสต์ติด ดีใจมาก เพราะผมแทบไม่ได้ใช้เครดิตของพ่อเลยครับ ผมภูมิใจที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองมากกว่า”
หลังจากแคสติ้งไมค์ต้องเข้าไปเรียนแอกติ้งเพื่อเป็นนักแสดงของช่อง 8 เรียนอยู่ประมาณปีถึงสองปี เขาเล่าว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่เขารู้สึกเหนื่อยมาก และท้อมากด้วย “เพราะไปเรียนแอกติ้งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เรียนตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม นั่งรถกลับบ้านดึกๆ ตลอด เช้าก็ต้องไปเรียนต่อ ที่ผมท้อเพราะก่อนหน้านั้นมีละครหลายเรื่องให้ผมไปแคสต์แล้วไม่ผ่าน ไม่ได้เล่นสักที มันไม่มีคาแรกเตอร์ตัวไหนตรงกับผมสักเรื่อง ตอนนั้นเคยคิดถอดใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยเราก็ได้เก็บประสบการณ์”
กระทั่งเขามีโอกาสได้รับบทบาทในละครสุดแต่ใจจะไขว่คว้า “เรื่องแรกนี่ก็รู้สึกหนักใจอีกเหมือนกัน เพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรก อีกอย่างพ่อก็ไม่ได้สอนเทคนิคการแสดงให้ผมเลย พ่อบอกว่าเรื่องแบบนี้เทคนิคใครเทคนิคมัน ไม่สามารถสอนกันได้ ที่จะสอนก็เป็นเรื่องของการออกเสียงมากกว่า ว่าพูดให้ชัดถ้อยชัดคำ พูดช้าๆ แต่เรื่องการแสดง อย่างการร้องไห้นี่ พ่อไม่ยุ่งเลย (ยิ้ม)”
ทว่าโชคดีที่เขาได้ “เบิร์ด-ภูมิภัทร สังวาลย์วรกุล” ผู้กำกับการแสดง รวมถึงนักแสดงรุ่นพี่อย่าง “พี่เอี๊ยง-สิทธา สภานุชาติ” และ “เอ๊ะ-อิศริยา สายสนั่น” ผู้จัดละคร คอยเป็นโค้ชและที่ปรึกษาให้
“พ่อได้ดูละครเรื่องสุดแต่ใจจะไขว่คว้าแล้วบอกว่า ไม่คิดว่าผมจะทำได้ขนาดนี้ แต่ก็บอกว่ายังไม่ผ่านนะ (หัวเราะ) ยังต้องทำให้ได้มากกว่านี้อีก พ่อเขามาตรฐานสูง”
ปัจจุบันไมค์ยังเรียนอยู่ปี 3 คณะนิเทศศาสตร์ สาขามัลติมีเดีย มหาวิทยาลัยรังสิต เขาบอกว่าที่ตั้งใจเลือกเรียนสายนี้เพราะชอบศิลปะ “ตอนแรกผมกะจะเรียนด้านสถาปัตยกรรม แต่ปรึกษากับแม่แล้ว เกรงว่าจะมีผลกระทบกับงาน เพราะงานผมเยอะ กลัวจะไม่มีเวลาเรียน ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งรู้จักกับน้า อาจารย์บอกว่าคณะนิเทศศาสตร์พอจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกับศิลปะ อย่างคอมพิวเตอร์กราฟิก ผมเลยตัดสินใจเลือกเรียน
“ผมชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ชอบดรอว์อิ้ง วาดภาพ อะไรพวกนี้ เคยส่งผลงานภาพวาดระบายสีน้ำมันประกวดด้วย และเคยได้รางวัลสมัยเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา”
ไมค์เป็นคนดื้อเงียบมากกว่ารั้น เขาบอก “ส่วนใหญ่ผมดื้อกับแม่ แต่กับพ่อผมจะชอบเถียงมากกว่า แม่เป็นคนหัวสมัยใหม่กว่าพ่อ (ยิ้ม) ในบางเรื่อง บางเรื่องของพ่อก็ขัดกับความคิดของผม ก็มีเถียงกันบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรมาก แค่บ่นๆ กันไป” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะกับเรื่องที่เล่า
จากที่เคยไม่ชอบการแสดงหรือการเป็นดารา ตอนนี้ความคิดของเขาเริ่มเปลี่ยนไป เขาว่า “ความที่ชอบศิลปะ ก็เลยมองว่าการแสดงเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน มันสามารถถ่ายทอดกันได้”
