xs
xsm
sm
md
lg

อริยะ พนมยงค์ ผู้บริหารกูเกิล ประเทศไทย กับภารกิจหนักในฐานะคุณพ่อลูกแฝด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>คอลัมน์ Exclusive Interview สัปดาห์นี้เราได้รับเกียรติจาก “คุณบี๋-อริยะ พนมยงค์” Country Business Manager ของกูเกิล ประเทศไทย (Google Thailand) ที่ควงคู่ภรรยาคนสวย “อัจฉรา จิวระโมไนย์กุล” พร้อมทายาทฝาแฝดวัย 1 ขวบ 4 เดือนอย่าง “น้องเฮกก้า-กฤษกร” และ “น้องโนว่า-ภครพล พนมยงค์” มาทักทายผู้อ่านนิตยสาร Celeb Online นำทัพครอบครัวเซเลบริตี้ลูกแฝดที่ต่างมีเรื่องราวที่น่าสนใจในการรับมือกับลูกน้อยที่แท็กทีมกันออกมาสร้างทั้งความเหนื่อย และความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว

หนุ่มไทยที่ไปเติบโตในต่างแดน

คุณอริยะหนุ่มหุ่นสมาร์ทใบหน้าคมเข้มที่ทักทายเราด้วยภาษาไทยชัดเจน ไม่มีติดสำเนียงนมเนยใดๆ แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในแถบยุโรปมาค่อนชีวิต โดยเขาเกิดและเติบโตที่ประเทศฝรั่งเศส จนศึกษาจบชั้นปริญญาโททางด้านคณิตศาสตร์และไอที แล้วจึงไปศึกษาต่อเพิ่มเติมปริญญาโทอีกใบด้านบริหารธุรกิจที่ London School of Economy ประเทศอังกฤษ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่การทำงานเป็นแห่งแรกที่ประเทศโรมาเนีย

โดยตอนนั้นออเรนจ์ (Orange) บริษัทโทรคมนาคมชื่อดังของยุโรป เริ่มเข้าไปเปิดตลาดที่โรมาเนีย คุณบี๋ที่เพิ่งจะก้าวเข้าไปเป็นพนักงาน จึงถูกส่งไปทำงานที่นั่น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะเขาเข้าไปได้จังหวะพอดี ประเทศกำลังมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่งขับไล่ผู้นำที่เป็นเผด็จการออกไปได้ เป็นช่วงฟื้นฟูประเทศ ทุกอย่างกำลังเติบโต เราได้เข้าไปเริ่มต้นบริษัท ได้เรียนรู้ทุกอย่างจากฐานรากเลย ต้องบอกว่าเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ไม่มีระบบระเบียบอะไรวางไว้ให้เลย เป็นรุ่นผู้บุกเบิก งานหนักแต่สนุก มีอะไรให้เรียนรู้เยอะมาก”

หลังจากนั้นคุณบี๋ก็ย้ายกลับไปทำงานที่บริษัทอื่นๆ ที่ฝรั่งเศสและประเทศละแวกใกล้เคียง วิถีแห่งผู้บุกเบิกก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อช่วงปี 2544 ทางออเรนจ์ได้ประกาศเปิดสาขาในประเทศไทย หนุ่มสายเลือดไทยคนนี้จึงไม่รีรอที่จะกลับมาทำงานในประเทศไทย

กลับสู่ปิตุภูมิตามหาหัวใจ

การตัดสินใจเดินทางกลับมาทำงานที่เมืองไทย นอกจากความท้าทายในการทำงานแล้ว ส่วนหนึ่งคืออยากกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศแห่งบ้านเกิดเมืองนอน และอีกสิ่งจูงใจ คือการที่ได้กลับมาอยู่ใกล้ๆ กับหญิงสาวในดวงใจอย่าง “คุณแจ๋ว-อัจฉรา จิวระโมไนย์กุล”

คุณบี๋เล่าว่า “เรารู้จักกันตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษา โดยผมเรียนโทอยู่ที่อังกฤษ ส่วนแจ๋วเรียนโทที่จุฬาฯ แต่พอดีว่าเพื่อนสนิทแจ๋วไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเดียวกับผม จึงกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน พอผมกลับมาเที่ยวเมืองไทยช่วงซัมเมอร์ก็เลยได้รู้จักกัน แล้วก็ติดต่อกันเรื่อยมา”

“ตอนนั้นคุยกันในฐานะเพื่อน ต่างฝ่ายก็ต่างมีคนที่คบอยู่ จนผ่านไปเป็นปีนะ ช่วงจังหวะที่ต่างคนต่างว่าง แล้วเราก็คุยกันถูกคอ จึงเลื่อนสถานะมาเป็นแฟนกัน ซึ่งเป็น Long Distance Relationship ในสมัยนั้นก็ไม่สะดวกสบายเหมือนเช่นทุกวันนี้ ขนาดอีเมลยังไม่ค่อยมีใครใช้ ก็จะใช้โทรศัพท์ทางไกล หรือไม่ก็เขียนจดหมายหากันมากกว่า แล้วช่วงไหนใครว่างถึงจะได้เจอกัน เขาบินกลับมาไทยบ้าง คุณแจ๋วบินไปเที่ยวบ้าง คบอยู่หลายปีกว่าเขาจะย้ายมาเมืองไทย” คุณอริยะเล่าอย่างภูมิใจ

