xs
xsm
sm
md
lg

นิธิวุฒิ โรจน์ประสิทธิ์พร บินได้เพราะไม่ได้หล่ออย่างเดียว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เซเลบออนไลน์จะพาไปรู้จักทายาทบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย “นิธิวุฒิ โรจน์ประสิทธิ์พร” ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงนักบินหนุ่มที่น่าสนใจคนหนึ่งเลยทีเดียว

หากลองถามสาวๆ ว่าหนุ่มอาชีพไหนที่สาวๆ กรี๊ดกร๊าดมากที่สุด เราเชื่อว่าคำตอบมากกว่า 50% คงตอบว่า อาชีพนักบินเป็นแน่ เรามีนักบินหนุ่มอนาคตไกลมาแนะนำให้สาวๆ รู้จัก นั่นคือ “นิธิวุฒิ โรจน์ประสิทธิ์พร” นักบินน้องใหม่ของบริษัท การบินไทย ผู้ไม่เคยละทิ้งความฝันของตนเอง เพราะเขาเชื่อว่าการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักจะทำให้ตัวเองมีความสุขในการทำงานแม้งานนั้นจะยากและมีอุปสรรคแค่ไหนก็ตาม

หนุ่มเฟมเป็นลูกคนกลางและเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านโรจน์ประสิทธิ์พร ซึ่งครอบครัวดำเนินกิจการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีโรงงานผลิตและบรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ที่ประเทศจีน เขาเล่าให้ฟังว่า นอกจากจะผลิตและบรรจุแล้ว ยังรับผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย ซึ่งตอนนี้ทำให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Lotus

นิธิวุฒิเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (ภาคภาษาอังกฤษ) หลังจากนั้นจึงไปเรียนต่อด้านการบินที่โรงเรียนการบินกรุงเทพ อีก 1 ปี เฟมเลือกที่จะทำตามความฝันของตัวเองที่อยากจะเป็นนักบินมาตั้งแต่เด็กๆ โดยทางบ้านก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เหตุผลที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบินนั้นเพราะเป็นคนชอบเดินทางมาตั้งแต่จำความได้

“ตอนผมเด็กๆ เคยไปเรียนที่สิงคโปร์ครับ เพราะฉะนั้นก็เลยได้เดินทางบ่อยๆ จำได้ว่าเวลาอยู่บนเครื่องบินก็จะมีพี่ๆ แอร์โฮสเตสมาคอยดูแล พาไปดูห้องนักบินบ้าง พาเดินดูบนเครื่องบินบ้าง คือดูแลผมเป็นอย่างดีครับด้วยความที่เราเป็นเด็ก มันเหมือนเป็นบรรยากาศคุ้นเคยที่เราต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ผมอยู่ที่สนามบินจะรู้สึกเหมือนที่นั่นเป็นบ้านหลังที่ 2 พอก้าวเข้าไปในสนามบินแล้วจะรู้สึกตื่นเต้น มีความสุข และยิ้มโดยไม่มีเหตุผลครับ” เขาเล่าให้ฟังพร้อมหัวเราะ

เนื่องจากการเรียนที่โรงเรียนการบินแตกต่างจากสายที่เขาเคยเรียนมา มันจึงเหมือนเป็นการเรียนรู้ใหม่ และเป็นสิ่งท้าทายสำหรับเขา หนุ่มนักบินเล่าให้ฟังถึงการเรียนในโรงเรียนการบินให้ฟังว่า “เมื่อเข้ามาเรียนที่โรงเรียนการบินไม่ว่าจะจบอะไรมาก็ตาม จะจบปริญญาโท หรือปริญญาเอกมา ก็ต้องมาเริ่มใหม่หมด ทุกคนต้องเริ่มเรียนภาษากันใหม่ มันจะมีศัพท์ใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน เป็นศัพท์เฉพาะ เหมือนกับเราเริ่มนับ 1 ใหม่พร้อมกัน มันน่าสนใจตรงนี้ครับ

