>>พูดคุยกับเซเลบริตี้สุดหล่อ “ฟลุค - เกริกพล มัสยวาณิช” ที่จะมาเปิดอกถึงเรื่องราวการเป็นคุณพ่อที่ไม่ยอมให้การหย่าร้างมาเป็นปัญหาในการดูแลลูกชายสุดที่รัก “อชิ - อชิรวัตติ์ มัสยวาณิช” และเล่าให้ฟังถึงแผนการแต่งงานใหม่กับแฟนสาวคนสวย “นาตาลี เจียรวนนท์”
ท่ามกลางตารางการเดินทางอันแน่นขนัดในช่วงปลายปี ฟลุค - เกริกพล มัสยวาณิช CEO ธุรกิจขายตรง bHIP ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ ได้เจียดเวลาในช่วงวันหยุดสุขสันต์ของพ่อลูก ให้สัมภาษณ์กับ CELEB ONLINE พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกในหลากหลายแง่มุม
“ผมกับคุณโบ (ชญาดา ลิ่วเฉลิมวงศ์) แบ่งกันดูแลลูก อชิจะอยู่กับแม่เขาช่วงวันธรรมดาที่ไปโรงเรียน โดยเช้าวันศุกร์โบเขาไปส่งเข้าเรียน ส่วนตอนเย็นผมจะไปรับแล้วมาใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์กับผม ส่วนช่วงปิดเทอมก็จะแบ่งกันดูแลครึ่งๆ สลับกันไป...
ถ้าวันไหนใครไม่ว่างมีธุระพิเศษ ต้องเดินทาง มีธุระไปงานแต่งงาน งานศพ ก็จะคุยกัน แจ้งตารางอีกคนให้ว่างมาช่วยดูแลลูก หรือถ้าสุดสัปดาห์ไหนฝั่งครอบครัวคุณโบเขามีวันพิเศษ วันเกิดคุณยาย วันเกิดพี่แบม อยากให้อชิอยู่กับเขาในช่วงนั้น เขาก็จะแจ้งเรา ซึ่งไม่เคยมีปัญหาอะไรเพราะเราทั้งคู่ยกให้ลูกเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งอยู่แล้ว”
วันหยุดของ 2 พ่อลูก
กิจกรรมโปรดของทั้งคู่ก็คือการจูงมือกันไปหาของอร่อยรับประทาน “เป็นคนชอบกินทั้งคู่ เราก็จะคุยกันว่าอยากกินอะไร ร้านไหนดี โดยผมจะให้เขาเลือก แต่ก็มีลิมิตนะ คือ ถ้ามื้อไหนเขาเลือกร้านแพงแล้ว มื้อต่อไปก็กินแบบธรรมดานะ ไม่ใช่ว่าจะเลือกร้านหรูทุกมื้อ ไม่ตามใจเขาจนเกินไป
อย่างผมพาเขาไปรับประทานร้านระดับมิชลินสตาร์ หรือพาไปพักโรงแรมดีๆ คือ การช่วยเปิดประสบการณ์ให้เขา ให้เขาได้เห็นโลก เห็นว่ามันมีไลฟ์สไตล์แบบนี้นะ ถ้าลูกอยากกิน อยากอยู่แบบนี้ ต้องตั้งใจเรียน ขยันทำงานหาเงินนะ แต่ถ้าเราไม่ระมัดระวังมันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายเขาในอนาคต ถ้าเกิดโตไปแล้วเขาทำงานหารายได้ไม่ได้เท่า แล้วเขาจะเลี้ยงตัวเอง จะมีไลฟ์สไตล์แบบเดิมได้ยังไง เราจึงต้องสอนให้เขาเรียนรู้ อยู่แบบพอดีด้วย เอาตรงนั้นมาเป็นแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ยึดติดเป็นการดำเนินชีวิต
