ใครจะไปคิดว่า หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล พ่อค้าเพชรรายใหญ่แห่งบิวตี้เจมส์ ที่คุ้นตาอยู่ในแวดวงไฮโซจะมีอีกภาพลักษณ์หนึ่งคือนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนหรือเอ็นจีโอ. เขาต่อสู้อย่างเงียบนานถึง 8 ปี เพื่อผลักดันกฏหมายการคุ้มครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อป้องกันเด็กที่บริสุทธิ์ และวันนี้เขาชนะแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ชายคนนี้มีส่วนผลักดันสิ่งดีๆให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย
วันฝนแรกแห่งฤดู....หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล ได้ถอดเครื่องแบบนักธุรกิจค้าเพชรแล้วเริ่มต้นสนทนากับเราด้วยท่วงท่าสบายๆ ในฐานะกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็ก ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายสำคัญฉบับนี้ว่า นับย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ แห่งสวีเดนจะเสด็จมาเยือนไทยในปี 2550 เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ ฟิลลิป สเวนเซ่น ผู้ถวายงานพระมหากษัตริย์กุสตาฟ ซึ่งเมื่อคุ้นเคยกันดีแล้ว ก็มีการพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ซึ่งทางสวีเดนได้ยกย่องชื่นชมพระอัจฉริยภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงศิลปวัฒนธรรมของไทย ทั้งยังถามถึงกฎหมายการคุ้มครองการล่วงละเมิดเด็กของไทย ซึ่งกฎหมายอาญาในต่างประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา กลุ่มสหภาพยุโรป ฯลฯ ได้มีการแยกประเภทสื่อลามกอนาจารเด็กออกจากสื่อลามกอนาจารผู้ใหญ่ และมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่า
“ตอนนั้นกฎหมายไทยไม่ได้มีการกำหนดแยกประเภทสื่อลามกเด็กออกจากผู้ใหญ่ ซึ่งท่านฟิลลิปก็ชี้ให้เห็นว่าการล่วงละเมิดในเด็ก เป็นปัญหาสังคมที่น่าเป็นห่วง ผมในฐานะพ่อที่มีลูกที่แม้จะเป็นผู้ชาย แต่ผมให้ความสำคัญกับเด็กเพราะเด็กคืออนาคตของชาติ คำพูดของท่านฟิลลิปเสมือนชิฟที่ฝังในสมองผม หลังจากนั้นก็เรื่องนี้ตลอด พอมีโอกาสคุยกับดร.จินตนันท์ ชญาตร์ (ศุภมิตร)ที่รู้เรื่องกฎหมาย และเพื่อนที่คิดคล้ายกัน ก็ตัดสินใจตั้งมูลนิธิพิทักษ์และคุ้มครองเด็กขึ้นมา เพื่อร่างกฎหมายเสนอรัฐบาล”
แม้จะเรียนจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา และอัญมณีศาสตร์จากสถาบันจีไอเอ ไม่มีความรู้ทางด้านกฎหมาย แต่ผู้ชายที่ชื่อ “หนึ่ง-สุริยน” ก็ไม่สนใจ เมื่อปักธงอยากให้มีกฏหมายปกป้องเด็กๆแล้ว เขากับเพื่อนๆร่วมอุดมการณ์ก็เริ่มต้นปฎิบัติการผลักดันผลักดันแก้ไขพระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยเรื่องสื่อลามกอนาจารในเด็ก รวมทั้งการคุ้มครองเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศทันที เพื่อนำเสนอสู่การพิจารณาของรัฐบาลภายใต้การนำของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในยุคนั้น