ระยะทางไกลไม่ใช่อุปสรรคสำหรับคนทั้งคู่ เพราะการหมั่นติดต่อและดูแลเอาใจใส่อีกฝ่าย โดยคุณแจ๋วบอกว่า “บี๋เป็นคนโรแมนติกมาก เขาจะมีดอกไม้ ทำอะไรให้เราตลอด อาจจะเพราะความที่เขาเติบโตต่างประเทศ ก็จะได้ซึมซับในจุดนี้มาก มีความเป็นสุภาพบุรุษสูงมาก เทกแคร์ ดูแลผู้หญิง มีความโรแมนติก ซึ่งสิ่งเหล่านี้หายากในผู้ชายไทย ถ้าจะเอาพวกเทกแคร์โรแมนติก ก็มักจะเจ้าชู้ มันมาคู่กันตลอด

สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือการเขียนจดหมาย ซึ่งเขาจะเขียนหาเรายาวมาก อย่างมีครั้งหนึ่งเขาเขียนเก็บไว้เป็นเล่มเลย ยังไม่ได้ส่งหา แต่พอดีเราไปเยี่ยมเขาที่ฝรั่งเศสก่อน เลยให้มาทั้งหมดเหมือนเป็นไดอารีเลย เรานั่งอ่านบนเครื่องขากลับ ประทับใจมาก ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเก็บจดหมายที่เขาให้ไว้ทุกชิ้น”

กลับไทย...การปรับตัวครั้งใหญ่

แม้จะโยกย้ายไปอาศัยอยู่ในหลายประเทศ แต่การกลับไทยคราวนี้ดูจะมีปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้คุณบี๋หนักใจมากที่สุด
“มีปัญหาเรื่องการปรับตัวมาก ไม่ใช่เรื่องของภาษา เพราะถึงผมจะอ่านหรือเขียนไทยไม่ได้ แต่เรื่องพูด-ฟังนี่ผมชัดเป๊ะมาก เพราะที่บ้านจะใช้ภาษาไทยคุยกัน เลยได้ฝึกมาตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ที่เป็นปัญหาคือเรื่องวัฒนธรรมการทำงาน ทัศนคติ สังคม ไลฟ์สไตล์ทุกอย่างเลย เพราะทุกครั้งที่ผมกลับมาเมืองไทยจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ปิดซัมเมอร์ ไม่เคยอยู่อาศัยจริงจัง ยังไม่ได้ซึมซับกับสังคมไทยจริงๆ

แต่กลับมาคราวนี้คือกลับมาอยู่จริง ต้องปรับเยอะมาก คือในช่วงปีแรกนี่บอกเลยว่า คิดว่าจะอยู่ไม่รอดแล้ว คิดจะกลับหลายคน แต่โชคดีที่ได้แจ๋วช่วยให้ผมปรับตัวได้ในที่สุด คือเขาเป็นทั้งแรงผลักดันที่อยากให้อยู่สู้ต่อ และช่วยให้คำปรึกษา เกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคมไทย”

ปัญหาใหญ่ที่คุณบี๋ประสบ มันเกิดจากความคาดหวัง โดยเขาอธิบายว่า “การที่ผมได้เดินทางไปอาศัยอยู่ในหลายประเทศ การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผม แต่สำหรับเมืองไทยที่มันแตกต่าง เพราะผมรู้สึกอยู่เสมอว่าประเทศไทยคือประเทศของผม รักเป็นพิเศษ และอะไรที่เรารัก เราภูมิใจ ก็อยากให้มันดี จึงมีความคาดหวังสูง มีความปรารถนาที่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้”

แต่หลังจากช่วงปีแรกไป ทุกอย่างก็ลงตัว โดยคุณบี๋บอกว่า ปรับทัศนคติเราเอง “มันอยู่ที่การทำความเข้าใจ คือในขณะที่ความคาดหวังยังมีอยู่ ยังไงก็อยากให้ประเทศเราดี พัฒนาก้าวหน้าแหละ แต่ที่เปลี่ยนไปคือ ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เราคิด ถึงจะผิดหวังแต่ก็ไม่เสียใจหรือหงุดหงิดตามไป”

เข้าร่วมงานกับบริษัทชื่อก้องโลก

กลับมาทำงานที่ออเรนจ์ในประเทศไทย โดยเริ่มจากแผนก Customer Service เป็นหัวหน้าด้าน Development ก่อนจะย้ายไปดูแลด้านตลาด จนกระทั่งออเรนจ์เปลี่ยนมาเป็น TrueMove คุณบี๋ก็ยังคงดูแลด้านการตลาดมาตลอด โดยอยู่กับองค์กรนี้ต่อเนื่องนานเป็นสิบปี จวบจนช่วงปี 2011 ที่ทางกูเกิล (Google) จะเข้ามาเปิดออฟฟิศในเมืองไทย คุณบี๋จึงถูกทาบทามให้มานั่งเป็น Country Head ของกูเกิล ประเทศไทย

