>>หลายคนคงคิดไม่ถึงว่ารถถังหรือรถป้องกันกระสุนที่ใช้ในการทหารนั้น จะเป็นฝีมือการผลิตของคนไทย ซึ่งได้สร้างชื่อเสียงไปไกลยังต่างประเทศอีกด้วย วันนี้ Celeb Online จะพาไปรู้จัก “กฤต กุลหิรัญ” ทายาทรุ่นใหม่ไฟแรง แห่งวงการธุรกิจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหนึ่งเดียวของประเทศไทย
“กฤต กุลหิรัญ” ทายาทคนสุดท้องของตระกูลกุลหิรัญ และผู้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชัยเสรีเม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยางติดเหล็ก ข้อต่อสายพาน ล้อกดสายพาน ให้กองทัพไทยและกองทัพในต่างประเทศรวม 37 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังซ่อมรถทหารและผลิตรถหุ้มเกราะด้วยฝีมือคนไทยได้เป็นผลสำเร็จ โดยมีคุณพ่อคุณแม่ “หิรัญ-นพรัตน์ กุลหิรัญ” เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจด้านนี้
กฤตเล่าเกี่ยวกับงานที่เขาทำให้ฟังว่า “ธุรกิจของครอบครัวผมจะเป็นธุรกิจด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ งานหลักๆ ที่เราทำมี 4 อย่างด้วยกัน คือ ผลิตข้อต่อสายพานรถถัง อย่างรถถังที่ใช้ในภารกิจทหาร อันที่สองเป็นธุรกิจซ่อมรถทหาร อันที่สามคือเราผลิตชุดเกราะแล้วก็รถฮัมวี (Humvee) ที่ใช้ในภาคใต้ อันสุดท้ายเป็นโปรเจกต์ของตัวผมเองที่หลังจากกลับมาจากต่างประเทศแล้ว ก็เริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง คือการทำรถป้องกันกระสุน และป้องกันระเบิดเป็นของตัวเอง ผมจะดูตั้งแต่การออกแบบจนถึงการผลิตเลยครับ”
ตอนแรกผู้บริหารหนุ่มยังไม่รู้ทิศทางหรือความต้องการของตัวเอง แต่สิ่งที่ตั้งใจไว้ก็คือการกลับมาช่วยกิจการของที่บ้าน เพราะวิ่งเล่นในโรงงานมาตั้งแต่เด็ก ได้เห็นคุณพ่อทำงาน และได้มีโอกาสไปช่วยออกบูทยังต่างประเทศ ได้เห็นการทำงานและการติดต่อประสานงานกับต่างประเทศ
“โชคดีที่ผมผูกพันและเห็นการทำงานของที่บ้านมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมันก็เป็นข้อดีที่รู้ว่าจะต่อยอดหรือทำอะไรได้บ้าง ผมเริ่มทำโปรเจกต์ใหม่ของตัวเองเลย มันเหมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์ เพราะผมเรียนจบบริหารมา แต่งานที่ทำอยู่นั้นเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนา เพราะฉะนั้นผมก็จะได้เจอผู้รู้ในด้านนั้นๆ แล้วนำมาต่อยอดองค์ความรู้ให้เรา ผมสนุกไปกับการเลือกใช้อุปกรณ์ วิธีการป้องกันกระสุน กันระเบิดครับ” เขากล่าว
นักธุรกิจหนุ่มหล่อคนนี้เลือกเรียนในคณะรัฐศาสาตร์ เอกความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จากนั้นจึงไปเรียนต่อปริญญาโทด้าน Leadership Management และ Marketing Concentration ที่ University of La Verne ประเทศสหรัฐอเมริกา และด้วยการมองการณ์ไกลไปถึงตลาดในอนาคต ซึ่งประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่ของโลก กฤตจึงตัดสินใจไปเรียนภาษาจีนเพิ่มเติมที่กรุงปักกิ่งเป็นเวลา 6 เดือน หลังจากจบหลักสูตรเขาจึงกลับมาทำงานให้กับที่บ้าน และได้สร้างสรรค์โปรเจกต์เป็นของตัวเอง คือ การทำชุดเกราะ รถป้องกันกระสุน ซึ่งโปรเจกต์ของเขาก็กำลังไปได้สวยเลยทีเดียว
“โปรเจกต์นี้ของผมกำลังได้รับความสนใจจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย ซึ่งมีลักษณะของการแข่งขันกัน 5 บริษัท รถอีก 4 คัน นอกจากคันของผมจะเป็น Big Player ทั้งนั้นเลย เป็นของเจ้าใหญ่ๆ อย่าง TATA จากประเทศอินเดีย, ประเทศออสเตรเลีย และสองบริษัทมาจากแอฟริกาเป็นของ DENEL กับ Paramount ซึ่งเขาจะเอารถมาแข่งกันทั้งหมด โดยทางประเทศมาเลเซียจะส่งทีมของกรุ๊ปที่เป็นทหารไปแต่ละประเทศเพื่อไปทำการทดสอบรถ แล้วก็มีทีมหนึ่งมาดูรถของเรา ไปทดสอบกันที่สนามทดสอบของทหารบก ปรากฏว่ารถของเราได้รับการคัดเลือกจากคุณภาพ