พอเรียนเสร็จ มีทฤษฎีก็มีปฏิบัติ บางทีเราก็ต้องเอามาปรับใช้ ไม่ได้เรียนแค่ทฤษฎีอย่างเดียว มีการทดลองขับเครื่องบินจำลองก่อนประมาณ 1 ปี จากนั้นจึงค่อยบินเครื่องบินจริงแบบไม่มีผู้โดยสาร แล้วค่อยขับแบบมีผู้โดยสาร เป็นการเรียนแบบเป็นขั้นตอนไป ทุกอย่างมันเป็นประสบการณ์ที่ดี ผมว่ามันน่าตื่นเต้นดีและสนุกด้วยครับ”

ว่าที่นักบินในตอนนั้นได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมายจากการเรียนที่โรงเรียน ดังนั้น การขับเครื่องบินจึงเป็นสิ่งที่เขารอคอย และในการขับเครื่องบินแต่ละครั้งจะมีเหตุการณ์น่าประทับใจและตื่นเต้น แต่มีอยู่หนึ่งเหตุการณ์ที่เฟมไม่มีวันลืมซึ่งเขาได้ถ่ายทอดให้ฟัง

“ตอนนั้นผมขับเครื่องบินจากจังหวัดนครราชสีมาไปบุรีรัมย์ ขากลับจากบุรีรัมย์ พายุเข้า เมฆทั้งฟ้าคือมืดมากๆ จนไม่มีแสงสว่างเลย ผมจึงขับเลี่ยงไปหาที่สว่างๆ โชคดีที่มันมีช่องแสงสว่างซึ่งเป็นช่องสุดท้ายพอดี เหตุการณ์มันเหมือนในหนังหรือในการ์ตูนมากเลยครับ ช่องนี้มันเป็นทางออกทางเดียวและผมต้องไปให้ทันก่อนที่แสงจะหมด ผมตัดสินใจเร่งเครื่องเพราะเข้าพายุไม่ได้อยู่แล้ว

จำได้ว่าตอนนั้นเร่งเครื่องเต็มที่แต่มันเหมือนจะถึงก็ไม่ถึงสักที รู้สึกมันไกลมาก ยิ่งเข้าใกล้เมฆมันก็บีบตัวเข้าๆ เหมือนในหนังเป๊ะเลยครับ จังหวะนั้นคิดว่าผมไม่รอดแน่นอน คิดถึงหน้าคุณพ่อคุณแม่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดผมก็ออกมาได้ พอผ่านมาปุ๊บก้อนเมฆก็หุบเข้าหากัน เหมือนประตูปิดพอดี พอเอาเครื่องบินลงจอดได้เท่านั้นแหละ สิ่งแรกที่ทำคือนั่งที่พื้น ดีใจที่เราถึงพื้นซะที คิดถึงพื้นดินมาก ตอนที่อยู่บนฟ้าสิ่งที่นึกคือ นี่คงเป็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตเราแล้ว ผมมองไปรอบๆ แล้วจำความรู้สึกนี้ไว้”

จากประสบการณ์การเรียนที่นี่ ทำให้หนุ่มเฟมนำความรู้และวิธีการแก้ปัญหามาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน สิ่งที่เขาได้เรียนรู้คือ สติ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละทิ้ง ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม “สิ่งที่นักบินทุกคนควรมีคือ สติ ครับ ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์คับขันแล้วไม่มีสติก็จะแย่ ไปทั้งเราและผู้โดยสารที่ฝากชีวิตไว้กับเรา ฉะนั้นการมีสติจะทำให้เราแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ

สมมติว่าขณะบินอยู่ปีกด้านขวาของเครื่องบินเกิดไฟไหม้ วงจรควบคุมจะบอกเลยว่าตรงไหนเสีย พอสัญญาณดังปุ๊บให้ตัดสัญญาณก่อนเลยจะไม่รบกวนสมาธิของเรา จากนั้นจึงดูว่าเครื่องยนต์ตัวไหนเกิดปัญหา เราก็เช็กลิสต์ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งบอกวิธีแก้ปัญหาว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ควรทำอย่างไร ถ้ายังแก้ไม่ได้มันมีหน้าต่อ คือบอกวิธีแก้ปัญหาเป็นสเต็ปแบบละเอียดมาก ซึ่งผมก็เอาสิ่งที่ได้เรียนรู้นี้ไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ด้วย

อย่างเรื่องเวลาถ้าผมมีนัดกับที่บริษัทบ่าย 2 ที่ดอนเมือง บ้านผมอยู่แถวเสาชิงช้า ถ้าออกช่วงเที่ยงรถน่าจะติด ผมก็จะออกจากบ้านก่อน 11.30 น. เพื่อที่จะให้ทันโทลเวย์แล้วไปถึงที่ดอนเมืองก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมง หรือหากเจอรถติดมากๆ เริ่มหงุดหงิดก็ให้คิดแง่บวกทุกคนก็ติดเหมือนกัน” เขากล่าวพร้อมกับยิ้ม

ด้วยความที่เป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดี อินเทรนด์แบบหนุ่มเกาหลี ญี่ปุ่น จึงทำให้เฟมในสมัยวัยรุ่นเป็นที่เตะตาแมวมองชื่อดังในขณะนั้น และทำให้เขามีโอกาสเข้ามาลองทำงานในวงการบันเทิง อย่างการถ่ายแบบลงนิตยสาร หรือถ่ายแบบโฆษณาต่างๆ

“ตอนอายุ 15-16 ปี ผมมีโอกาสเจอพี่โกโก้ครับ คือวันนั้นผมไปเรียนติวเตอร์ที่สยาม ขณะกำลังเดินเข้าลิฟต์ อยู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเอามือเข้าขวางลิฟต์ไว้ แล้วเขาก็ถามขึ้นว่า น้องสนใจทำโมเดลลิ่งรึป่าว ตอนนั้นผมตกใจ (แอบคิดว่า ผมไม่มีเงินนะครับพี่เอาเท่าไรให้หมด) แล้วพี่โก้ก็ขอถ่ายรูปผมไป สักพักเขาก็ติดต่อมาให้ไปแคสต์ ผมก็ลองเข้าไปดู แล้วได้ถ่ายโฆษณาตัวแรกคือ ฟิชโช ซึ่งไปครั้งแรกก็ได้เลยครับ พี่โก้เลยจับเซ็นสัญญา

หลังจากนั้นก็ได้มาเล่นโฆษณาอีก 3 ตัว คือ โฆษณาของ Orange ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็น Truemove ตัวต่อมาเป็นโฆษณาแครกเกอร์ และตัวสุดท้ายคือโฆษณายูโร่ คัสตาร์ดเค้ก ครับ ตอนนั้นรู้สึกสนุกมากครับเวลาอยู่ในกอง แต่ผมก็หยุด ไม่ได้ไปแคสติ้งเลย ช่วงนั้นเด็กมันเยอะครับประกอบกับเราเรียนหนักด้วย อีกอย่างพี่โก้ก็ปั้นเด็กหลายคนด้วยครับ เช่น มาริโอ้ สายป่าน ดิว เข้ามารุ่นๆ เดียวกันกับผมครับ”

เนื่องจากการเดินทางเป็นสิ่งที่หนุ่มคนนี้โปรดปราน เขาจึงมีความสุขทุกครั้งที่ได้เดินทางไปไหนมาไหน และสหรัฐอเมริกาก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่เขาประทับใจมาก และอยากจะไปเยือนทุกครั้งที่มีเวลา “ผมเดินทางไปหลายประเทศครับ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ผมชอบมากที่สุด โดยเฉพาะซานฟรานซิสโก ผมประทับใจผู้คนที่นั่นมากครับ เป็นมิตร ผมไปมาหลายรัฐแต่ชอบรัฐนี้ที่สุด รัฐอื่นดูคนเครียดๆ แต่คนที่นี่ใจดีเฮฮาที่สุดแล้ว