“ได้ยินชื่อกูเกิลทุกคนคงคิดว่า บริษัทยักษ์ใหญ่แบบนี้ติดต่อมา ผมคงตัดสินใจได้ไม่ยาก แต่ที่จริงแล้ว ผมคิดหนักมากเลยนะ เพราะเราอยู่กับบริษัทเดิมมา 11 ปี มันเป็นความผูกพัน ผมรู้จักคนในบริษัททุกแผนก ผู้บริหารก็ดูแลเราดี
แต่สุดท้ายที่ตัดสินใจ เพราะนอกจากชื่อเสียงของบริษัทแล้ว ผมมองว่ามันเป็นความท้าทาย นี่คือการก่อตั้งบริษัทในประเทศไทย เราคือผู้บุกเบิก เหมือนเป็นคนช่วยปักธงกูเกิลในบ้านเรา ได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่มันยิ่งใหญ่มาก จึงไม่อยากพลาดโอกาสนี้”

อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้พี่บี๋ตัดสินใจก้าวมาเผชิญหน้าภารกิจครั้งใหม่ คือ เป็นจังหวะแห่งการเปลี่ยนแปลงของสังคมการสื่อสาร ที่โทรศัพท์มือถือกับอินเทอร์เน็ต มันหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง

“ช่วงที่กูเกิลเข้ามา เป็นช่วงเริ่มบูมของสมาร์ทโฟน จากแต่ก่อนที่โทรศัพท์มือถือเอาไว้แค่รับเข้า-โทร.ออก มันกลายมาเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อินเทอร์เน็ต และการเติบโตของโลกออนไลน์ที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ง่าย ทำให้เรายิ่งอยากเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้

โดยหน้าที่หลักของกูเกิล ประเทศไทย คือเป็น Commercial Office เน้นเรื่องการขายและการตลาดเป็นหลัก เพราะในส่วนของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีต่างๆ มันจะมาจากศูนย์กลางของบริษัทเป็นหลัก ทางเรามีหน้าที่ซัปพอร์ตด้วยการขยายธุรกิจในเมืองไทย ให้เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น

การขยายตัวของโลกดิจิตอล

จากวันแรกที่คุณบี๋เข้ามารับตำแหน่งนี้ ธุรกิจของประเทศไทยมีส่วนแบ่งเป็นตลาดดิจิตอลเพียงไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ผ่านไป 4 ปี ก้าวขึ้นมาเป็น 5-6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกูเกิลถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตนี้

“คงไม่สามารถบอกได้ว่านี่คือตัวเลขความสำเร็จของเรา เพราะการเติบโตแบบพุ่งแรงแบบนี้ มันประกอบด้วยหลายปัจจัย ทั้งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สัญญาณที่ครอบคลุมและรวดเร็วขึ้น กูเกิลถือเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่แบรนด์ดังอย่างกูเกิลตัดสินใจก้าวเข้ามาในบ้านเรา มันช่วยสร้างความตื่นตัว และแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้คนหันมาสนใจในตลาดดิจิตอล ได้มองเห็นถึงโอกาสของธุรกิจโลกออนไลน์ และหันมาเรียนรู้ถึงคุณประโยชน์ของโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น”

แม้ประชากรในเมืองไทยจะไม่ได้มีเยอะติดอันดับโลก รวมทั้งถูกจัดอยู่แค่ประเทศกำลังพัฒนา แต่ในโลกออนไลน์ ประเทศไทยกลับก้าวไปติดระดับท็อป

“คนไทยมีความตื่นตัวทางดิจิตอลสูงมาก สังเกตได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊ก (facebook : FB) หรือสถานที่ยอดนิยมในอินสตาแกรม (Instagram : IG) ก็จะมีประเทศไทยเข้าไปเอี่ยวด้วยตลอด แถมยูทูป (YouTube) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งของกูเกิล ก็มียอดผู้ใช้งานติดอันดับ TOP10 รวมไปถึงบริการอื่นๆ ของกูเกิล อย่าง Google Maps, Google Street View, Google Chorm หรือ Gmail ก็มีคนไทยใช้งานเป็นอันดับต้นๆ เหมือนกัน

จะว่าไปก็น่าแปลกใจเหมือนกัน เพราะเมื่อมองย้อนกลับไป ตอนผมอยู่ที่บริษัททรูฯ แล้วทำการเปิดตัว Smart Phone อย่าง BlackBerry ตอนนั้นคนไทยไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย ต้องทำงานหนักมาก และเมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี ตอนนี้กลายเป็นทุกคนหันมาใช้ เทรนด์ของตลาดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และเปลี่ยนอย่างรวดเร็วมาก มองในแง่ดีก็ถือว่า คนไทยเราปรับตัวรับสิ่งใหม่ได้เร็วมาก แต่นั่นคือต้องรู้จักเลือกใช้งานให้เป็น เพราะโลกของอินเทอร์เน็ต มันเหมือนย่อโลกให้เราทั้งใบ และมีแหล่งข้อมูลให้เราเข้าถึงได้อย่างง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน การต่อยอดธุรกิจ อยากจะเรียนรู้อะไรได้ ถือเป็นเครื่องมือที่มีพลังมาก”