ผลงานละครเรื่องต่อไปของไมค์ที่กำลังถ่ายทำอยู่คือ “พี่เลี้ยง” ซึ่งเขาได้รับบทบาทที่ค่อนข้างต่างจากเรื่องแรกที่เป็นดราม่า มีบทร้องไห้ แต่ใน “พี่เลี้ยง” เขาเล่นเป็นเด็กไม่ดี นิสัยเกเร ติดแบรนด์หรู ทั้งๆ ที่บ้านไม่มีเงิน
“แต่ในชีวิตจริงผมเป็นคนอีกแบบครับ ถึงชอบแต่งตัวก็จริง แต่ผมไม่ติดของแบรนด์เนม ผมไม่ซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมหรือของแพงๆ เลย มีเวลาว่างผมจะไปเดินแถวตลาดรถไฟ ตลาดสวนจตุจักร ที่มีเสื้อผ้ามือสองขาย ผมชอบแนววินเทจ ชอบการแต่งตัวแบบคนอเมริกันเมื่อสิบปีที่แล้วครับ ยีนส์ขากระบอก เสื้อเชิ้ต รองเท้าหนัง
“รองเท้าผมซื้อของใหม่ครับ เพราะต้องใส่เดิน ของมือสองใช้ได้ไม่นาน รองเท้าก็มีอายุการใช้งานต่างจากเสื้อผ้า และผมซื้อเฉพาะที่ชอบจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่าดูในอินสตาแกรมเห็นสวยแล้วซื้อเลย ส่วนใหญ่เป็นรองเท้าผ้าใบ ผมต้องดูโน่นดูนี่ ดูว่าใครผลิต รุ่นนี้มีดาราคนไหนใส่กันบ้าง คือต้องบิวท์ตัวเองให้อยากได้ ไม่งั้นก็ไม่ซื้อ (หัวเราะ) ต้องศึกษาข้อมูลก่อนซื้อ” พร้อมทั้งชี้ชวนให้ดูคู่โปรด เป็นรองเท้าผ้าใบคู่สีฟ้า “เพราะพ่อซื้อให้ เมื่อก่อนใช้บ่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ใส่แล้ว มันเก่า”
หมวกไมค์ก็สะสม ตั้งแต่หมวกแก๊ปจนถึงหมวกแนววินเทจ “เพราะว่ามีเพื่อนซึ่งเดินทางบ่อย ผมชอบใบไหนก็จะฝากเขาซื้อกลับมา” ว่าพลางอวดหมวกใบที่ชอบ เป็นหมวกแก๊ปสีน้ำตาล บอกเหตุผลว่ากว่าจะได้มาค่อนข้างยากลำบาก
“ผมชอบใส่หมวก เพราะจริงๆ แล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ผมผมหยักศก มันไม่เป็นทรง พอโดนลมมันจะแตกต้องเซตผม ซึ่งผมว่ามันยาก อยากแบบว่าเดินออกจากบ้านได้เลยโดยไม่ต้องทำอะไรกับผม ก็เลยอาศัยหมวกนี่ละ ไปมหาวิทยาลัยวันไหนไม่ซีเรียสผมก็ใส่หมวกไป”
ถามถึงความรู้สึกเกี่ยวกับวงการบันเทิงที่เขาเพิ่งเข้าไปคลุกคลี ไมค์ให้คำตอบว่า “ผมรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่สบาย หาเงินได้ง่าย แต่เราก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่วงการนี้ตลอดไป อย่างน้อยเราก็ควรจะหาอาชีพหลักไว้ ตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสแล้ว ผมได้โอกาสมาก็คว้ามันไว้ ถามว่ารู้สึกดีไหม ผมรู้สึกดีนะครับ เพราะถือว่าเป็นไฮไลต์ของชีวิตอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังเข้าใจพ่อมากขึ้นด้วย ว่าเมื่อก่อนทำไมพ่อกลับบ้านดึก ตอนนี้ผมทำงานก็กลับบ้านดึก นอนก็ไม่ค่อยเป็นเวลา”
ทุกวันนี้ไมค์ยังมีแม่คอยไปรับไปส่งที่กองถ่าย หากแม่ไม่ว่างบางครั้งก็จะเป็นภาระของพ่อ และเมื่อมีโอกาสอยู่ด้วยกัน พ่อก็สอนเขาเรื่องวิธีการวางตัว อย่างเช่นเรื่องการไหว้ สวัสดีทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ “พ่อบอกว่าอย่านิ่งมาก พยายามพูดคุยกับใครๆ เขาหน่อย เพราะปกติผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด พ่อดูเหมือนไม่ห่วงผมเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วผมรู้ว่าพ่อห่วง”