กิจกรรมของผมกับอชิ ไม่ค่อยมีอะไรมากครับ เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงวันหยุดของเขาหลังจากเรียนหนักมาทั้งสัปดาห์แล้ว ผมก็จะปล่อยให้เขาพักผ่อน ตอนนี้อชิจะติดเกม เราก็ปล่อยให้เขาได้เล่น โดยจะดูลิมิตถึงความเหมาะสม ถ้ารู้สึกว่าเล่นนานไป เยอะไปแล้ว ก็จะดึงเขาไปทำอย่างอื่น ออกไปเที่ยวบ้าง ไปดูหนังบ้าง ชอบดูหนังกันทั้งคู่ ไปดูหนังเดือนละ 2 - 3 ครั้ง
แล้วก็มีอีกช่วงเวลาที่จะได้อยู่ร่วมกันเยอะ คือ ช่วงเดินทางท่องเที่ยว เมื่อไหร่ที่ผมมีทริป ถ้ามันตรงกับวันหยุดที่เขาไม่มีเรียน หรือช่วงปิดเทอม ผมก็จะพาเขาไปด้วยตลอด”
หย่าร้างอย่างเป็นมิตร
การย้ายไปย้ายมาอยู่กับ 2 ครอบครัวของพ่อและแม่ ไม่ได้เป็นปัญหาใดๆ กับเด็กน้อยหน้าใสคนนี้เลย “อชิมีทุกอย่างอยู่ครบทั้งสองบ้าน พร้อมที่จะอยู่ที่ไหนก็ได้ เสื้อผ้า คอมพิวเตอร์ ข้าวของเครื่องใช้มีพร้อมหมด ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ไม่เคยรู้สึกขาดอะไรครับ”
โดยคุณพ่อฟลุคกับคุณแม่โบ มีการพูดคุยสื่อสารกันตลอดเวลา เพื่อให้แต่ละฝ่ายได้อัปเดตเรื่องของลูกได้ตลอดอย่างไม่ขาดตอน
“ปัญหาของคู่เรา ไม่ใช่ว่าเกี่ยงกันเลี้ยงหรือไม่รู้ว่าจะส่งไปอยู่กับใครดี แต่ปัญหากลับเป็นการแย่งกันดูแล คือเราทั้งคู่พร้อมให้เวลากับลูก พร้อมรับผิดชอบทั้งคู่ อชิเขาได้จนเต็มไม่มีคำว่าขาด เราทั้งคู่พร้อมที่จะช่วยกันดูแลเขา มันอาจจะต่างจากบางคู่ที่เลิกราหย่าร้างแล้วกลายเป็นศัตรูกัน เจอหน้ากันไม่ได้ คุยกันไม่ได้ สำหรับผม หย่าแล้วเราก็ยังเป็นมิตรกันได้ ความสัมพันธ์ในเชิงสามีภรรยาอาจจะเปลี่ยนไป แต่บทบาทความเป็นพ่อแม่ไม่มีทางหายไปไหน”
เราคุยกับลูกตลอด เขาเข้าใจว่าเราเป็นพ่อแม่นะตรงนี้จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แม้เราจะแยกไปมีเส้นทางของตัวเอง แต่ยังไงเขาก็ยังอยู่ในเส้นทางของเราทั้งสองคน อย่าไปคิดว่าการหย่าร้างจะทำให้ลูกมีปัญหา ถ้าตอนคุณอยู่ด้วยกัน แล้วมีการทะเลาะกัน งอนกัน ไม่แฮปปี้ ถ้าลูกเห็นคิดว่าเขามีความสุขเหรอ เทียบกับการที่แยกกันแล้วเขาเห็นพ่อแม่คุยกันดี ผมว่าเขาน่าจะรู้สึกดีกว่านะ คนเราถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เลิกไปเหอะ แล้วก็คงความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไว้ดีกว่า และมาร่วมกันทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด ผมว่าจุดนี้สำคัญกว่าอีก”
