หลังให้กำเนิด “น้องภูผา” และหันไปทำหน้าที่แม่เต็มตัวแล้ว ชื่อของ เมษา-วรรณ์วิไล เตชะสมบูรณ์ เจ้าแม่แบรนด์เนมคนดัง ก็แทบจะเลือนรางหายไปจากวงสังคม โอกาสวันแม่ปีนี้ เมษากลับมาพร้อมกับเรื่องราวความน่ารักของน้องภูผา และทายาทคนใหม่ น้องภูพิง ที่เพิ่งลืมตาด้วยโลกได้เพียงเดือนเศษ รวมถึงเทคนิคการเลี้ยงลูกน้อยในแบบฉบัของเธอให้เราฟังด้วยความเป็นกันเอง
ภาพหญิงสาวที่กำลังให้นมลูกด้วยความทะนุถนอมตรงหน้า ทำให้เราแทบไม่อยากเชื่อว่า นี่คือเด็กสาวที่เคยแต่งตัวฟู่ฟ่าออกงานสังคมถี่ยิบในอดีต... เมษา-วรรณ์วิไล ศรประสิทธิ์ (เตชะสมบูรณ์) ในวัย 26 ปี ดูเติบโตเป็นผู้ใหม่มากขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นทักทายเราที่ไปถึง แล้วค่อยๆ ส่งเด็กน้อยในอ้อมอกที่หลับตาพริ้มอย่างอิ่มสุขให้พี่เลี้ยงด้วยกิริยานุ่มนวล
เมษา-วรรณ์วิไล เริ่มต้นอัปเดทชีวิตว่าตอนนี้สวมบทบาทเป็น Full time Mommy โดยเลือกใช้เวลาอยู่กับลูกๆให้มากที่สุด เพราะไม่อยากเสียเวลาแม้เพียง 1 วินาทีเดียวกับเรื่องอื่นๆ “ที่หายๆไป เป็นความตั้งใจที่จะเก็บตัวค่ะ ปฎิเสธไปทุกงาน ตั้งแต่ภูผามีน้องสาว "น้องภูพิง" ด้วยคะ อยากมีเวลาให้ลูกๆทั้งสองเต็มที่ เพราะถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับมาได้แล้ว งานจะออกหรือจะทำเมื่อไรก็ได้ แต่กับลูกทั้งสองถ้าเราพลาดช่วงเวลานี้ไปคงย้อนกลับมาไม่ได้แล้วล่ะคะ” เมษาพูดคุยกับเราพร้อมๆกับมองเด็กชายภูผา เด็กตัวขาวน่าตาน่ารักที่วิ่งเล่นไป-มาแบบไม่วางตา
“ภูผา” ในวัยขวบนิดๆ ซุกซนตามประสาเด็กผู้ชายชอบมีอะไรมา “เซอร์ไพรซ์” เมษาและสิงขร ผู้เป็นพ่อ-แม่ ตลอดเวลา “ภูผา” จึงเป็นเหมือนหนังสือเล่มใหม่ ที่เมษาบอกว่าอ่านเท่าไรก็ไม่เบื่อ ตั้งแต่เริ่มที่จะคอแข็ง พลิกคว่ำ ทานข้าว เริ่มคลาน หัดเดิน หัดพูด “ภูผาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย อารมณ์ดี ไม่งอแง ยิ่งถ้าเรารู้จักเค้า เข้าใจเค้า รู้ว่าเค้าชอบอะไรไม่ชอบอะไรเขาจะติดแจเลย ช่วงใกล้คลอดน้องภูพิงค์ เขารู้ว่าแม่จะมีน้องก็ไม่ค่อยกวนเม ไปติดอยู่กับคุณปู่และคุณพ่อเค้าค่ะ”
เมษายังเล่าย้อนถึงวันที่ทราบข่าวดีว่ากำลังจะมีทายาทคนที่ 2 ว่า ดีใจไม่แพ้ลูกคนแรก ตอนนั้นยังไม่ทราบเพศ ลุ้นมากรอจนกระทั่งเดือนที่ 7 จนทราบว่าเป็นลูกสาว อันดับแรกเลยคือรีบจัดแจงเรื่องเสื้อผ้ารองเท้าให้เต็มที่เลย เพราะอยากมีลูกสาวมานานแล้ว แต่การที่มีลูกวัยใกล้กันแบบนี้ สิ่งที่คนเป็นแม่อย่างเมษากังวลใจมากที่สุด ก็คือ กลัวว่าจะไม่สามารถเลี้ยงลูกทั้งสองได้อย่างใกล้ชิดและอบอุ่น อีกทั้งยังกลัวว่าภูผาจะน้อยใจคิดว่าป๊าๆกับม๊าๆจะรักเค้าน้อยลง แต่ทั้งหมดกลับตรงกันข้าม เพราะทันทีที่ภูผารู้ว่าตัวเองจะมีน้อง เขาก็ดูมีความสุขมากกว่าเก่า
“เค้าดีใจที่ได้น้อง ตอนน้องอยู่ในท้องก็จะมาลูบท้อง มาฟังเสียงน้อง พอคลอดออกมาแล้วก็มาดู มาขออุ้ม เรียกน้อง แบ่งของเล่นให้ ทั้งหมดตรงนี้ต้องขอบใจพ่อเค้า ที่คอยปลูกฝังภูผาให้เป็นพี่ชายเต็มตัว พร้อมจะดูแลน้อง สอนให้เค้ารักน้อง คอยบอกเค้าว่านี่น้องนะครับ ทุกวันนี้เลยสบายใจหมดห่วงเรื่องที่ภูผาจะน้อยใจที่ม๊าๆมีน้องเลยค่ะ”