สังคมแห่งการเรียนรู้

ภารกิจหลักที่คุณอริยะนำทัพทีมกูเกิล ประเทศไทยตั้งธงมุ่งหน้าทำให้สำเร็จ คือ การเปิดให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
“การทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งข้อมูลให้มากที่สุด ด้วยความรวดเร็วและสะดวกสบาย นั่นคือจุดมุ่งหมายหลักของเรา โดยในส่วนแรกถือได้ว่าสำเร็จอย่างน่าพอใจ คือเมื่อดูอัตราผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตนับเป็น 2 ใน 3 ของประชากร แต่ก็ยังมีงานยากที่รออยู่ นั่นคือไม่เพียงแต่การเข้าถึง แต่ต้องมีการเผยแพร่เนื้อหาที่มีประโยชน์ด้วย

ทุกวันนี้คนเข้าใช้งาน คือ เข้ามาหาข้อมูล แต่สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในภาษาไทยยังมีน้อยอยู่ โดยส่วนใหญ่เนื้อหาที่มีอยู่จะเป็นเรื่องบันเทิงเป็นส่วนมาก ส่วนในเรื่องการศึกษาถือว่ามีน้อยมาก นั่นคือ ขั้นตอนต่อไปที่เรากำลังพัฒนา

ที่จริงแล้วข้อมูลและเนื้อหาดีๆ คนไทยเรามีเยอะ มีผู้รู้ มีอาจารย์เก่งๆ มากมาย แต่การเผยแพร่ความรู้กลับมีน้อย อย่างนักบริหาร นักธุรกิจเก่งๆ ผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลาย เขาสละเวลาไปบรรยายให้กับสถาบันการศึกษา องค์กรต่างๆ ด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจทั้งนั้น แต่จะมีคนได้ข้อมูล ได้ประโยชน์แค่คนในห้องประชุมเพียงหลักร้อยหรือหลักพันเท่านั้น ถ้าเรานำเนื้อหานั้นมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดสด หรือถ่ายคลิปโหลดลงยูทูป คนที่จะเข้าถึงเนื้อหาตรงนี้ได้มีนับแสนนับล้าน ใครๆ ก็สามารถเข้ามาดูได้ ลองคิดว่าถ้าอาจารย์เก่งๆ ในสถาบันต่างๆ หันมาใช้ช่องทางนี้ จะมีคนได้รับประโยชน์อีกมากแค่ไหน”

โลกออนไลน์และกูเกิล สามารถช่วยเปิดประตูโลกความรู้ได้อย่างไร้พรมแดน เด็กๆ อยู่ห่างไกล ก็สามารถมีโอกาสทางการศึกษาได้ไม่น้อยหน้าคนในเมือง ทุกคนก็มีสิทธิ์รับการศึกษาคุณภาพดีได้ ขอเพียงแค่ใฝ่รู้

รู้จักวิถีแห่งกูเกิล

ด้วยความเป็นบริษัทชั้นนำของโลก ที่ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดด ที่รวบรวมเหล่าหัวกะทิของคนเก่งไว้มากมาย การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ทำให้คุณอริยะได้เรียนรู้ประสบการณ์การทำงานที่มีค่ามากมาย

“ตอนนี้ผมอายุ 42 ปีแล้ว ถือว่าผ่านงานมาหลากหลาย มีประสบการณ์มาไม่น้อย แต่พอได้มาทำงานที่นี่ บอกเลยว่าได้ความรู้เพิ่มเติมเยอะมากในทุกๆ ด้านเลย ไม่แปลกใจเลยว่าใครๆ ก็อยากเข้ามาทำงานที่นี่ อย่างผมเองกว่าจะได้เข้ามาร่วมงาน ต้องผ่านการสัมภาษณ์ถึง 8 ครั้ง ใช้ระยะเวลากว่า 4 เดือน

ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาติดต่อไปกี่คน และไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกผม แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะแนวคิดการทำงานเราเข้ากันได้ เพราะการทำงานของกูเกิลเป็นองค์กรในเชิงราบ เราต้องทำงานกับคนหลากหลายประเภท ต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม และผสานกับหลายแผนก มีทั้งเด็กกว่า ผู้ใหญ่กว่า ตำแหน่งไม่ได้มีสูงต่ำ แต่เป็นการทำงานแบบทีมเวิร์กเป็นหลัก ไม่ใช่แบบเจ้านาย สั่งลูกน้อง ซึ่งผมเองก็ทำงานสไตล์นี้อยู่แล้ว เลยน่าจะตอบโจทย์เขาพอดี”

คุณบี๋เล่าต่อว่า วิถีแห่งกูเกิลจะคัดสรรคนเข้าร่วมงาน ด้วยการพิจารณา 4 หัวใจหลัก ดังนี้ คือ 1.GCA หรือ General Cognitive Ability หรือ ตรรกะในการคิด วิธีการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์ โดยจะโยนปัญหาให้คุณคิดว่าจะแก้ยังไง มีทางออกอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร เราไม่มีคำตอบว่าทำแบบไหนผิดหรือถูก แต่จะดูวิธีคิดเป็นสำคัญมากกว่า ว่าเขามีระบบความคิดอย่างไร

2.ดูความเป็นผู้นำ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าถึงจะต้องมีความเป็นผู้นำ ทุกคนต้องสามารถเป็นผู้นำได้ อย่างเวลาผมสัมภาษณ์คน ผมไม่ได้มองคนเก่งเป็นสำคัญนะ เพราะบางคนทำงานเก่ง แต่เก่งแบบทำตามคำสั่ง คือต้องมีหัวหน้า ต้องมีคนนำ มีระบบระเบียบตายตัว ถึงจะทำได้ดี การรับคนเข้าทำงานเราดูที่ว่าใครเหมาะกับเรามากกว่า เราต้องการคนมีความคิดสร้างสรรค์เป็นของตัวเอง เพราะที่นี่เปิดกว้างรับความคิดเห็น ซึ่งนอกจากมีไอเดียแล้ว ต้องพร้อมรับฟังไอเดียผู้อื่นด้วย ได้ยินแบบนี้คนอาจจะมองว่า ดีจัง... สนุกดี... เปิดกว้างให้อิสระ แต่ในทางกลับกันคือถ้าคุณไม่ใช่อย่างนี้จริงๆ จะเครียดมาก
เวลาผมคุยกับคนที่มาสมัครจะบอกเสมอว่า ตอนนี้คุณอาจจะหลอกผมได้ว่าเป็นคนดีคนเก่งอย่างไร มีวิธีพูดให้สวยหรูดูดี แต่สุดท้ายแล้วเนื้องานมันจะเป็นสิ่งบอกเองแหละ ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน จะเห็นของจริงกันตอนนี้ แล้วถ้าใครไม่ใช่ของแท้ นั่นกลายเป็นว่าคุณจะทนอยู่กับสภาพแวดล้อมไม่ไหวเอง แต่ถ้าคนที่เป็นของแท้จะรู้สึกท้าทายมาก และทำงานอย่างสนุก

3. ความเป็นกูเกิล หรือ Googleness วัฒนธรรมความเป็นกูเกิลนี่ชัดเจนมาก อย่างที่ผมอธิบายว่าที่นี่เป็นองค์กรแนวราบ การทำงานไม่ใช่การสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำตาม แต่มันคือการคุยกับคนในฐานะระดับเดียวกัน ดังนั้น มันคือการแลกเปลี่ยนความคิด เราสั่งให้แต่ละคนเห็นด้วยไม่ได้ แต่เราต้องโน้มน้าวใจให้เขาคิดเห็นคล้อยตามได้ มันคือการถกเพื่อหาข้อสรุปที่ดีที่สุด ไม่ใช่การถกเถียงกันเพื่อเอาชนะ เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ทุกคนก็มุ่งช่วยกันทำงานเพื่อให้งานมันสำเร็จลุล่วงด้วยดีที่สุด


4. ประสบการณ์ทำงานโดยตรง หรือความรู้ ความเชี่ยวชาญในสายงานที่รับผิดชอบ


จากสาวทำงานสู่แม่บ้านเต็มตัว

หลังจากพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ทางฝั่งคุณพ่อของฝาแฝดกันมาแล้ว ถึงคราวของ “คุณแจ๋ว” หรือ “อัจฉรา จิวระโมไนย์กุล” ก่อนจะมารับหน้าที่คุณแม่ของฝาแฝดทั้งสองแบบเต็มเวลาแบบนี้ เธอเป็นสาวออฟฟิศคนเก่งที่รักการทำงานยิ่งกว่าสิ่งใด

“แจ๋วเรียนจบทั้งปริญญาตรี และปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้านบัญชี แล้วก็ต่อด้านการตลาด โดยหลังจากจบมาช่วงแรกก็ทำงานที่การบินไทย แล้วค่อยย้ายมาทำด้านประชาสัมพันธ์ให้กับแบรนด์บลูการี (Bvlgari) ก่อนที่จะย้ายมาทำงานกับสยามพารากอน โดยดูแลในส่วนของ CRM จนเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วก็ลาออกมา เพราะเตรียมตัวที่จะมีลูก”

ทั้งคู่แต่งงานกันมานานเกือบ 14 ปี เพิ่งจะได้ทายาทเมื่อปีกว่าๆ นี่เอง นั่นเป็นเพราะคุณแจ๋วเล่าให้ฟังว่า “ตั้งแต่แต่งงานมาก็มีการพูดคุยเรื่องลูกกันตลอด คือมีทั้งช่วงอยากมีลูก และช่วงที่ไม่อยากมีลูก ซึ่งตอนที่อยากมีลูกเขาก็ไม่มา เราปล่อยตามธรรมชาติ จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่คุยกันจริงจังว่าอยากมีแล้ว ก็ลงมือเดินหน้าเต็มที่ คือลาออกมาเตรียมตัวเลย เพราะเราอายุไม่น้อยแล้ว ต้องดูแลมากกว่าปกติ ลดทุกอย่างที่จะเป็นอุปสรรค เช่น ความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ควบคุมเรื่องอาหารการกิน บริหารร่างกาย เกือบครบทุกอย่างเลย แล้วก็ไปปรึกษาคุณหมออย่างใกล้ชิดตลอด”

สำหรับการมีลูกในวัยกว่า 40 ปี หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับการมีลูกในวัยนี้และมองว่าเป็นความเสี่ยงสูง