“การเลิกรากันมันต้องมีการทะเลาะ ไม่ลงรอยกัน มีปัญหากันอยู่แล้ว ไม่งั้นก็คงไม่เลิกกันหรอก อาจจะเป็นเพราะอยากให้อีกฝ่ายเป็นอย่างที่ตนคิด พยายามเปลี่ยนอีกฝ่าย ในเมื่อมันเดินต่อไปไม่เวิร์ก แล้วจบลงด้วยการเลิกรา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเกลียดกันไปอีก แต่ละคนก็มีชีวิตในแบบของตัวเองที่ตนพอใจ ผมว่ามันควรจะเป็นสิ่งดีนะ หรือได้เห็นเขามีคนรักใหม่แต่งงานใหม่ เราก็ควรจะดีใจด้วย มีความสุขไปกับเขาด้วย เขาก็ยินดีที่เรามีคนที่ดีอยู่ข้างๆ ที่เหมาะกับเรา
ฟลุคเอ่ยถึงข่าวการแต่งงานใหม่ของอดีตภรรยากับคุณแบงค์ - ร.อ.กฤชพล เศวตนันท์ ด้วยการแสดงความยินดีอย่างเต็มใจ ก่อนจะฝากถึงประเด็นเรื่องการหย่าร้างให้เราได้คิดว่า
“คนที่หย่ากัน มันก็ต้องผ่านการแต่งงานมาก่อน เขาต้องเคยเป็นคนที่เรารักก่อนที่จะมาเลิกกัน แล้วทำไมเราต้องไปยึดติดด้านที่ไม่น่าจดจำของเขาละ สู้เราเก็บเอาความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันเอาไว้ดีกว่า ชื่นชมในข้อดีของเขา เห็นเขาเป็นแม่ที่ดีของลูกเรา เท่านี้มันก็ทำให้การเลิกรากลายเป็นการเลิกที่เป็นมิตรได้ และเราจะอยู่ร่วมกันได้ อย่างการที่เรามีลูกนี่ เรายิ่งมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเลี้ยงลูกให้ดี ยิ่งต้องร่วมมือกันใหญ่
ผมและโบตกลงกันแต่แรกเลยว่า เขาคือลูกของเราทั้งสองคน เขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเราทั้งคู่ไม่มีใครยอมที่จะทิ้งลูก ยังไงก็ต้องช่วยกันดูแล อะไรที่เป็นเรื่องของลูกเราตัดสินใจร่วมกัน ไม่ว่าจะเลือกโรงเรียน เลือกสิ่งต่างๆ การใช้ชีวิตของเขาจะมีเราทั้งคู่เป็นส่วนร่วมด้วยตลอด อชิจะไม่รู้ว่าขาดอะไร มีแต่ได้จนล้นเกินด้วยซ้ำ”
ปัจจุบันนี้หนุ่มน้อยอชิก็ได้รับความรักจากทั้ง 2 ครอบครัว ที่สามารถพบปะสังสรรค์กันได้แบบครอบครัวใหญ่อย่างไม่เคอะเขิน ที่สำคัญดูจะเข้ากันได้ดีกับแฟนสาวของคุณพ่อได้เป็นอย่างดี
“อชิเขาเข้ากับลีได้เป็นอย่างดี ซึ่งตั้งแต่ผมมีแฟนมาไม่เคยมีใครที่เข้ากับอชิไม่ได้ เขาเป็นเด็กที่น่ารัก และการที่ผมจะคบกับใคร ก็ต้องดูคนที่เขาจะเข้ากับลูกเราได้ด้วย ตั้งแต่ในช่วงจีบกันก่อนเป็นแฟนแล้ว ถ้าพามาเจอแล้วเขาเข้ากับลูกเราไม่ได้ ผมโบกมือบ๊ายบายเลยนะ
ปัจจัยหลักของการเลือกชีวิตคู่ของผม ลูกถือเป็นส่วนสำคัญ แต่ไม่ใช่สำคัญสุดนะ พูดกันตรงๆ จะให้บอกว่าลูกเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดมันก็ตลกแล้ว เพราะลูกจะอยู่กับเรามากที่สุดก็ถึงราวอายุ 18 -20 ปี เขาก็ไปมีชีวิตของเขาเองแล้ว แต่คนที่เราเลือกมาเขาต้องอยู่กับเราทั้งชีวิต ปัจจัยที่สำคัญที่สุดต้องเป็นความรู้สึกของเรา แต่ความรู้สึกของลูกก็มองข้ามไม่ได้เช่นกัน”
เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ เปิดโอกาสให้ได้ลอง
สมัยเด็กคุณฟลุคโตมากับชีวิตที่มีระเบียบแบบแผน มีตารางกิจกรรมแน่นจนแทบไม่มีเวลาว่าง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้อชิต้องเผชิญ
“ผมโตมากับการตื่นเช้าไปเรียนหนักจนถึง 4 โมงเย็นเวลาเลิกเรียน แล้วก็ต้องอยู่คลาสพิเศษหลังเลิกเรียน นั่งทำการบ้านและเรียนเสริมในห้องอีก 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นมีเวลาว่างแค่ 20 นาที เดินซื้อขนมในซอยโรงเรียน แล้วต้องไปเรียนพิเศษต่อถึงเกือบ 1 ทุ่ม จากนั้นนั่งรถต่อไปฝึกว่ายน้ำอีก 1 ชั่วโมง โดยที่บ้านเตรียมข้าวเย็นมาให้กินบนรถ กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบ 3 ทุ่ม เข้านอนเลย
ชีวิตเป็นแบบนี้ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ผมว่ายน้ำจนเป็นแชมป์ของกรมพลศึกษา มีเหรียญ 40 - 50 เหรียญ ตารางชีวิตแน่นมาก ทำให้ไม่มีเพื่อนเลย เพราะไม่มีเวลาไปเล่นอย่างใครเขา จนอายุ 12 ปี ผมรู้สึกว่ามันเกินทนแล้วก็เลยคุยกับย่าว่าพอแล้ว
ผมบอกเขาว่า ขอเลิกฝึกว่ายน้ำ ไม่รู้จะฝึกไปทำไม คือเราว่ายจนมั่นใจว่าถ้าเราตกน้ำไป ต่อให้เป็นตะคริวทั้งแขนขาก็มั่นใจว่ายังไงก็เอาตัวรอด ไม่จมน้ำตาย เราเรียนรู้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตพอแล้ว แต่ถ้าจะให้ฝึกต่อไปเป็นอาชีพ ฟลุคว่ามันไม่ใช่ เพราะเราชนะมาเรารู้ว่าแชมป์ได้รางวัล 1 พันบาท จะไปพอกินอะไร ซึ่งเราดูศักยภาพของเราแล้วว่า ถ้าตั้งใจฝึกต่อไปมันอาจไปถึงทีมชาติและนั่นคือที่สุดแล้ว ไม่มีทางขึ้นไปเป็นแชมป์โลกหรือซูเปอร์สตาร์ได้ แล้วอนาคตเราคงไม่เดินไปทางนั้นแน่ ก็เลยไม่รู้จะทุ่มเทเวลาไปอีกทำไม
ผมผ่านชีวิตแบบนั้นมา ทำให้เราเรียนรู้ว่าไม่อยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้น คือ มันสอนให้เรามีระเบียบวินัยจริง มีความอดทนสูงมาก รู้ว่าเวลาไหนต้องทำอะไร มันฝังลึกอยู่ในตัวเรามาจนโต แต่มันเป็นการฝืนใจทำ ทำเพราะโดนบังคับ มันไม่มีความสุข
คือถ้าจะว่าย ให้ฝึกอะไรจริงจังขนาดนั้น ก็ต้องเลิกเรียนไปเลย ไปฝึกว่ายมันทั้งวันเลย คือผมเป็นพวกทำอะไรต้องทำให้สุด คือถ้าจะทำก็จริงจัง ถ้าคุณเห็นว่าลูกหลานมีศักยภาพพอก็ส่งเสริมไปเลย เอาให้เก่งไปด้านนั้นเลย ไม่ใช่มาเหยียบเรือสองแคม เรียนก็จะเอา นั่นก็จะเอานี่ก็จะเอา เด็กมันไม่ไหวหรอก อยากทำอะไรมันต้องทุ่มเท อย่างเมสซี อย่างโรนัลโด การจะเป็นสตาร์ระดับโลกได้ มันต้องทุ่มเทอย่างนั้น พวกนั้นเตะบอลทั้งวันมาตั้งแต่ 10 ขวบนะ