แต่การยกร่างกฎหมายแต่ละฉบับไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงต้องต่อสู้ที่ยาวนานถึง 8 ปีกว่า ผ่านการพิจารณาจากรัฐบาล 4 ชุด โดยอุปสรรคสำคัญหรือก้างชิ้นโตที่ขวางการทำงานของพวกเขา ไม่ใช่ความยากในการยกร่างกฎหมาย หากแต่เป็นปัญหาในที่ประชุมของแต่ละรัฐบาล ที่มีบางคนไม่ให้ความสำคัญ มักพูดเปลี่ยนประเด็นนำปัญหาเรื่องปากท้อง มาเป็นเรื่องด่วนให้ต้องเร่งพิจารณา บางคนพยายามจงใจพูดให้ร่างกฎหมายคุ้มครองเด็กฯ หมดความศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นเพียงเศษกระดาษที่ถูกบรรจุเข้ามาในวาระการประชุมนั่นเอง
“หลายครั้งที่มีการตั้งคำถามชี้ชวนให้ร่างตกไปบ่อยๆ ยกตัวอย่างคำถามภาพเด็กอาบน้ำในกาละมังครอบครองไม่ได้หรือ??? เราต้องชี้แจงว่าจุดมุ่งหมายของเราแค่ต้องการทำลายแหล่งผลิต ตำรวจไม่มีสิทธิค้น แต่ถ้าจะจับเขาดูที่เจตนา เราไม่ได้ริดรอนสิทธิ์ใคร ไม่ได้ห้ามไม่ให้มีโสเภณี เราแค่อยากป้องกันไม่ให้มีโสเภณีเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีเท่านั้นเอง ถ้า 18 ปี 1 วันไปแล้วเราไม่ยุ่ง ถ้าจะมาบอกว่าเด็กเต็มใจนั่นไม่ใช่เหตุผลครับ คำถามเหล่านี้แหละครับ ที่ทำให้ต่อสู้กันนานหน่อย วันไหนประชุมเครียดกลับมา ทำอะไรไม่ได้ ผมก็โพสต์ไอจีขอร้องเลย อย่าตั้งคำถามแบบนี้ ขอให้เห็นแก่เด็กที่เป็นเหมือนลูกหลานเรา” หนุ่มหนึ่ง ยิ้มบางๆหลังเล่าถึงการต่อสู้ที่ผ่านมา
ดวงตาสดใสหลังแว่นตากรอบดำที่มองมายังเรา ยังคงแสดงให้เห็นถึงความดีใจที่ซุกซ่อนอยู่อย่างปิดไม่มิด เราจึงต้องขอให้ชายหนุ่มบอกเล่าถึงความรู้สึกแรกในวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 ที่รับรู้ว่าที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีมติให้ร่างกฎหมายในฝันผ่านการพิจารณาแล้ว
ชายหนุ่มก้มหน้ายิ้มเขินก่อนเล่าด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ ว่า วันนั้น ดร.ฝัน (จินตนันท์ ชญาตร์ (ศุภมิตร)) ชวนให้ไปประชุมด้วย แต่เขาปฎิเสธที่จะไป เพราะกลัวผิดหวังเหมือนครั้งที่ผ่านมา “ผมเข้าห้องพระกราบพระแก้วมรกตที่“บิวตี้เจมส์” เคยสร้าง“เครื่องทรงชุดใหม่”ถวาย ขอบารมีช่วยให้กฎหมายนี้สำเร็จลุล่วง แล้วก็ออกไปทำงาน จำได้ไปทำงานอย่างกระวนกระวาย นั่งไม่ติดครับในใจลุ้นตลอด พอ ดร.ฝันโทรมาบอกว่ากฎหมายผ่านผมดีใจมากครับ ทุกอย่างมันโล่ง นั่งรถตลอดทางเห็นเด็กตัวเล็กๆแล้วดีใจที่ว่าเราสามารถมีเกราะคุ้มกันพวกเขาแล้ว ถ้ามีปญหาอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยตรงนี้เขาใช้เป็นที่พึ่งได้ ผมคิดว่านี่คือชัยชนะของคนไทยทั้งประเทศ”
การค้าเพชรที่ว่ายากแล้ว แต่เมื่อมาเจอการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิมนุยชนของเด็ก หนึ่ง-สุริยน ยอมรับว่าเหนื่อยมาก หากแต่ไม่เคยมีเวลาท้อ ตรงนี้เขาบอกว่าอาจเป็นเพราะปฎิทินภารกิจความรับผิดชอบการทำงานของเขามีตลอดต่อเนื่อง ทุกงานมีปัญหาให้เข้ามาเรียนรู้ตลอด “ผมทำงานทุกชิ้นอย่างเต็มที่ ทำให้เหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย เพราะฉะนั้นงานจะดีหรือไม่ดี จะไม่เสียใจเพราะถือว่าทำเต็มที่แล้ว กฎหมายนี่ก็เช่นกัน” หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัย กล่าวทิ้งท้าย
..หนึ่งชีวิตคนเราล้วนมีโอกาสช่วยสังคมได้ด้วยกันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำหรือไม่ แต่สำหรับ หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล ก็ได้ทำหน้าที่นั้นแล้วอย่างสมบูรณ์