xs
xsm
sm
md
lg

กฤตย์ โอสถานุเคราะห์ หนึ่งในกิ่งก้านของตระกูลที่แตกต่างและเติบโต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>มากไปกว่าบทบาทการเป็นทายาทรุ่นที่ห้าที่ต้องรับช่วงต่อในการบริหารเครือข่ายธุรกิจต่างๆ ของ “ตระกูลโอสถานุเคราะห์” ตระกูลนักธุรกิจคนดังของประเทศที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดีเฉกเช่นเดียวกับญาติคนอื่นๆ ที่สานต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย แต่หนุ่มหน้ามนคนนี้ “ท๊อฟฟี่” หรือ “กฤตย์ โอสถานุเคราะห์” กลับขอเลือกที่จะแตกต่าง โดยการสร้างเส้นทางเดินของตัวเอง ในการรับราชการตำรวจตามความฝันที่ชายหนุ่มคนนี้วาดหวังไว้ตั้งแต่วัยเด็ก

ทายาทหนุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์วัย 27 ปีคนนี้ จบการศึกษาชั้นประถมจากโรงเรียนจิตรลดา ก่อนจะบินลัดฟ้าไปศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลียจนจบระดับไฮสคูล แล้วจึงเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกาในสายงานบริหารธุรกิจ และกลับเข้ามาช่วยงานธุรกิจของตระกูล ที่ “โอสถสภา” ก่อนจะตัดสินใจหักเลี้ยวเส้นทางชีวิตออกมาขอเดินบนเส้นทางของตัวเองด้วยการสมัครเข้ารับราชการตำรวจ อาชีพที่เขาใฝ่ฝันมาเนิ่นนาน

“ผมมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เท่าที่จำความได้ ผมเป็นคนชอบเล่นเกม แนวตำรวจทหารมาตลอด สมัยเด็กๆ ก็เล่นสนุกๆ แบบหัดยิงบีบีกัน พอโตขึ้นมาหน่อยก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการยิงปืนจริง” กฤตย์เล่าถึงภาพวัยเด็กที่ยังชัดเจนในความทรงจำ จนทำให้เขาตัดสินใจสอบเข้ารับราชการตำรวจ

และในวันที่เราสนทนากัน กฤตย์ก็ก้าวเข้าไปใกล้การทำความฝันให้เป็นความจริงเข้าไปอีกครั้ง เพราะเขากำลังอยู่ในช่วงรอคำสั่งแต่งตั้งให้เข้าประจำการในกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer Protection Police Division)

ถึงแม้จะเป็นคนละแขนงงานกับประสบการณ์การบริหารธุรกิจที่เคยทำมานานกว่าสองปี แต่งานนี้ทั้งสองแบบก็นับว่ามีความเชื่อมโยงอยู่ในที ที่จะเปิดโอกาสให้เขาได้ทำตามความฝัน ไปพร้อมๆ กับที่บัณฑิตทางด้าน Business Administration จาก Mount Ida College เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา คนนี้สามารถนำความรู้ความสามารถที่ได้ร่ำเรียนมาไปปรับใช้ควบคู่กับหน้าที่พิทักษ์ประชาชน

“แม้ผมจะเรียนจบทางด้านบริหารธุรกิจมาโดยตรง แต่ผมก็คิดว่าสามารถนำหลักในการบริหารมาปรับใช้ได้กับงานทุกแขนง อยู่ที่การจัดการของตัวเราเองมากกว่า ที่สำคัญคือ ผมอาจจะต้องทำงานอื่นควบคู่ไปด้วยในเวลาส่วนตัว เช่น ดูแลธุรกิจของทางบ้าน แต่งานในส่วนตำรวจต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ถึงอย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้วอาชีพตำรวจเป็นงานที่มีเกียรติและได้รับใช้ประชาชน ซึ่งใน Business Firm ก็สามารถทำได้ แต่เป็นในรูปแบบการตอบแทนสังคม หรือ CSR ซึ่งต่างกับการทำงานในรูปแบบของตำรวจที่ได้รับใช้ประชาชนโดยตรง”

กล่าวโดยบทสรุปอาจเป็นเรื่องง่าย แต่ระหว่างเส้นทางการก้าวมาเป็นนายตำรวจของกฤตย์ไม่ง่ายเลย เพราะในหน้าประวัติศาสตร์ตระกูลวาณิชที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตระกูลหนึ่งของเมืองไทย ไม่มีใครเคยรับราชการมาก่อน เช่นเดียวกับความคิดเห็นที่แตกต่างของคุณพ่อและคุณแม่ที่กว่าจะยอมให้ลูกชายเบนเข็มเส้นทางชีวิต กฤตย์ต้องโน้มน้าวพวกท่านอยู่นานสองนาน