หรืออย่างที่ต่างประเทศเขาเรียนกันถึงแค่บ่ายโมงกว่า แล้วหลังจากนั้นค่อยทำกิจกรรม เล่นกีฬา ดนตรีอะไรก็ว่าไป แล้วเลิกตอน 4-5 โมง ค่อยกลับบ้าน แบบนั้นยังพอเข้าใจได้ แต่ถ้าอย่างเมืองไทยที่เรียนก็หนักอยู่แล้ว เลิก 4 โมง แล้วยังต้องมาทำอะไรอีกมากมาย กลับบ้านที่ดึกดื่นผมว่ามันไม่ใช่แล้ว เด็กต้องมีชีวิตของเด็ก ต้องได้เล่น ต้องได้เรียนรู้ชีวิตด้วยตัวเอง ได้หกล้ม ได้สนุกสนานในแบบของเขา
ผมไม่เคยบังคับลูก แต่ถ้าลูกอยากทำอะไร ขอเรียนอะไรผมไม่เคยขัด เพราะผมเชื่อว่าพ่อแม่มีหน้าที่เปิดประตูโอกาสให้ลูก เราไม่มีทางรู้ว่าลูกเรามีพรสวรรค์ หรือมีศักยภาพอะไรบ้างอยู่ในตัวถ้าไม่ให้เขาได้ลอง ถ้าเขาอยากเรียนกลอง อยากเล่นกอล์ฟ ก็เต็มที่เลยส่งไปเรียน ใครจะไปรู้ว่าอชิอาจจะเป็นนักไวโอลินที่เก่งที่สุดในโลกก็ได้
ถ้าเขามีของดีอยู่ในตัวแต่ไม่ถูกค้นให้เจอมันก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนกับซูเปอร์สตาร์ทั้งหลาย ผมว่าเขาต้องมีทั้งพรสวรรค์และแสวงหามันเจอ ทุกอย่างมันต้องประกอบกันทั้งความสามารถ โอกาสและดวง ดังนั้นเราในฐานะพ่อแม่ก็มีหน้าที่ช่วยเหลือให้ลูกค้นหาตัวเองให้เจอ ผมจะเปิดให้ลูกทุกอย่าง ไม่ปิดกั้นอะไรเลย ขออย่างเดียวเรื่องยาเสพติด และก็เป็นสิ่งที่ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เคยยุ่ง เพราะเรารู้ว่ามันไม่ดีและไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย ดังนั้นก็ไม่ต้องไปลอง”
พ่อรวยสอนลูกรวย
ไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตของหนุ่มฟลุคที่หลายๆ คนอิจฉา ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเครื่องบินชั้นเฟิสต์คลาส รับประทานอาหารร้านหรู พักในโรงแรมระดับ 5 ดาว นั่นมาจากการที่เขารู้จักหาเงิน และใช้เงินเป็น
“มุมมองในการใช้ชีวิตของผมก็เต็มที่กับทุกวัน ถ้าทำงานผมทำจริง ไม่มีอู้ ไม่มีเลต แต่เวลาเที่ยวก็เที่ยวจริงๆ เพราะผมว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน อาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ ดังนั้นผมจึงใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกวัน บางคนอาจวิจารณ์การใช้เงินใช้ชีวิตของผม แต่ผมไม่เคยใช้จ่ายเกินตัวนะ เรารู้ว่าเรามีลิมิตเท่าไร ผมใช้เงินทุกบาทแบบมีสติ รู้ว่าจ่ายไปเท่าไร ได้อะไร
