เรื่องราวของเด็กกำพร้าที่หลังจากพ่อ-แม่ตาย อาม่า-อากง และป้าๆ อาๆ ก็เลี้ยงดูให้ความรักความอบอุ่น ส่งเสียให้เรียนจบปริญญาโท หลังจากนั้นก็มาเปิดร้านอาหาร หวังแบ่งเบาภาระครอบครัวและพิสูจน์ให้ผู้ใหญ่เห็นว่าเลี้ยงดูตัวเองได้ ด้วยความอดทนมุ่งมั่น หญิงสาวจึงพลิกชีวิตนำวิชาความรู้ที่ติดตัวออกมาทำเครื่องประดับขาย ก่อนจะหันมาทำแบรนด์เสื้อผ้าจนติดลมบนมีสาวสังคมชั้นสูงเป็นลูกค้ามากมาย
นี่อาจจะเป็นชีวิตที่ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ แต่ความจริงคือ มีมี่-กิ่งกานต์ สลากรธนวัฒน์ เกิดมาในครอบครัวร่ำรวยหลายร้อยล้านที่ไม่ต้องทำงานก็อยู่ได้อย่างสบาย ๆ แต่เธอก็พอใจสวมบท "คุณหนูสู้ชีวิต"
ร้านกาแฟชื่อดังในห้างเอ็มควอเทียร์ กลายเป็นสถานที่ที่เรานัดพบ มีมี่-กิ่งกานต์ เจ้าของใบหน้าสวยเก๋และเรือนร่างอันบอบบาง เธอยิ้มหวานให้เราทันทีที่พบกัน พร้อมตอบคำถามเรื่องราวชีวิตในอดีตที่ผ่านมาว่า เติบโตมากับครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน โดย “มีมี่” ถูกส่งตัวให้มาอยู่กับบิดาและญาติๆ ด้วยเป็นพื้นฐานครอบครัวคนจีนที่ทำธุรกิจค้าขายจึงมีฐานะดี พอที่จะทำให้สาวคนนี้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย เพราะหลังจบปริญญาตรี คณะบัญชี มหาวิทยาลัยหอการค้าแล้ว มีมี่ก็ถูกส่งตัวไปเรียนต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลีย
คุณหนูอารมณ์ดี สวมชุดสีขาวอยู่ในท่วงท่าสบายๆ บอกว่าพ่อเสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับปอดเมื่อเธออายุเพียง 11 ขวบ ส่วนแม่นั้น มีมี่ทราบเพียงแต่ว่าเสียชีวิตก่อนพ่อเล็กน้อย
แต่ถึงจะไม่มีพ่อ-แม่ ความรักที่ได้รับจากอาม่า ป้า และอา ก็มากจนล้น ทำให้เธอไม่รู้สึกว่าต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกใบใหญ่ใบนี้ “ มีครั้งหนึ่งที่รู้สึกเสียใจมาก และตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก คือไปเที่ยวผับไม่บอกใคร แล้วกลับบ้านดึก ค่อยๆย่องเข้ามาเจออาม่า ถามไปไหนมา พอมี่บอกไปเที่ยว อาม่าก็พยักหน้าไม่ว่าอะไร แต่บอกให้ไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าว อาม่าเก็บกับข้าวไว้รอ มี่ร้องไห้โฮเลยค่ะ มันเชือดเฉือนหัวใจมาก ตอนนั้นมี่อยากให้อาม่าตีมี่ให้ตายไปเลยดีกว่า ยิ่งเค้าดีกับเรามากมี่ยิ่งต้องระวังความรู้สึกของทุกคนในบ้านให้มากที่สุดค่ะ พออาม่าป่วยมี่ยอมหยุดเรียนหอการค้า 1 ปี เพื่อมาอยู่ดูแลอาม่า จนวันที่อาม่าจากไปมี่ก็ดูใกล้ชิดกับอากงมากขึ้น”
ด้วยความเป็นหลานสาวคนเดียวของครอบครัว แม้จะเรียนจบปริญญาโท ด้านบริหารศิลปะแฟชั่น จาก CQU ออสเตรเลีย แต่ทางครอบครัวซึ่งมีฐานะร่ำรวยจึงอยากให้หลานสาวมีชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำงาน
แต่ “มีมี่” กลับไม่อยากเป็นคุณหนูที่ใช้ชีวิตสุขสบายไปวัน ๆ เธอจึงมีหันมาเปิดร้านอาหารเหมือนกาญจนา ลีวรกุล ผู้เป็นป้า โดยเธอขอไปเรียนทำอาหารที่ เลอ กอร์ดอง เบลอ ประเทศอังกฤษเป็นพื้นฐานก่อนมาทำตามความฝัน