...นอกจากสหรัฐอเมริกาก็ยังมีอีกหลายประเทศที่ผมหลงใหล อย่างเช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ จีน นิวซีแลนด์ ครับ แต่ที่ไปบ่อยสุดเห็นจะเป็นฮ่องกงครับ เพราะเคยมีบ้านอยู่ที่นั่น อากงท่านเคยทำธุรกิจที่ฮ่องกงมาก่อน แต่เพิ่งขายบ้านไปเมื่อปีที่แล้ว เพราะไม่มีใครอยู่”

กิจกรรมที่เขาชอบทำเป็นประจำคือการออกกำลังกาย หนุ่มคนนี้ชอบเล่นกีฬาทุกประเภท เนื่องจากตอนเด็กๆ เป็นคนรูปร่างผอมแห้ง พอโตขึ้นมาเริ่มรู้สึกว่าต้องดูแลตัวเองและอยากให้ตัวเองมีกล้ามเนื้อมากกว่านี้เพื่อรูปร่างที่ดี เขาจึงเริ่มออกกำลังกายและกินอาหารเสริม เขาฝากเคล็ดลับถึงหนุ่มที่รูปร่างผอมแล้วอยากมีรูปร่างที่ดีว่า

"ก่อนอื่นให้เราตั้งเป้าหมายก่อนว่าเราอยากน้ำหนักเท่าไร แล้วก็เซตตารางเวลาของเราว่าว่างวันไหนบ้าง สัก 4 วันต่อสัปดาห์ แล้วก็เล่นตามตารางอย่างมีวินัย เพราะถ้าเล่นสะเปะสะปะมันก็จะไม่ได้ผล ในทุกวันผมจะตื่น 8 โมงเช้า กินโปรตีนเสริมแล้วก็กินข้าวเช้า และไข่ต้มอีก 3 ฟอง ตอนเกือบเที่ยงก็เล่นฟิตเนสชั่วโมงหนึ่ง เสร็จแล้วก็กินโปรตีนเสริมอีกตามด้วยข้างเที่ยง คือผมกินประมาณ 5 มื้อต่อวัน เพราะถ้าคนที่จะสร้างกล้ามต้องกินวันละ 3,000 แคลอรีต่อวัน ซึ่งคนปกติกินวันละ 1,800 แคลอรี โดยทั่วไปแล้วประมาณ 3 เดือนก็จะเห็นผล ก็แล้วแต่สรีระด้วยครับ"

หนุ่มเฟมบอกกับเราอย่างขำๆ ว่า เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายสีเขียว นั่นเป็นเพราะความชื่นชอบสีเขียวเป็นอย่างมาก ชอบตั้งแต่จำความได้ ไม่ว่าเห็นของเล่นหรืออะไรเป็นสีเขียวเขาจะซื้อเก็บสะสมไว้ นอกจากนี้หนุ่มคนนี้ยังมีความเชื่อว่าสีเขียวเป็นสีนำโชคประจำตัวเขาอีกด้วย "ทุกวันนี้เพื่อนๆ เวลาเห็นอะไรที่เป็นสีเขียวจะนึกถึงเฟมก่อนเลย ที่จำความได้คือ ตอน 5 ขวบ กลับไปดูรูปของตัวเองตอนเด็ก ทำไมเกือบทุกรูปต้องมีสีเขียวตลอด รู้สึกอะไรมันก็เขียวหมดเลย ก็เลยคิดว่าสีนี้ละมั้งที่เป็นสีประจำตัวเรา"