สมาชิกใหม่ในครอบครัว “น้องภูพิง” แม้จะทำให้เมษาต้องเหนื่อยมากขึ้น เธอก็พร้อมจะเหนื่อย โดยทุกวันนี้ทั้งเมษาและสิงขร จะช่วยกันเลี้ยงลูกทั้งสองอย่างเต็มที่ ในแง่การเลี้ยงดู เมษายึดหลักตามความเชื่อโบราณที่ผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายบอกต่อกันมา เช่น การให้ลูกได้ดื่มนมแม่ การวาง “หัวหอม” ที่ทุบแล้วไว้ที่หัวนอนลูก เพื่อป้องกันไข้หวัด, ทุกครั้งที่ลูกร้องให้สังเกตว่าท้องแข็งไหม ถ้าแข็งแสดงว่าลูกปวดท้อง ให้ทามหาหิงค์ ถ้าร้องมากคอแดงแสดงว่าลูกเจ็บคอให้หายามากวาดคอ
ส่วนในเรื่องวิถีการใช้ชีวิต เธอบอกว่าจะเลือกเลี้ยงแบบเปิดกว้าง ลูกชอบอะไรก็ปล่อยให้ได้ทำ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้อง อะไรผิดก็จะไม่ดุ แต่จะค่อยๆพูด ย้ำหลายๆครั้งว่าสิ่งนี้ไม่ดี แบบนี้ไม่ดีเพราะอะไร “อนาคตเมคงทำตามแบบที่ป๊าๆม๊าๆเคยเลี้ยงเมมา คือชอบอะไรอยากเรียนอะไรก็จะสนับสนุนเต็มที่ เพราะเมเชื่อว่าถ้าคนเราทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็จะมีความสุขกับสิ่งนั้นๆค่ะ ตอนนี้ก็ชอบพาไปเที่ยวให้เขาได้เรียนรู้ที่ใหม่ๆ แต่ความที่เล็กมากเวลาพาไปไหนมาไหนอาจจะเหนื่อยหน่อย ยิ่งถ้าไปต่างประเทศยิ่งเหนื่อยค่ะ แต่ส่วนตัวเมกลับคิดว่ามันคุ้มค่าที่จะเปิดประสบการณ์เรียนรู้ให้เค้าค่ะ
นอกเหนือจากเรื่องการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนแล้ว แน่นอนว่าแฟชั่นนิสต์ตัวแม่อย่างเมษาต้องสรรหาข้าวของเครื่องใช้ชั้นดีสำหรับลูกทั้ง 2 ของเธอ โดยเธอยอมรับว่า มีความสุขมากเวลาดูเสื้อผ้าเด็ก ยิ่งพวกแบรนไฮเอนด์ แต่ก็ไม่ได้จะให้ลูกใส่แต่แบรนด์ตลอด ให้ใส่ก็เฉพาะเวลาออกไปข้างนอก เมื่ออยู่บ้านก็จะแต่งตัวชิวๆ เหมือนกันทั้งแม่และลูก โดย Dolce and Gabbana เป็นแบรนด์ที่ชอบมากในตอนนี้ เนื่องจากทำเสื้อผ้าชุดแม่-ลูกมาใส่คู่กัน
“เห็นปุ๊ปซื้อปั๊ป ใส่แล้วมีความสุขเพราะมีคนใส่คู่ด้วยแล้ว สำหรับเรื่องแต่งตัวจริงๆแล้ว ภูผาจะตรงข้ามกับเมตลอด เขาเป็นคนขี้รำคาญ ติดแต่งตัวสบายๆเหมือนพ่อ ที่เห็นๆว่าแต่งตัวนี่เมจับแต่งล้วนๆค่ะ จะแต่งตัวแต่ละทีมีคนช่วยสามคนอย่างต่ำค่ะ และต้องมีกองเชียคอยลุ้นอีกว่าจะยอมใส่ไหม ต้องคอยชมค่ะว่าใส่นะครับ หล่อนะครับ และต้องอารมดีด้วยค่ะที่สำคัญถึงจะยอมแต่งตัวแต่โดยดี” เมษาเล่าถึงลูกชายพร้อมรอยยิ้มสดใส
และระหว่างที่พูดถึงพี่ภูผาอย่างออกรสชาติ เสียงร้องของเด็กหญิงภูพิง ก็ดังแทรกขึ้นมาราวกับประท้วงขอมีส่วนร่วมและขอคุณแม่คืน เราจึงจำต้องคืนแม่เมษาให้น้องภูพิงค์เพื่อให้ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันอย่างเต็มที่ และก่อนจากกันเมษาได้ย้ำกับเราอีกว่า วันนี้ แม้จะต้องใช้ชีวิตในแบบราบเรียบ แต่เธอก็มีความสุขมาก ความสุขที่ได้อ่านหนังสือเล่มใหม่ ที่เปิดไปแต่ละหน้าก็เจอแต่เรื่องราวที่ไม่ซ้ำกันนั่นเอง