“ด้วยความที่คนในตระกูลผมเป็นนักธุรกิจทุกคน ช่วงแรกๆ คุณแม่จึงไม่โอเคมากๆ กับการตัดสินใจของผมในครั้งนี้ ผมต้องพยายามคุยเหตุผลกับท่านหลายครั้งอยู่เหมือนกัน เพื่อให้คุณแม่ยอมรับว่าเราอยากมีเส้นทางเดินของตัวเอง จนสุดท้ายท่านยอมให้ผมลองเลือกทางเดินของผมเอง และถ้าไปไม่ได้จริงๆ ค่อยกลับมาทำงานที่เหมาะสำหรับเราคือ การทำธุรกิจ

เหตุผลที่ผมต้องชัดเจนในการตัดสินใจของตัวเองครั้งนี้ และพยายามโน้มน้าวทุกคนในครอบครัวจนสำเร็จได้ นั่นเป็นเพราะว่า ผมเกรงว่าถ้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานไปกว่านี้ ไม่หาโอกาสลงมือทำสักที ในอนาคตผมอาจจะต้องรู้สึกเสียดายทีหลังก็เป็นได้

เพราะเห็นมาหลายคนแล้วที่คิดแบบนี้ คือ มัวแต่คิด แล้วก็ไม่ลงมือทำ เก็บพับเอาไว้ก่อนแล้วกัน หรือรีรอเวลา โดยคิดว่าทำธุรกิจหรือทำงานที่มีไปก่อน แล้วค่อยๆ หาโอกาสไปทำสิ่งที่เรารักทีหลัง เมื่อเวลามันผ่านไป คุณอาจจะไม่มีโอกาสที่ว่านั่นลอยผ่านมาอีก กลายเป็นสุดท้ายพอแก่ตัวลงไปก็ต้องมานั่งนึกเสียดายว่าทำไมตอนนั้นไม่รู้จักลงมือทำในสิ่งที่ตัวเองรัก” กฤตย์แสดงความคิดเห็นได้น่าสนใจ จนต้องขอถามตรงๆ ว่าสัดส่วนความชอบด้านธุรกิจของเขามีมากน้อยแค่ไหน? อย่างไร?

“เห็นผมพูดแบบนี้อย่าคิดว่าผมไม่ชอบทำธุรกิจนะครับ ผมเองก็ชอบทางด้านธุรกิจมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ซึ่งสิ่งนี้ผมว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่อยู่ในสายเลือดเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มวิเคราะห์ “อย่างในสมัยเรียน นอกจากการเลือกเรียนทางด้านนี้โดยตรงแล้ว ขนาดกิจกรรมชมรม ผมก็ยังเข้าชมรมที่เกี่ยวกับธุรกิจเลย และในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ค้นคว้าหาความรู้จากหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจเพิ่มเติม เพราะผมรู้สึกว่าทุกอย่างคือการเรียนรู้ อย่าทิ้งเวลาให้เสียเปล่า

ผมเรียนไม่เก่งและไม่ได้เป็นหนอนหนังสือ กว่าจะเรียนจบมาได้ก็แทบแย่เหมือนกัน ติดเพื่อน เกเร ชอบเที่ยวเตร่ เหมือนวัยรุ่นผู้ชายทั่วไปคนหนึ่ง ยังดีที่ผมเตือนสติตัวเองไว้ตลอดเวลาว่า อย่างน้อยเราต้องทำอะไรให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ทำตัวให้เป็นประโยชน์ทั้งสำหรับตัวเองและผู้อื่น ดังนั้น จึงควรขวนขวายความรู้รอบตัวไว้ตลอดเวลา จะได้คุยกับคนอื่นรู้เรื่อง ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างคอนเนกชันที่ดีไปในตัวด้วย ผมจึงไม่เคยหยุดหาความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านธุรกิจซึ่งเป็นกิจการของครอบครัว

อาจจะเรียกได้ว่าทั้งการรับราชการตำรวจและการทำธุรกิจนับเป็นทั้งสองสิ่งที่ผมรักไม่น้อยหน้ากัน แต่งานบางอย่างมันมีช่วงเวลาของมัน คือถ้าไม่ลงมือทำตอนนี้ หรืออายุล่วงเลยไปแล้วมันก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้น ผมจึงอยากทำความฝันของผมให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้”

กิจวัตรในชีวิตของกฤตย์ที่ตอนนี้กำลังจะสวมหมวกสองใบ (นักธุรกิจและข้าราชการ) หมดไปกับการเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและแบรนดิ้งให้กับคุณแม่และพี่สาวที่เปิดบริษัทเอเยนซีโฆษณาในระหว่างวันจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ เขากำลังตั้งอกตั้งใจศึกษาต่อปริญญาโทในคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต เพื่อเสริมความรู้เพิ่มเติม และอาจจะต่อยอดด้วยการเรียนนิติศาสตร์เพิ่มในอนาคต