ก่อนหน้านี้โปรเจกต์นี้ยังถูกระงับไว้ก่อน เพราะทางมาเลเซียติดปัญหาเครื่องบินหาย และปัญหางบประมาณต่างๆ อยู่ แต่ล่าสุดเขาติดต่อมาว่า ถ้าไม่ติดอะไรแล้ว อีกประมาณสองสัปดาห์ก็จะเซ็นสัญญาแล้ว โปรเจกต์แรกนี้ขายได้ประมาณ 20 คัน มูลค่าประมาณเกือบ 300 ล้าน ซึ่งรถทั้งโปรเจกต์นี้มีประมาณ 200 คันครับ”
ล่าสุดผู้บริหารหนุ่มเพิ่งได้รับรางวัลจากกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงวิทยาศาสตร์มาหมาดๆ กฤตเล่าถึงรางวัลอันน่าภูมิใจนี้ให้ฟังว่า “เป็นความภาคภูมิใจมากครับที่ได้รับรางวัลนี้ เพราะเราทำตั้งแต่การเริ่มต้นขึ้นมาเลย เสร็จแล้วก็ไปจดเป็น IP เป็นสิทธิบัตรของเราด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เห็นความสำคัญของ IP พยายามให้คนไทยจด IP กันเยอะๆ เราก็เป็นหนึ่งในสินค้าที่ได้รับคัดเลือกในการรับรางวัลนี้ด้วย ผมมองว่าในตลาดปัจจุบันสิ่งที่จะทำให้บริษัทไปได้คือ Branding ต้องดี เราก็เอาตัวรถมาเป็นตัวชูของแบรนด์เรา ในประเทศเราตอนนี้คนที่คิดจะทำรถเกราะป้องกันกระสุนป้องกันระเบิดยังไม่มีและยังไม่มีใครสามารถทำได้” กฤตเล่าให้ฟังถึงที่มาของรางวัล
ส่วนทิศทางของตลาดในอนาคตสำหรับธุรกิจนี้ ผู้บริหารหนุ่มมองว่ารถที่ใช้ข้อต่อสายพานจะน้อยลง เราต้องมองการณ์ไกลหาทางว่าจะไปทำอะไรต่อ ซึ่งบริษัทก็มีความรู้ในเรื่องซ่อมรถทหารอยู่ แถมยังทำเกราะให้รถทหารอยู่แล้ว ก็เลยนำสองตัวนี้มารวมกัน เกิดเป็น Concept Car ขึ้นมา แล้วรถล้อก็ขายไปต่างประเทศได้ มันอยู่ในความต้องการของตลาดอยู่แล้ว เลยกลายมาเป็นรถเกราะตัวนี้ และในการทำงานก็ย่อมมีอุปสรรคเป็นธรรมดา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องมุมมองของแต่ละเจเนอเรชัน แต่ละช่วงวัยมีความเห็นไม่เหมือนกัน หลายครั้งความคิดอาจไม่ตรงกัน แต่ก็พยายามปรับจูนเข้าหากัน
ในการรับส่งรถทุกครั้งหนุ่มกฤตจะไปทำการส่งรถด้วยตัวเองทุกครั้ง เช่นการส่งรถไปยังพื้นที่ภาคใต้ กฤตมีความประทับใจหลายอย่างและถ่ายทอดให้เราฟังว่า “ผมมีความประทับใจในตัวลูกน้องของผมครับ ทุกคนรู้ว่าเวลาลงไปภาคใต้ในเขตพื้นที่อันตราย พวกเขาก็ยังไปกับผม เราจะขับรถทหารไปส่งมอบด้วยตัวเอง จะมีทหาร พนักงานของผม แล้วก็ผมไปด้วย ผมลงไปส่งรถหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ได้กลัวอะไร
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งรถเข้าเขตพื้นที่ได้สักพัก ผมหันไปเห็นป้ายเขียนว่า หยุดฆ่าเห็นแล้วมันใจไม่ดี ที่นั่นเขาจะแบ่งโซนเป็นสีส้ม โซนสีแดงครับ ในการส่งรถที่ภาคใต้ทุกครั้งจะใช้เวลาประมาณ 3 วัน เพราะรถจะวิ่งด้วยความเร็วที่ 80 กม./ชม. น้ำหนักรถประมาณ 13 ตัน ความจริงแล้วรถสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม. ที่เราควบคุมความเร็วก็เพราะว่าถ้าขับเร็วมากๆ มันมีโอกาสที่จะไปชนคันข้างหน้าได้ เลยวิ่งแค่ 80 เพื่อความปลอดภัยครับ”
ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในการส่งมอบรถเคยมีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเกิดขึ้นซึ่งเขาไม่มีวันลืมและประทับใจกับการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ “วันที่ส่งรถครั้งแรกเราไปส่งถึงฐานแล้วที่ค่ายก็จะมีคนมาตรวจรับรถ อยู่ๆ ก็มีวิทยุด่วนเข้ามาว่า คณะคุ้มกันครูโดนระเบิดต้องเอารถไปกู้ ผมก็รออยู่ในพื้นที่ให้เค้าไปกู้คันนั้นก่อน แล้วค่อยมาตรวจรับรถคันเรา มันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตลอด เคยมีคนร้ายวางระเบิดไว้ที่โคนต้นไม้ แล้วระเบิดสาดมาที่ตัวรถ แต่รถของเราไม่ได้บุบเสียหายเลย มีแค่สะเก็ดสีลอกแล้วก็มีกระจกหน้าแตกเท่านั้น มันน่าจะเป็นระเบิดที่ไม่ใช้แรงอัด”