ผมเชื่อกับคำว่า “พอเพียง” นั่นเป็นวิถีทางที่ถูกแล้ว แต่ผมไม่เห็นด้วยกับคำว่า “อดออม” สำหรับผมแล้วการออมเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่ว่าจะ “ออม” แล้วต้องมา “อด” การจะออมสำหรับผมคือหาให้เหลือมาออม นั่นคือคุณควรรู้จักหารายได้เพิ่ม
ไม่ใช่ว่าอยากทำอะไรที่ให้ความสุขกับชีวิตเรา แล้วต้องอดใจไม่ทำเพื่อเอามาออม ผมว่านั่นไม่ใช่แล้ว คุณต้องรู้จักใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและหาหนทางออมไปด้วยพร้อมกัน ซึ่งมันสอดคล้องกับแนวคิดของผมที่ว่าเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตเรา นั่งอยู่เฉยๆ อาจมีระเบิดลงตายตอนนี้ก็ได้ ทำไมเราไม่ใช้ชีวิตให้มีความสุขละ ถ้าต้องอด ต้องทน เพื่อจะออม สุดท้ายแล้วที่ออมจะได้ใช้ไหมก็ไม่รู้ ดังนั้นแทนที่จะ “อด” เราควรต้องรู้จักหารายได้เพิ่ม และใช้เงินให้เป็น ใช้ให้คุ้มค่าที่สุด นั่นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องกว่า”
โดยหนุ่มคนนี้นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้บัตรเครดิต และเขากำลังจะออกหนังสือ How To วิธีการใช้เงินให้คุ้มค่ากับเขา ที่ทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป ให้ประโยชน์กลับมา 2-3 ต่อเสมอ
“ทุกวันนี้ที่ผมบินเฟิสต์คลาสไปเที่ยวที่ต่างๆ ในแต่ละปีนี่ผมจ่ายเองไม่ถึงครึ่งนะ อย่างปีนี้ไปมาราว 12 ทริป ผมจ่ายเองแค่ 4 ทริปเอง ที่เหลือคือการแลกไมล์สะสมบัตรเครดิต ผมศึกษาโปรโมชันของบัตรทุกใบอย่างละเอียด และมั่นใจว่าการใช้บัตรของผมจะคุ้มค่าที่สุด ผมกล้าพูดได้เลยว่า ผมรู้รายละเอียดดีกว่าพนักงานอีก ใครที่จะโทร.มาเสนอให้ผมทำบัตร ผมว่าผมรู้มากกว่าเขาแน่นอน...
นอกจากศึกษาอย่างละเอียด รู้ว่าบัตรไหนควรใช้จ่ายอะไรเท่าไร ใช้ยังไงจะได้แต้มดับเบิล ฟลุคยังจดบันทึก และวางแผนการจ่ายเงินอย่างละเอียด “อย่างจะเดินทางไปต่างประเทศนี่ ผมวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะใช้บัตรไหนจ่ายที่ไหน ถึงยอดเท่าไร แล้วจะเปลี่ยนไปใช้บัตรไหนต่อ เพื่อให้ทุกการใช้จ่ายของผมทำได้อย่างคุ้มค่าที่สุด และเวลาบิลเรียกเก็บมาผมรู้หมดยอดไหน เป็นอะไร จะรู้ได้ทันทีถ้ามีอะไรที่ผิดปกติ”
แนวคิดทางการเงินนี้ ถูกถ่ายทอดไปสู่หนุ่มน้อยอชิ ด้วยการสอนให้รู้จักมีวินัยทางการเงิน “ผมจะให้งบเขาในแต่ละเดือน เดือนนี้ใช้จ่ายค่าขนมเท่าไร มีเงินพิเศษให้เติมเล่นเกมออนไลน์ได้เท่าไร ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมไม่ได้มองว่าฟุ่มเฟือยนะ เพราะไลฟ์สไตล์ของเด็กกับการเล่นเกมมันเป็นอะไรที่แยกกันไม่ได้