“เราก็เป็นห่วงเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เพราะเราได้คุณหมอเก่งที่เขาเชี่ยวชาญด้านนี้ และเราเชื่อมั่นในตัวเขาเต็มที่ เขาดูแลเราอย่างดี ให้คำแนะนำทุกขั้นตอน เราก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งคุณหมอเองก็ให้ความมั่นใจ พร้อมอธิบายว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีการแพทย์มันก้าวไปไกลแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อน คนเราดูแลสุขภาพได้ดีกว่าเดิม มีวิธีช่วยเยอะแยะกว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ซึ่งมันก็เป็นดังที่คุณหมอกล่าวทุกอย่าง”

ที่สำคัญการมีลูกในวัยนี้ เป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่มองว่าเหมาะสมแล้ว “ผมเพิ่งคุยกับแจ๋วเมื่อวานนี้เองว่า การที่เรามีลูกช้าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะมันคือความพร้อมทุกอย่าง ทั้งในเรื่องการใช้ชีวิตคู่ที่ใช้มาอย่างเต็มที่แล้ว ได้ไปเที่ยว ทำกิจกรรมทุกอย่างที่อยากทำ แต่ถ้าตอนเด็กกว่านี้แล้วมีเขา ถ้าเพื่อนๆ นัดปาร์ตี้ ก็อาจจะมีอารมณ์อยากไปสังสรรค์ กลับดึก เราก็ไม่สามารถทำได้ ต้องกลับมาดูลูก แต่นี่คือเราเที่ยวมาจนพอแล้ว ไลฟ์สไตล์เรานิ่ง ไม่ได้ต้องการอะไรเหล่านั้นแล้ว เราสามารถให้เวลากับลูกได้เต็มที่โดยไม่รู้สึกเสียดายเวลาอะไรเลย”

ด้านคุณแจ๋วเล่าเสริมว่า “ที่สำคัญเราอยู่ด้วยกันมานานมาก เข้าใจกันดีมาก ใช้ชีวิตคู่มาจนมั่นคง เรียกได้ว่ารู้จักตัวตนของกันแบบไม่ต้องพูด แค่มองเราก็รู้แล้วว่า เขาคิดอย่างไร ต้องการอะไร อารมณ์ไหน และเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ พร้อมที่จะเป็นพ่อคนแม่คน ไม่ใช่การตัดสินใจของเด็กที่อาจจะคิดอะไรไม่ถี่ถ้วน”

ของขวัญจากเบื้องบนที่มาเป็นคู่

แม้การมีลูกในเวลานี้จะมีข้อดีหลายประการ แต่กว่าจะได้เด็กน้อยทั้ง 2 คนมาอยู่ในอ้อมกอดก็เป็นเรื่องลำบากไม่ใช่น้อย
“กว่าจะมีเขานี่ทำอะไรมาเยอะมาก ลองมาหลายอย่าง ผิดหวังมาหลายรอบ ฉีดเชื้อปกติก็แล้ว ลองฝังตัวอ่อนก็แล้ว คือนอกจากจะเตรียมพร้อมร่างกายมาหลายปี ช่วงที่ลงมือจริงจังนี่คือคุณแจ๋วหาหมอต่อเนื่องปีกว่า อย่างทำ ICSI (อิ๊กซี่) นี่ก็หลุดหลายครั้งนะ จนกระทั่งเอ่ยปากจะทำเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่สำเร็จก็เลิกแล้ว จะกลับไปใช้ชีวิตปกติและออกไปทำงาน ก็เป็นครั้งที่ได้เขามา”

“ตอนที่ทำไม่สำเร็จ ต่างคนต่างเสียใจ เพราะทุกครั้งที่ทำเราก็คาดหวัง พอไม่ได้มันก็รู้สึกเศร้า มีคุยกันด้วยว่าหรือนี่จะไม่ใช่ทางของเรา คือผมสงสารเขามาก เพราะมันคือร่างกายเขา เขาเป็นคนต้องเผชิญกับทุกอย่าง คนเป็นพ่ออย่างผม ได้แต่ให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ทำอะไรไม่ได้เลย ก็ให้เขาตัดสินใจเป็นหลัก ทำไหวไหม สู้ต่อไหม แล้วในครั้งสุดท้ายก็สมใจปรารถนา” คุณบี๋เล่าอย่างภูมิใจ

นอกจากจะท้องแล้ว ที่สำคัญเขายังมาเป็นแฝดด้วย “ตอนไปตรวจครรภ์ครั้งแรก คุณหมอเขาตรวจครรภ์แล้วฟังเสียงหัวใจลูกแล้วได้ยินสองเสียง ก็ประหลาดใจมาก เพราะเป็นเคสที่หาได้ยาก เนื่องจากเราทำ ICSI ทำติดมาไข่ใบเดียว แต่เขามาแยกตัวตามธรรมชาติ กลายเป็นแฝดแท้

พอเป็นแฝดการระมัดระวังยิ่งต้องมากขึ้น เพราะปกติมีลูกตอนอายุมากก็เสี่ยงอยู่แล้ว แถมมีแฝดก็เสี่ยงกว่าปกติ นี่ยิ่งมาบวกกันเลยยิ่งเสี่ยงไปใหญ่ แต่เราก็ดูแลตัวเองเต็มที่ แต่คุณแจ๋วแพ้ท้องหนักมาก ทั้งปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน เหม็นน้ำ เหม็นแอร์ เหม็นสามี หงุดหงิด อยากกินของแปลกๆ ทุกอย่างเป็นหมด”