นอกจากคุณภาพของรถที่ผู้บริหารหนุ่มให้ความใส่ใจและพัฒนาอย่างต่อเนื่องแล้ว ทางด้านบริการเขาก็ให้ความสำคัญเช่นกัน “พนักงานของผมอยู่ตามเขตต่างๆ เช่น ที่ภาคใต้ เพื่อบริการตัวรถ เราตั้งทีมขึ้นมาเพื่อบริการทุกเดือน เดือนละครั้ง เราอยากให้ผู้ใช้ได้ใช้รถจริงๆ ด้วยครับ ที่เราเข้าไปดูก็เพราะดูว่ารถได้ใช้งานไหม รถมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถ้ามีเราก็เข้าไปแก้ปัญหาให้เลย ข้อดีของเราคือเราเป็นบริษัทภายในประเทศ ถ้ามีปัญหาอะไร ก็เข้าไปแก้ไขได้ทันท่วงที”
กฤต เผยว่า หากเขาไม่ได้มาดูแลกิจการของครอบครัว เขาอยากจะมีร้านเครื่องปั้นดินเผาเล็กๆ สักร้าน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากตอนที่ไปเรียนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาอยากให้ครอบครัว คู่รัก หรือเพื่อน มาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยกัน “สมัยเรียนอยู่สหรัฐอเมริกาจะมีอยู่ธุรกิจหนึ่งคือ ร้านขายเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งให้คนมาระบายสี มาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยกัน ผมเห็นแล้วชอบ มันเหมือนการสร้างโมเมนต์ให้คนรักกันมาทำอะไรร่วมกัน หรือคนในครอบครัวมานั่งระบายสีด้วยกัน เราไม่ได้เน้นขายสินค้า แต่เราเน้นขายบริการ เหมือนการสร้างความผูกพันให้กลุ่มคน กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ อยากทำมาก วันหนึ่งเดินผ่านแถวหน้าเซ็นทรัลมีเหมือนที่เราคิดเลย เป็นดินเผา กระปุกออมสิน ให้เด็กมาระบายสี ขาย 300 บาท แต่ที่อเมริกา 1 ถ้วยประมาณ 1,000 บาท ซึ่งแพงไปก็เลยขอพักไปก่อนโครงการนี้” เขาพูดพร้อมหัวเราะ
ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มอย่างเขา นอกจากมีงานอดิเรกคือการออกกำลังกาย เล่นกีฬาแล้ว งานอดิเรกอีกอย่างคือการเลี้ยงแมวซึ่งได้มาจากการที่เขาขับรถชนมันโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วมันก็ถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดี “มันเป็นความบังเอิญครับ มันเป็นแมวจรที่อยู่แถวบริษัท เราขับรถชนเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมคิดว่ามันคือความรับผิดชอบ ผมดูแลแมวให้หาย แล้วก็เลี้ยงมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตั้งชื่อว่าฮัมวี ตอนนั้นมันเป็นหนักมาก กรามหัก มีเลือดออกหู ตาซ้ายกะพริบไม่ได้ ดูซีเรียสมากครับ”
ด้วยความที่หนุ่มคนนี้เดินทางบ่อยจึงมีโอกาสไปเจอรูปภาพที่วาดอยู่ตามข้างทาง หรือตามห้าง หากเจอภาพไหนถูกใจ กฤตซื้อภาพที่ชอบติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้งเมื่อเจอรูปที่ถูกใจ หากมีเวลาว่างเขาจะชอบวาดรูปม้า เพราะม้ามีท่วงท่าที่สง่างาม เวลาเคลื่อนไหว
แพลนอนาคตของหนุ่มไฟแรงคือ อยากส่งออกรถเกราะไปยังต่างประเทศให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอยากจะพัฒนารูปแบบและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ให้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการพิสูจน์ฝีมือคนไทยว่ามีความสามารถในการพัฒนาอุตสาหกรรมทางทหารได้ไม่แพ้ประเทศยักษ์ใหญ่ :: Text by FLASH
Special Thanks : โรงแรม Siam@Siam ถนนพระราม 1 โทรศัพท์ 0-2217-3000 ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