“เป็นเพราะผมเรียนจบด้านบริหารธุรกิจ เลยไม่สามารถไปอยู่ฝ่ายสืบสวนหรือปราบปรามได้ ใจจริงผมอยากอยู่ฝ่ายปราบปรามนะครับ อยากบู๊” กฤตย์ตอบทีเล่น ที่จากน้ำเสียงและแววตา เดาได้ไม่ยากว่าเขาอยากให้สิ่งที่พูดเกิดขึ้นจริงๆ “แต่คิดว่าในตอนนี้ผมคงยังไม่สามารถเข้าไปสายนั้นได้ เและ งานตำรวจมีหลายด้านให้ทำเพื่อประโยชน์และความสุขของชาวประชา ผมว่าสิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือ การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอาชีพตำรวจที่ไม่ค่อยดีนักในสายตาของสังคมคนกลุ่มหนึ่งให้เขามีทัศนคติที่ดีต่ออาชีพนี้ เพราะอันที่จริง ทุกอาชีพต้องมีทั้งคนดีคนไม่ดี เป็นเรื่องธรรมดา

ยิ่งเดี๋ยวนี้เป็นยุคของไวรัล (Viral) และโซเชียลมีเดีย (Social Media) ที่เข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างมากในการกระจายข่าวสาร ซึ่งมันก็มีประโยชน์ทั้งด้านบวกและลบ คนที่ใช้ไม่เป็นเขาก็จะได้รับแต่ด้านลบ เช่น การทำลายคนอื่น ทำให้คนอื่นดูไม่ดี ยิ่งเมื่อมีการกลั่นกรองข่าวน้อย ข่าวบางข่าวที่ไม่ใช่ความจริง หรือมีความจริงอยู่นิดเดียว หรือเป็นการสร้างสถานการณ์ขึ้นมา ก็จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกันใหญ่ ซึ่งผมว่าเรื่องนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก และเป็นปัญหาหนักของยุคนี้”

อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเพราะอดีตที่เคยเป็นเด็กเฮี้ยวมาก่อนหรือเปล่า จึงทำให้เขาในวันนี้ลุ่มลึกและจริงจังกับรายละเอียดของทุกเรื่องรอบตัว

“อาจจะมีส่วนนะครับ นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากประกอบอาชีพที่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบเคร่งครัด ผมอาจจะต้องการจัดระเบียบตัวเอง การมีวินัยมีประโยชน์มากในการดำเนินชีวิต คนเราถ้าจัดการตัวเองได้ดี ก็สามารถจัดการเรื่องอื่นๆ ได้ดีเช่นกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ ตื่นเช้ามาผมจะกำหนด Task ที่ต้องทำในแต่ละวัน เมื่อชิ้นแรก Accomplish ในตอนเช้าปุ๊บ ชิ้นอื่นๆ มันก็จะค่อยๆ เสร็จตามมาเอง และถ้าทำแบบนี้ได้ต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วมันก็จะไม่มีอะไรยากเกินไปกว่าความสามารถของเรา”

อันที่จริงจะว่าไปแล้ว กฤตย์ไม่ใช่สมาชิกของตระกูลโอสถานุเคราะห์คนแรก ที่ลุกขึ้นมาก้าวเดินตามความฝันของตัวเองด้วยเส้นทางที่แตกต่าง โดย “เพชร โอสถานุเคราะห์” นักธุรกิจ นักร้อง นักดนตรีคนดังฝีมือฉกาจผู้มีสไตล์ไม่เหมือนใคร กับ “นาฑี โอสถานุเคราะห์” มือกีตาร์วงดนตรีดังแห่งยุคอย่าง “เก็ทสึโนว่า” (Getsunova) ก็นับได้ว่าเป็นตัวอย่างของคนบันเทิงประจำตระกูลโอสถานุเคราะห์ที่สวมหมวกสองใบมาก่อน

“นาฑีเป็นทั้งญาติและเพื่อนที่สนิทที่สุด เราเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่เด็ก ไลฟ์สไตล์คล้ายกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน หลายคนอาจจะคุ้นชินกับภาพเขาถือกีตาร์เล่นดนตรี แต่ที่จริงแล้วเขามีอีกด้านของชีวิตนะ ในตอนกลางคืนเขาเป็นนักดนตรีขึ้นแสดงกับวง แต่ในตอนกลางวันเขาก็เข้าทำงานที่บริษัทไปพร้อมกันด้วย

ถามว่าเหนื่อยไหม ผมว่าเขาก็คงเหนื่อยแหละ แต่ถ้ามองถึงความสุขแล้ว นาฑีคงมีความสุขมากที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งถ้าผมได้รับราชการเป็นตำรวจ แล้วมีเวลาว่าง ผมก็คงเอามาทำอีกสิ่งที่ตัวเองรักนั่นคือ การทำธุรกิจ ถามว่าจำเป็นต้องเป็นโอสถสภาไหม อาจจะไม่ใช่ก็ได้