"เรียนทำอาหารได้คอร์สเดียว คุณป้าก็โทรมาบอกว่า ได้พื้นที่สำหรับทำร้านอาหารแล้ว จะทำมั๊ยมี่ก็ตัดสินใจลองทำทันที กลับมาทำเองทุกอย่าง ตั้งชื่อร้าน Chinez by Grand Palace เลือกซื้อจาน ชาม คัดพนักงาน เดินตลาดหาซื้อวัถตุดิบเข้าร้านปรุงเป็นอาหาร ตรงนี้ทำให้ได้รู้คอร์สค่าใช้จ่าย และบริหารร้านได้ถูก แต่พอทำไปสักพัก ทุกอย่างเริ่มเข้าที่ก็เริ่มมีลูกค้าขาประจำ” พูดจบสาวน้อยคนนี้ก็ยิ้มหวาน
แม้ธุรกิจร้านอาหารจะไปได้ดี แต่ในความรู้สึกของมีมี่ กลับมองว่าร้านอาหารเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ จึงคิดอยากทำธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ซึ่งเมื่อป้าและอา ทราบข่าวก็พากันทักท้วงเพราะกลัวหลานสาวคนเดียวจะเหนื่อยเกินไป แต่คุณหนูไฟแรงก็ไม่ฟัง เดินหน้าที่จะทำตามฝันด้วยการออกแบบจิวเวอรี่เครื่องประดับสตรีไปฝากเพื่อนขายอีกทางหนึ่ง
“ตอนนั้นเหนื่อยมากนะคะ เช้าถึงเย็นไปดูแลร้านอาหาร แล้วก็นั่งคิดงานออกแบบเครื่องประดับไปด้วย ปิดร้านก็ไปเช็คสต็อก กลับบ้านเที่ยงคืน ตีหนึ่งทุกวันปรากฏว่าจิวเวอรี่ขายดี คนเริ่มรู้จัก ก็เลยขยับมาทำเสื้อผ้า เพราะคิดว่าเรียนมาแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงๆ เป็นงานที่ยากมากค่ะ ออกแบบ ทำแพทเทิร์น หาซื้อผ้าเองหมด เหนื่อยแต่สนุก ก็เลยตัดสินใจปิดร้านอาหารชั่วคราว ทำเสื้ออย่างเดียว”
แม้จะบอกว่ายาก แต่คุณหนูสู้ชีวิตคนนี้ ก็ไม่ยอมแพ้ ลองผิดลองถูกและมุ่งมั่นทุ่มเทกับการทำเสื้อผ้าใช้ชื่อตัวเอง “กิ่งกานต์” เป็นชื่อแบรนด์สินค้า และครั้งนี้เหมือนมีมี่ถูกหวยรางวัลใหญ่ เพราะเพียง 6 เดือน เสื้อของเธอก็เป็นที่ถูกอกถูกใจสาวๆ ทำให้มีลูกค้ามากมาย ทั้งไทยและเทศ ส่วนใหญ่เป็นสาวสังคมชั้นสูง อาทิ ปิยวดี มาลีนนท์, อภิษฎา เครือคงคา, พิมรา เจริญภักดี ฯลฯ
นานกว่า 2 ปีแล้วที่ มีมี่ ก้าวมาเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง ซึ่งเธอยอมรับว่า คุณอา คุณป้ารู้ข่าวก็ดีใจ และเธอเองก็ดีใจที่ได้พิสูจน์ตัวเอง และทำให้ผู้ใหญ่สบายใจคลายกังวลในชีวิตของได้ระดับหนึ่ง และเมื่อมาถึงตรงนี้แม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาบ้างแต่เธอก็ไม่คิดวางมือหนีปัญหาเลย
และก่อนจากกัน มีมี่ ยังฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ โดยเฉพาะน้องๆที่กำพร้าพ่อ-แม่ว่า “ขอให้เข้มแข็ง อดทน อย่าคิดว่าไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้วจะไม่มีใครรัก ในวันที่ไม่มีใครลองมองคนที่อยู่ข้างๆเรา เปิดใจให้กว้างแล้วจะรู้ว่าเขารักและห่วงใยเรามากขนาดไหน เวลาทำอะไรไม่ได้ ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ จะเครียด เหนื่อย ร้องไห้กับตัวเองทำได้ แต่อย่าร้องหรืออ่อนแอให้ใครเห็น ปัญหาที่ผ่านเข้าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีให้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง"