หนึ่งในของรักของสะสมล้ำค่าของมหาเศรษฐี ที่ไม่เพียงมีไว้ชื่นชม แต่ยังมีมูลค่าเติบโตไปตามกาลเวลา สิ่งนั้นก็คือ “ผลงานศิลปะ” เศรษฐีที่รักงานศิลปะและเป็นนักสะสมตัวยงของบ้านเรา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักธุรกิจทั้งสิ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องนับรวมถึง ด้วง-ศักดิ์ชัย ศรีรุ่งกิจสวัสดิ์ เศรษฐีหนุ่มใหญ่ที่ลุ่มหลงงานศิลปะมากๆ เขาบอกว่า ความท้าทายที่เขาชื่นชอบนั่นคือ การเสาะหา และกว่าจะได้มาซึ่งภาพเขียนของเหล่าศิลปินที่เขาชื่นชอบนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นั่นคือรสชาติของคนรักงานศิลปะ
ในวันที่ท้องฟ้าฉ่ำฝน เศรษฐีหนุ่มใหญ่ร่างสูงสมาร์ท ด้วง-ศักดิ์ชัย กรรมการผู้จัดการ เบนนิสัน กรุ๊ป และ เจ้าของ “บริบท พูล รีสอร์ต” เปิดรีสอร์ตหรูกลางเขาใหญ่ให้เราได้เข้าไปสัมผัสความงามของที่พักสุดหรู พร้อมพูดคุยและชื่นชมงานศิลปะทั้งประติมากรรมและจิตรกรรม ซึ่งเป็นของสะสมชิ้นงามที่เขานำมาตกแต่งสถานที่ด้วยความเป็นกันเอง
ด้วง เริ่มต้นเล่าถึงความลุ่มหลงในงานศิลปะของเขาว่า ชอบมาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มต้นสะสมตั้งแต่เครื่องเงินเก่า เบญจรงค์ต่างๆ ที่เป็นงานไทยโบราณ พอนานเข้าก็ซึมซับและเริ่มเปลี่ยนมาเป็นชอบงานศิลปะของไทย โดยเฉพาะ ภาพเขียนของศิลปินทั้งที่มีชื่อเสียงโด่งดัง รวมทั้งศิลปินหน้าใหม่
“การสะสมงานศิลปะของผม ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเพื่อหวังเก็งกำไร ผมเริ่มจากเลือกซื้องานเฉพาะชิ้นที่ผมชอบเท่านั้น แต่มูลค่างานอารต์บ้านเราค่อนข้างสูง เวลาผมเลือกซื้อก็จะมองว่า ซื้อเพราะเป็นสิ่งที่ผมชอบ และถ้าศึกษาให้ดีก็จะเป็นการลงทุนกลายๆ ซึ่งถ้างานศิลปะที่สะสมเป็นงานที่ตลาดต้องการ ก็จะทำให้มูลค่าของงานชิ้นนั้นๆ มีมูลค่าเพิ่มขึ้น”
“ด้วง” ยังพูดถึงงานศิลปะสะสมในยุคแรกๆ ของเขาว่า ซื้อตามความชอบ งานชิ้นแรกที่ซื้อ แม้จะจำไม่ได้ว่า เป็นของศิลปินท่านใด แต่เขายืนยันว่า เป็นภาพที่สวยงามมากสำหรับเขา ที่เห็นแล้วชอบก็ซื้อทันที ซึ่งยอมรับว่าช่วงแรกนั้นไม่มีประสบการณ์ เห็นอะไรสวยก็ซื้อหมด แยกไม่ได้ว่าสวยเพราะอะไร ไม่รู้ว่าความสวยนั้นมีองค์ประกอบอะไร จนเมื่อเล่นต่อไปนาน ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าต้องมีอะไรบ้าง เปรียบเหมือนเด็กทานอาหาร เมื่อกินอะไรก็อร่อยไปหมด เนื่องจากประสบการณ์ในการกินยังน้อย พอโตขึ้นมาเริ่มรู้จักคำว่าอร่อย เพราะกินมากจนสามารถแยกแยะได้แล้วว่า อันไหนอร่อยหรือไม่อร่อย
เมื่อถามถึงศิลปินเมืองไทยที่เขาชื่นชอบมากนั้น หนุ่มใหญ่หุ่นสมาร์ทคนนี้ ก้มหน้าคิดนิดนึงก่อนยอมรับว่า ชอบหลายคน แต่ที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือ ภาพของอาจารย์ประกิต หรือ จิตร บัวบุศย์ ศิลปินแห่งชาติและเป็นเจ้าของผลงาน “พานรัฐธรรมนูญ” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บนถนนราชดำเนิน, อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ที่เขียนภาพมีพลัง ใช้เทคนิคแนวดุดัน, อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, อาจารย์จักรพันธ์ โปษยนนท์ และชาติชาย ปุยเปีย เป็นต้น
“ด้วง” ยังพูดถึงความสุขในการค้นหางานศิลปะ หรือภาพเขียนที่ทรงคุณค่าของเขาว่า เป็นความรู้สึกที่ท้าทายมากๆ ยิ่งช่วงหลังเมื่อเขาได้สัมผัสกับศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลากหลาย และได้ศึกษาเพิ่มเติมอย่างจริงจัง จึงพอมองออกว่า งานชิ้นใดของศิลปินท่านใดจะมีคุณค่ามากต่อไปในอนาคต