เพราะตัวผมเองก็ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา การจะเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจมันต้องอาศัยรายละเอียดเยอะ ผมไม่อยากให้คนมองว่าเรามาจากตระกูลนี้แล้วมีทุนทรัพย์มากมายที่พ่อแม่ปู่ย่าบรรพบุรุษสร้างมาให้ และจะไปทำอะไรก็ได้

ผมว่าหลายคนอาจจะมองว่าการทำบริษัทเป็นงานสบาย ไม่ต้องทำอะไรมาก ก็แค่ประชุมๆ เซ็นเอกสาร แต่มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ การสานต่อเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ การทำอย่างไรให้บริษัทก้าวเดินต่อไปให้ได้มันมีรายละเอียดที่ยากและซับซ้อนกว่านั้น ผมไม่ได้พูดแค่ บริษัท โอสถสภา แต่หมายถึงทุกบริษัท ที่ต้องมีการผลัดไม้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน”

ลูกหลานของตระกูลนี้ไม่ได้มีน้อยๆ การปลูกฝังอย่างไรให้เจเนอเรชันถัดมา ถัดมา และถัดมา มีความรักและผูกพันแน่นแฟ้นในตระกูล เป็นสิ่งที่น่าทึ่งไม่น้อย

“ผมว่ามันคือความเป็นครอบครัว ความเป็นยูนิตี้ การที่เรารักกัน สนิทกัน อยู่ด้วยกันไม่ได้มองว่าอะไรคือผลประโยชน์ เรามารวมตัวนั่งคุยเฮฮากันทุกรุ่น ตั้งแต่รุ่นปู่ ป้า ลุง พ่อ แม่ จนถึงรุ่นเด็กๆ อย่างพวกเรา นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวเราเป็น ถามว่าใช่หน้าที่ไหมที่แต่ละคนต้องมาช่วยงานที่บ้าน ก็คงไม่ใช่หน้าที่ ไม่มีใครบังคับ แต่ในเมื่อเรามีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ แล้วถ้าสิ่งที่เรามีมันสามารถช่วยงานเขาได้ มันก็เป็นสิ่งที่ดีในการช่วยกันคนละไม้ละมือ เพื่อที่จะให้องค์กรองค์กร หนึ่งอยู่รับใช้คู่กับคนไทยไปนานๆ”

คำตอบนี้ทำให้เราสิ้นสงสัยถึงคุณภาพของบุคลากรทุกคนในครอบครัวโอสถสภา ด้วยรากฐานบวกกับการต่อยอดที่ดีเชื่อได้ว่ากิ่งก้านสาขาของ “ตระกูลโอสถานุเคราะห์” จะยิ่งผลิดอกออกผล และแผ่ไปอย่างแข็งแรง กว้างขวาง และมั่นคงอย่างแน่นอน

Toffy’s Hobby

:: ชอบออกกำลังกายด้วยการเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ ทุกสัปดาห์

:: ยิงปืนเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่โปรดปราน ควบคู่ไปกับการสะสมปืนหลายชนิดตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ทั้งปืนลูกซอง ปืนสั้นแบบลูกโม่ และออโตเมติก

:: สำหรับท๊อฟฟี่ Bearbrick มีคุณค่าทางใจมากกว่าการเป็นแค่ของสะสม เขามักเลือกเฉพาะไซส์ 400% นำมาจัดวางตามมุมต่างๆ ในห้องแทนของแต่งบ้านชั้นดี โดยเขาเสาะหามาเก็บไว้หลากหลายคอลเลกชัน อย่างเหล่าลวดลายของพลพรรคซูเปอร์ฮีโร่ หรือรุ่นลิมิเต็ด อิดิชันที่หาได้ยากยิ่ง

:: ธรรมะ คือหมวดหมู่ของหนังสือที่เขาอ่านเป็นประจำ :: Text by FLASH

Fact File

ชื่อเล่น : ท๊อฟฟี่
อายุ : 27 ปี
การศึกษา : ปริญญาตรี Business Administration จาก Mount Ida College ประเทศสหรัฐอเมริกา
: กำลังศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต

Special Thanks : Charles Patnett ร้านสูทสไตล์อังกฤษ โทรศัพท์ 0-2251-0121 และ Barberford บาร์เบอร์สำหรับสุภาพบุรุษ โทรศัพท์ 09-2601-9993, 0-2251-0422 บนชั้น 4 ศูนย์การค้าเอราวัณ กรุงเทพฯ สี่แยกราชประสงค์ ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ

กำลังโหลดความคิดเห็น