ในอนาคตข้างหน้า หากว่าเรียนจบแล้วไมค์บอกว่าเขาอยากทำอาชีพเป็นเชฟ “ผมอยากทำอาหาร เพราะที่บ้านทำธุรกิจขายอาหารอยู่แล้ว ผมก็อยากจะช่วย แต่ต้องไปเรียนเพิ่มเติมก่อน แล้วค่อยมาเปิดร้านเป็นของตัวเอง เป็นร้านอาหารแบบประยุกต์ ไทย-ฝรั่งผสมแบบร่วมสมัย”
พร้อมกับอวดว่าทุกวันนี้เขาทำอาหารเมนูพื้นๆ ได้ เช่น ต้มยำ ผัดกะเพรา คะน้าหมูกรอบ ข้าวหมกไก่ “เมื่อก่อนตอนที่แม่ทำ ผมชอบไปยืนดู คอยจดสูตรว่าทำอะไรใส่อะไรบ้าง แล้วก็ลองทำเอง เคยทำให้แม่ลองชิมเหมือนกัน แม่บอกว่าไม่อร่อย แต่ผมว่าอร่อยนะครับ เพื่อนๆ กินแล้วยังบอกเลยว่าอร่อย (ยิ้ม)
“ผมชอบไปชิมที่โน่นที่นี่นะครับ ชิมแล้วจำรสชาติเอา หรือจำว่าเขาใส่อะไรบ้าง ตอนนี้ผมหันมาสนใจเรื่องคลีนฟูด อาหารปลอดสารพิษ รู้สึกว่าช่วงนี้คลีนฟูดกำลังมาแรง ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าอยากจะลองศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู เพราะคนรอบข้างผมเป็นเบาหวาน เป็นโรคนั่นนี่กัน เขาไม่แข็งแรง”
ชีวิตการเป็นนักแสดงระหว่างยังเรียนอยู่นั้น ทำให้ไมค์มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนคนวัยเดียวกันสักเท่าไหร่ หากวันไหนไม่มีงาน เลิกเรียนแล้วเขาก็กลับบ้าน ขณะที่นักศึกษาคนอื่นๆ ใช้เวลาหลังเลิกเรียนไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน
“ผมไม่ค่อยชอบเที่ยวสักเท่าไหร่” ไมค์บอก “แต่ก็ชอบฟังเพลง ชอบเต้นบ้าง เพียงแต่ไม่ไปบ่อย ผมชอบถ่ายรูปมากกว่า ที่บ้านมีกล้องตัวหนึ่งที่ผมเก็บตังค์ซื้อเอง กล้อง Canon 700D ผมชอบถ่ายรูปเวลาไปเที่ยวไหนๆ ผมลงคอร์สเรียนถ่ายรูปที่มหาวิทยาลัยมา อย่างที่บอกนั่นละว่าผมชอบศิลปะ ที่อยากเรียนทำอาหารก็เพราะเราสามารถเอาศิลปะไปใช้ในนั้นได้ด้วยเหมือนกัน
“ผมค่อนข้างติสต์ครับ” เขาว่า แล้วหัวเราะขำกับตัวเอง
:: Hobby
“ผมค่อนข้างใช้เงินเยอะเหมือนกันครับ แต่หมดไปกับกีฬามากกว่า ผมเล่นเวกบอร์ด เป็นกีฬาที่ค่อนข้างใช้เงินเยอะพอสมควร แต่ก็ต้องยอม เพราะว่าบ้านอยู่แถวนั้น อีกอย่างก่อนหน้านั้นผมติดเกม พ่อเลยหาวิธีจะให้ผมเลิกติดเกมออนไลน์ พาผมไปปล่อยไว้ที่บึง (หัวเราะ) ให้ลองเล่นเวกบอร์ดดู ปรากฏว่าเล่นไปเล่นมาผมติด หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เล่นเกมคอมพิวเตอร์อีกเลย คอมพิวเตอร์มีไว้ใช้ทำรายงาน ทำการบ้านส่งอย่างเดียว ผมติดเกมช่วงมัธยมปลาย กลับบ้านแล้วเล่น ตอนเรียนแอกติ้ง เรียนเสร็จยังกลับไปเล่นเกมต่อเลยครับ (หัวเราะ)
“ผมเคยไปแข่งเวกบอร์ดกับเขาเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ไม่เข้าเป้า แค่เข้าไปรอบแรก แต่ไปไม่ถึงรอบชิง เพราะผมไม่ได้กะจริงจังอยู่แล้วไง ผมเล่นสนุก ออกกำลังกายเฉยๆ แต่ที่เข้ารอบแรกนี่ก็งงเหมือนกันนะครับ เพราะไม่ได้คาดหวังไว้”
:: Idol
“พ่อเป็นไอดอลของผมนั่นละ ไม่ได้มองใครที่ไหน ทุกวันนี้ชื่อเสียงของพ่อก็ยังมีอยู่ แต่ถ้าเรื่องการแสดง ผมชอบพี่เอี๊ยง-สิทธา สภานุชาติ นักแสดงช่อง 8 นี่แหละ เขาเป็นรุ่นพี่ของผม ที่สอนผมมาตั้งแต่ยังเรียนแอกติ้งด้วยกัน จนตอนนี้เขาประสบความสำเร็จแล้ว” :: Text by FLASH