"เวลาผมเห็นสีเขียวก็จะนึกถึงธรรมชาติ เห็นแล้วรู้สึกสบายตา อีกอย่างใช้สีนี้แล้วถูกโฉลก สีที่ไม่ถูกโฉลกเลยคือสีชมพู มีอยู่ครั้งหนึ่งใส่สีชมพูแล้วรู้สึกดวงไม่ค่อยดี ใส่แล้วโดนกระชากทองเลย วันนั้นเป็นวันเกิดเพื่อนเป็นธีมชมพู ตั้งแต่ออกจากบ้านโบกแท็กซี่ก็ไม่ไป เลยนั่งตุ๊กตุ๊กไปแทน ตอนนั่งรู้สึกเหมือนทำไมทองมันขยับยังไงไม่รู้ รู้ตัวอีกทีโดนกระชากไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็เลยทิ้งทุกอย่างที่เป็นสีชมพูหมดเลยครับ (พลางหัวเราะ)”

ดังนั้น ของสะสมของเขาส่วนใหญ่จึงเป็นสีเขียว ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา แว่นตา ของเล่นต่างๆ “ที่ผมมีนาฬิกาเยอะ ซื้อเพราะมันเป็นสีเขียว แต่จะมีสีเขียวที่ชอบอยู่ 1 เรือนที่คุณพ่อให้มาซึ่งเป็นเรือนที่ใส่บ่อยสุด ส่วนแว่นกันแดดผมก็มีเยอะเช่นกัน มีเกิน 10 อันครับ เป็นเลนส์สีเขียวหมดครับ จะต่างกันก็แค่รูปทรง คือตอนแรกไม่ได้ตั้งใจสะสมหรอกครับ มีแค่อันเดียว แต่พอเริ่มเป็นนักบินแล้วเจอแดดเยอะก็เลยเริ่มซื้อแว่นครับ" ของสะสมอีกอย่างที่เราแอบเห็นคือ พระ เฟมบอกว่าพอเริ่มเป็นนักบินคุณพ่อให้มาบูชา บวกกับมีญาติๆ ทยอยให้มาก็เริ่มมีมากขึ้น พระองค์ที่เขาพกติดตัวเป็นประจำเป็นพระที่คุณพ่อของเขาเก็บมานาน และศักดิ์สิทธิ์มาก

นักบินหนุ่มหล่อหน้าใสคนนี้ เป็นคนร่าเริง เป็นคนมีบุคลิกที่ตรงไปตรงมา ดังนั้นวิธีการจีบสาวของเขาจึงจะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เขาเล่าประสบการณ์การจีบสาวครั้งแรกให้ฟังว่า “ผมเป็นคนพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม สมมติถ้าจีบผู้หญิงคนหนึ่งก็จะบอกว่าชอบนะ จะบอกเลยว่านี่จะจีบนะ แต่บางครั้งวิธีนี้ก็ไม่ได้ผลนะครับ (หัวเราะ) ผมว่าเราเข้าไปหากันคนละครึ่งทางจะดีกว่า

สมัยเด็กผมเคยชอบอยู่คนหนึ่ง ชอบด้วยความที่ผู้หญิงคนนี้เป็นคนนิสัยดี วางตัวดีในสังคม รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนดีนะ ผมก็พยายามเข้าไปคุย แต่เธอวางตัวดีมากเลยไง ดีจนรู้ว่าเรากำลังเข้าหาเพื่อจีบ เธอก็เริ่มตีตัวออกห่าง แล้วก็หายไปเลยครับ 2-3 เดือน เราก็ตกใจเราทำอะไรผิดหรือเปล่า อะไรหายไปขนาดนี้เลยเหรอ แต่หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็กลับมาคุยเป็นเพื่อนปกติ สงสัยคงกลับไปตั้งสติก่อนมั้งครับ (หัวเราะ)” เขาเล่าถึงความทรงจำอย่างมีความสุข

เฟมฝากข้อคิดไว้ว่า ทุกคนมีความฝัน แต่ฝันของแต่ละคนจะเป็นจริงได้นั้น ต้องไม่ลืมที่จะมีความพยายามและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและปัญหา และถ้าเราท้อแล้วความฝันก็จะเป็นแค่ความฝัน :: Text by FLASH




กำลังโหลดความคิดเห็น