อย่างเราแต่ก่อนก็มีไปหยอดตู้เกมตามห้างเหมือนกัน ก็เสียเงินเหมือนกัน แต่ของเด็กสมัยนี้มันเปลี่ยนรูปแบบไป ไม่ต้องเดินทางไปไหน เล่นในออนไลน์ ซึ่งที่จริงแล้วผมว่ามันสะดวกกว่าเดิมด้วยนะ เราไม่ต้องเสียเงินเดินทาง เสียเวลาไปนั่งเฝ้า อันนี้เขาเล่นอยู่ที่บ้าน
ผมจะมีลิมิตในการให้เงินเขาเล่นเกม แต่ถ้าเขาเล่นมากกว่านั้น แพงกว่านั้น ผมก็ไม่ได้ห้ามนะ แต่เขาต้องรู้จักหาเงินมาเอง ผมไม่ให้เพิ่ม ถ้าเขาไปขอคุณปู่ ขอคุณย่ามาได้ ผมก็ไม่ว่าเพราะนั่นเป็นเทคนิคการหาเงินของเขา ด้วยวัยอย่างเขาถ้าจะให้ไปหาเงินด้วยการทำงานพิเศษมันก็ไม่ใช่
ดังนั้นถ้าเขาไปอ้อน นวดขา หรือทำวิธีต่างๆ ให้ผู้ใหญ่เอ็นดูแล้วขอค่าขนมมาได้ ก็ถือเป็นความสามารถเขา เราไม่ได้ห้าม แต่กลับชื่นชมด้วยว่าเขามีวิธีของเขา ซึ่งโตไปเขาจะประยุกต์เทคนิคในการหาเงินไปในทางอื่นอีกได้ ผมขอแค่อย่าไปลักไปขโมยหรือทำอะไรที่มันได้มาอย่างไม่สุจริตละกัน”
ไม่สนฉายาคาสโนว่า มุ่งมั่นเป็นฮีโร่ของลูก
หนึ่งในภาพลักษณ์ที่ดูจะติดตัวหนุ่มฟลุคแบบแยกไม่ออก คือ การถูกมองว่าเป็นหนุ่มเจ้าชู้จนได้รับการยกให้เป็นคาสโนว่าแห่งยุค
“ผมมองว่ามันก็แค่ฉายาหนึ่งที่คนตั้งให้ ผมไม่ได้มองอะไรซีเรียสมากกับคำนี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญ ผมไม่แคร์ว่าคนอื่นคิดยังไงกับผม คนที่ผมแคร์มีแค่ครอบครัวกับคนที่ผมรัก คนอื่นผมไม่สนใจเพราะถ้าผมแคร์ผมก็คงสร้างภาพไปแล้ว และผมเชื่อว่าผมจะสร้างได้ดีด้วยเพราะผมเคยเป็นนักแสดงมาก่อน แต่ผมไม่ทำเพราะผมเกลียดการเสแสร้ง
สิ่งพวกนี้มันแค่คำพูด คนที่พูดคือใครก็ไม่รู้ เป็นคนที่อาจจะไม่รู้จักตัวผมเลยก็ได้ ดังนั้นมันไม่มีผลอะไรกับผมเลย และผมก็เชื่อว่าไม่มีผลอะไรกับอชิเช่นกัน เพราะเขาคือคนที่รู้จักตัวตนของผม เขาเห็นการกระทำของเรา ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมชอบสอนโดยการทำให้เห็นมากกว่าการพูด
การสอนแบบทำเป็นตัวอย่างนี่สำคัญนะ ถ้าคุณบอกกับลูกว่าอย่าสูบบุหรี่นะมันไม่ดี แต่คุณกลับสูบ ลูกไม่มีทางเชื่อหรอก หรือบอกว่าอย่าเล่นการพนันนะแต่ตัวเองอยู่ในบ่อนมันก็ไม่ใช่ ดังนั้นจะสอนอะไรลูก เราต้องทำเป็นตัวอย่างที่ดี คนอื่นพูดยังไงมันไม่มีผลเท่ากับการที่เขาเห็นเราทำตัว อย่างในกรณีนี้ต่อให้คนทุกคนพูดว่าผมเป็นคาสโนว่า ผมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่อชิซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับผม ลูกเราเขาเห็นว่าเราเป็นยังไง ไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นพูด มันก็จะทำให้เขาเข้าใจเอง