แต่การจะได้เป็นเจ้าของภาพของศิลปินชื่อดังแต่ละภาพนั้น มิใช่ได้มาง่ายๆ เพราะศิลปินบางคนก็เลือกขายผลงานให้กับลูกค้าเหมือนกัน เรียกได้ว่าแม้จะมีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อผลงานของพวกเขาได้ และนั่นคือความท้าทายของนักสะสมอย่างด้วง ซึ่งเขาเล่าถึงประสบการณ์ที่ดั้นด้นไปหาศิลปินคนหนึ่ง เพื่อขอซื้อภาพและใช้เวลาติดต่อกันอยู่นานมาก
“ที่ผมประทับใจมากๆ คือ ครั้งที่ไปขอภาพเขียนของ อาจารย์จิตร บัวบุศย์” ท่านเป็นอิมเพรสชันนิสต์ของเมืองไทย ผมชอบที่ท่านใช้เกรียงเขียน ภาพวาดของอาจารย์จิตรใช้เวลาวาดไม่นาน แต่ใช้เวลาในการคิดนานมาก ท่านเป็นศิลปินที่ไนซ์มาก เวลาที่ผมไปขอซื้อรูปจากท่าลน เหมือนไปขอลูกสาวของท่าน กว่าจะได้มาแต่ละภาพนานมาก แล้วเวลาไปรับรูปท่านจะแต่งตัวเรียบร้อยใส่สูท เหมือนพ่อที่กำลังทำพิธีส่งตัวลูกสาว คือท่านให้เกียรติภาพเขียนของท่านมาก”
เขาตระเวนซื้อเก็บภาพและงานประติมากรรมไว้ที่บ้านรวมถึงรีสอร์ต 2 แห่งของเขาคือที่ ปาย และเขาใหญ่ โดยเฉพาะ ที่บ้านของเขานับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่รวมงานศิลป์ชั้นเลิศ “ถ้าเป็นภาพเขียน ซื้อมาผมก็นำมาแขวนที่บ้าน กลับไปได้เห็นก็รู้สึกชื่นใจ” เขาให้เหตุผล
แม้ ด้วง จะไม่ได้สะสมศิลปะเพื่อเก็งกำไร แต่ก็เป็นความจริงที่งานศิลปะหลายชิ้นที่สะสมไว้ตั้งแต่ยุคเริ่มแรก กลับกลายเป็นผลงานศิลปะที่มูลค่าสูงลิบลิ่วในปัจจุบัน และปัจจุบันก็ยังสนใจที่จะเสาะแสวงหาผลงานที่มีคุณค่า มาสะสมต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง ตามแบบฉบับของคนรักงานศิลปะขนานแท้
“ภาพของศิลปินดังๆ ในตลาดตอนนี้ ถ้ามีก็ราคาแพงมาก ยิ่งพอศิลปินเสียชีวิตไปแล้ว ภาพขึ้นเป็นหลักแสน สองแสน ถ้าภาพใหญ่ๆ ก็หลายล้าน สมัยก่อนมีต่างชาติซื้อไปเยอะ ส่วนใหญ่ภาพจะไปเมืองนอกหมด เพราะฉะนั้น ภาพวาดของศิลปินดังๆ เหล่านี้เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว เมื่อสิบกว่าปีก่อน ไปซื้องานของอาจารย์เฉลิมชัยที่แกลอรี่แห่งหนึ่ง เป็นภาพเขียนบนกระดาษขนาดใหญ่กว่า 4A ซื้อมาในราคา 4 แสนบาท มาเก็บโชว์ที่บ้าน เวลาผ่านไปประมาณ 10 ปี ตอนนี้ตลาดภาพเขียนให้ราคา 7 หลักขึ้นแล้วครับ”
ด้วง ยังเปรียบเทียบการลงทุนงานศิลปะ กับนักเล่นหุ้น ที่ดิน และทองคำ ว่า ลักษณะคล้ายกัน ต่างกันก็ตรงที่หุ้น ที่ดิน และทองคำ เป็นสิ่งที่กำหนดราคาโดยตลาด และหากคนซื้อเลือกโดยมีปัจจัยที่ช่วยในการตัดสิน ก็จะมีความเสี่ยงน้อย เช่น เลือกซื้อหุ้นตัวหลักที่ผลประกอบการดี, เลือกซื้อที่ดินในทำเลดี
แต่งานศิลปะจะต่างตรงที่ ไม่มีดัชนีของราคาตลาดเป็นตัวชี้วัด ดังนั้น ราคาจึงขึ้นอยู่กับ “ความพอใจ” ของคนซื้อและคนขายเป็นสำคัญ ใครที่สนใจจะลงทุนในงานศิลปะ ถ้าเป็นมือใหม่ ควรศึกษาก่อนตัดสินใจซื้อ หรืออาจจะขอคำแนะนำจากคิวเรเตอร์ หรือ ภัณฑารักษ์ ก่อน แต่ถ้าเป็นนักสะสมที่ชำนาญแล้ว จะรู้ว่ามูลค่าของงานชิ้นนั้น ราคาในตลาดควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ และเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่
ในฐานะนักสะสมงานศิลปะย่าง ด้วง-ศักดิ์ชัย ที่ซึมซับกับผลงานศิลปินไทยอย่างคนรักงานศิลปะ ที่ไม่เพียงหวังให้งานสะสมของตัวเองมีมูลค่าเพิ่มเพียงอย่างเดียว แต่เขายังหวังว่า ผลงานของศิลปินไทยจะก้าวไปสู่ตลาดสากลมากขึ้น โดยภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรจะให้การสนับสนุนมากกว่านี้
และก่อนจบการสนทนา “ด้วง” ยังฝากบอกถึงนักสะสมรุ่นใหม่ว่า ให้ซื้องานศิลปะในสิ่งที่ชอบและเป็นตัวตนของตัวเอง ที่สำคัญคือ ต้องรู้จักและศึกษางานของศิลปินแต่ละท่านให้ลึกซึ้ง