พอเข้าเดือน 7 อาการแพ้ต่างๆ หายไป คุณแม่ก็แอบดีใจว่า คงจะหายแพ้แล้ว จะได้ท้องแบบสบายหน่อย เข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งใจว่าจะเตรียมดูของให้ลูก โดยหารู้ไม่ว่าเธอกำลังจะเจอกับเซอร์ไพรส์ใหญ่

“ตกใจมาก เพราะเขาเพิ่ง 7 เดือน เลยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย ไม่มีเก็บกระเป๋าเตรียมคลอดใดๆ ทั้งสิ้น ตรงไปโรงพยาบาล แล้วก็คลอดคืนนั้นเลย โชคดีที่คลอดได้อย่างปลอดภัยทั้งแม่และลูกทั้งสอง ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น แต่เขาออกมาตัวเล็กมากคือ น้ำหนัก 1.8 กับ 1.9 กิโลกรัม แต่สมบูรณ์แข็งแรงทุกประการ”

แฝดแท้... ความเหมือนที่แยกไม่ออก

ฝาแฝดสุดที่รักของคุณพ่อบี๋และคุณแม่แจ๋ว เป็นแฝดแท้ที่เหมือนกันทุกประการแบบแยกแทบไม่ออก โดยคนโตให้ชื่อว่า เฮกก้า (Heka) และคนน้องชื่อ โนว่า (Nova)

“ผมเป็นคนตั้งชื่อ โดยเปรียบเขาเหมือนว่าดวงดาวส่งมาให้ เฮกก้า คือชื่อดาว และเป็นภาษาอียิปต์แปลว่า พระเจ้า ส่วนโนว่า คืออาการของดาวที่จะสว่างเป็นพิเศษ ซึ่งเขาสองคนเหมือนกันมาก อย่างตอนออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านช่วงแรกๆ นี่คือไม่กล้าเอาแท็กข้อมือออกเลยนะ เพราะกลัวจะสับกัน จนทุกวันนี้ปีกว่าแล้ว ก็ยังมีสับสนบ้างว่าคนไหนเป็นคนไหน
เพื่อนบางคนก็งงว่า เป็นพ่อเป็นแม่ ลูกขวบกว่าแล้วทำไมยังแยกแยะไม่ได้อีก ต้องลองมาเจอตัวจริงแล้วจะอึ้งทุกคน เพราะเขาเหมือนกันจนแยกไม่ออกจริงๆ โตก็เท่าๆ กันอีก คือน้ำหนักห่างกันไม่เคยเกิน 10 กรัม ส่วนสูงก็ไม่เกิน 1 เซนติเมตร โชคดีที่คนหนึ่งมีไฝใต้เท้าซ้ายเป็นสิ่งเดียวที่ใช้แยกได้ ตอนที่เจอนี่คือดีใจกันมากเลยนะ แบบว่ามีจุดให้เราได้แยกได้อย่างมั่นใจแล้ว”

“ที่ตลกไปกว่านั้น คือ ขนาดตอนเขาป่วยเข้าโรงพยาบาล แล้วคอแดง มีตุ่มขึ้นในคอ คุณหมอส่องเข้าไปในคอ ตุ่มในคอ 3 ตุ่มยังขึ้นที่เดียวกันเลยค่ะ (หัวเราะ) และนอกจากสภาพภายนอกที่เหมือนกันแล้ว อุปนิสัยก็คล้ายมาก คือตอนแรกก็คิดว่าเขาจะต่างนะ เพราะเห็นคนหนึ่งดูเงียบๆ อีกคนดูซนกว่า ก็นึกว่าจะช่วยให้แยกได้แต่พอสังเกตดีๆ เขาก็กลับกัน คือคนที่นิ่งก็กลับมาซน คนซนก็ดูนิ่งขึ้น เลยรู้ว่าเขาเหมือนกันทั้งคู่ แล้วแต่ว่าช่วงไหนจะแสดงออกอย่างไรมากกว่า”

สำหรับผมคิดว่าเขาเกิดมาเป็นแฝด เกิดมาคู่กัน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ต้น จะไปแยกเขาทำไม เขามีบุญที่เขามีอีกคนมาเป็นเพื่อนแบบนี้ ต้องขอบคุณอะไรก็ตามที่ส่งเขามาเป็นแฝดกัน เพราะพอเราเห็นเขาเล่นกัน เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนที่มีลูก ก็อยากจะมีน้องอีกคนให้เป็นเพื่อนเล่นกัน ยิ่งในเคสเราคือถ้าเขาไม่มาเป็นแฝด ก็น่าจะเป็นลูกคนเดียวแน่ๆ เพราะเราคงจะไม่ได้ทำอีกครั้งแน่ แต่พอมาแบบนี้ก็ไม่ต้องเลย ท้องเดียวมาเป็นคู่ให้เป็นเพื่อนกันเลย”

มองอนาคตด้านการศึกษา

แม้ตอนนี้เฮกก้าและโนว่าจะวัยเพียงขวบกว่า แต่คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มมองถึงอนาคตของลูกแล้ว แถมยังแอบกังวลไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย

“สำหรับอนาคตของลูกผมห่วงเรื่องการศึกษา เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าการศึกษาบ้านเรามันเป็นปัญหาใหญ่ อย่างหลักสูตรการเรียนการสอนทุกวันนี้ มันแทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยผมเลย ผ่านมา 30-40 ปี ก็ยังเรียนเหมือนเดิมซึ่งผมมองว่ามันไม่ถูก โลกก้าวไปขนาดไหนแล้ว ความรู้ใหม่ๆ มากมาย อย่างผมได้เรียนรู้อะไรมากมายมาจนวันนี้ 42 ปีแล้ว ลูกควรได้รู้มากกว่าเราในวัยเดียวกันสิ ดังนั้น ผมจึงอยากให้เขาได้เรียนอะไรที่แตกต่าง แต่นั่นคือเป็นเรื่องที่ค่อยๆ คิด ค่อยๆ มองหา

ผมไม่เห็นด้วยที่ทุกคนต้องวิ่งหาโรงเรียนอนุบาล ต้องจองคิวกันข้ามปี กดดันว่าลูกเพิ่งคลอดก็ต้องเริ่มหาได้แล้วนะ ผมรู้สึกว่ามันต้องขนาดนี้เลยเหรอ ต้องแก่งแย่งแข่งขันกันตั้งแต่ตัวเท่านี้เหรอ ซึ่งในความคิดผม คือไม่ว่าคุณจะเรียนอยู่ที่ไหน ในไทยหรือต่างประเทศ โรงเรียนอนุบาลมันไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของลูก ไม่ใช่เครื่องชี้วัดว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มันยังเร็วไป อย่าเพิ่งไปซีเรียสอะไรขนาดนั้น”

ผมขอแค่ในวัยนี้เขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีๆ อยู่ในที่ที่มีความสุข ไม่ต้องเป็นเด็กเก่งเด็กอัจฉริยะ ทำนั่นนี่ได้ตั้งแต่ตัวเท่านั้น อายุเท่านี้ ขอแค่เขาเป็นเด็กอารมณ์ดี มีความสุข และให้เขาค่อยๆ โตไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องไปกดดันอะไร”

“แจ๋วกับบี๋คิดตรงกันค่ะ อย่างเวลาแจ๋วเลือกพี่เลี้ยง แจ๋วไม่ได้มองนะว่า คนนี้จบอะไรมา ครุศาสตร์ด้านเด็กประถมวัย หรือมีความรู้เรื่องเด็กขนาดไหน แต่แจ๋วมองหาคนที่ดี รักเด็ก รักลูกเรา ดูที่นิสัย ทัศนคติ มากกว่า และมั่นใจว่าลูกเราอยู่กับเขาแล้วจะมีความสุขที่สุด”

ทุกวันนี้ผมและแจ๋ว พูดกับเฮกก้าและโนว่า ถึง 3 ภาษา ทั้งไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส “เพราะจากผลวิจัย เด็กๆ เขารับได้ถึง 4 ภาษานะ ผมเลยพยายามพูดกับเขาตลอดซึ่งเขาก็ฟังรู้เรื่องนะ ทั้ง 3 ภาษาเลย เรียกชื่อ บอกให้ยกมือ ให้ทำโน่นทำนี่ เขาก็เข้าใจนะ ไม่สับสนกันด้วย ส่วนภาษาที่ 4 อยากให้เขาเรียนภาษาจีน ซึ่งคงรอให้โตก่อน”

ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้บริหารกูเกิล แต่ผมไม่ให้ลูกๆ แตะไอแพด หรือสัมผัสกับโลกออนไลน์เลยนะครับ เพราะบอกว่ายังไม่ถึงวัย “ผมอยากให้เขาค่อยๆ เติบโต และเรียนรู้ที่จะใช้งานอย่างมีประโยชน์ ไม่อยากให้เขาเล่นเกม หรือเข้าไปดูอะไรไร้สาระ อยากให้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เขาได้ศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ หาคำตอบในสิ่งที่เราให้เขาไม่ได้ ผมบอกเลยว่า อยากให้ลูกผมเก่งกว่าผม รู้อะไรเยอะกว่าผม ไม่ได้อยากให้ต้องมองว่าเราเป็นไอดอล เป็นฮีโร่ ที่รู้ทุกอย่าง ตอบได้ทุกอย่าง ผมสบายใจและดีใจนะ ถ้าผมจะไม่รู้ในสิ่งที่เขาถาม เพราะเราจะได้เรียนรู้ด้วยกัน”

นั่นคือความตั้งใจของคุณพ่อและคุณแม่คู่นี้ที่ต้องการเห็นลูกแฝดทั้งสองเติบโตขึ้นมาอย่างงดงามและมีคุณภาพที่สุด :: Text by FLASH

นางแบบ & นายแบบ :: อริยะ พนมยงค์, อัจฉรา จิวระโมไนย์กุล, น้องกฤษกร และน้องภครพล พนมยงค์
แต่งหน้า :: ณัฐวีณา เมธีธารา จากสถาบัน International Makeup Fashion Academy (IMFA) โทรศัพท์ 08-7755-8804
สถานที่ :: Ouattro Design Flagship Store ตรงข้ามโรงพยาบาลคามิลเลียน ซอยทองหล่อ ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ โทรศัพท์ 0-2712-4640 เว็บไซต์ www.quattro-design.com
กำลังโหลดความคิดเห็น