ทุกวันนี้จุดมุ่งหมายที่สำคัญอย่างหนึ่งของผมคือ การเป็นพ่อที่สามารถเป็นฮีโร่ที่ลูกภูมิใจให้ได้ ใช้ชีวิตของผมเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกให้ได้ พูดได้ว่าการมีลูกทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น สมัยก่อนผมอาจไม่ได้ทำตัวแบบนี้ หรือคิดอะไรแบบนี้ แต่การมีลูกมันทำให้ผมเปลี่ยนไปเยอะ ต้องพยายามปรับตัวเอง พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น เพราะผมรู้ว่ามีคนมองผมอยู่ ลูกมองเห็นเราเป็นฮีโร่ของเขา
ดังนั้นเราต้องเป็นฮีโร่ตัวจริงไม่ใช่ฮีโร่จอมปลอม” และนี่คือคำปฏิญาณจากคุณพ่อที่ชื่อ เกริกพล
ความรักครั้งใหม่ที่ใกล้เข้าประตูวิวาห์
พูดถึงการแต่งงานใหม่ของคุณโบแล้ว ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วข่าวดีของคุณฟลุค กับ น้องลี นาตาลี เจียรวนนท์ แฟนสาวคนสวยที่คบกันมานานหลายปีแล้ว ว่าเมื่อไรจะได้ยินเสียงระฆังวิวาห์บ้าง
“แต่งแน่นอนครับ ตอนนี้กำลังจัดการให้เวลามันลงตัว ผมได้พูดคุยกับพ่อแม่ตัวเองแล้ว กำลังจะนัดพ่อแม่ผมให้เข้าไปคุยสู่ขอกับพ่อแม่น้องลี ตอนแรกกะว่าจะคุยกันในช่วงเดือนธันวานี้ แต่คุณพ่อน้องลีก็อยู่ต่างประเทศ พอช่วงที่ท่านจะกลับมาก็เป็นช่วงที่พ่อผมได้ฤกษ์บวชพอดี ซึ่งท่านตั้งใจจะบวชประมาณ 1 เดือน ตอนนี้คิวที่เร็วที่สุดก็ต้องเป็นปีหน้าแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีใครเดินทางไปไหนกันอีกหรือเปล่า คือทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่เวลามันไม่ลงตัวเท่านั้น
สำหรับผมการแต่งงาน คือ งานเพื่อเจ้าสาวและผู้หลักผู้ใหญ่ ตามธรรมเนียมประเพณีของสังคม แต่ส่วนตัวของผมแค่จดทะเบียนก็โอเคแล้ว ผมไม่ซีเรียสว่าต้องจัดเลี้ยงใหญ่โต เพราะผมเคยผ่านมาแล้ว ผมรู้ว่ามันเหนื่อยและวุ่นวายมาก เพราะวัตถุประสงค์ที่สำคัญของการจัดงานแต่งก็เพื่อให้สังคมรับรู้ แต่ในสมัยนี้ประกาศลงอินสตาแกรมแค่นั้นคนก็รู้ทั้งประเทศแล้ว
ดังนั้นงานที่จะจัดเนี่ย ผมทำเพื่อเจ้าสาว และให้เกียรติกับทางผู้ใหญ่ มันก็ต้องทำให้ถูกประเพณีและสมเกียรติ ก็เลยต้องรอให้ทุกฝ่ายพร้อมและว่างตรงกันก่อนครับ” :: Text by FLASH
ขอขอบคุณ ร้าน House 10 โทรศัพท์ 08-1837-1133 และร้าน Crepe & Co. โทรศัพท์ 0-2726-9398 ในอาคาร 8 ทองหล่อ ปากซอยทองหล่อ 8 ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