xs
xsm
sm
md
lg

“จุ๊-กัลยดา โลหเจริญวนิช” สาวหล่อสุดฮอตที่วันนี้ใครๆ ก็อยากรู้จัก!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เมื่อประมาณปลายปีที่แล้วมีข่าวซุบซิบกันอย่างครึกโครมทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และในหน้าโซเชียลมีเดียถึง “จุ๊-ทอมไฮโซ” จากกรณีที่เขากำลังมีข่าวกับดาราสาว “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ที่เพิ่งเลิกรากับสามี ซึ่งคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจเราคือ “เขาคือใคร?” จากการสืบค้นข้อมูลใน Social Media เรารู้เพียงว่าเขาคือผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงในวงการอินทีเรีย แต่วันนี้ Celeb Online มีคำตอบที่ลึกมากกว่าที่มีอยู่ใน Social Media เพราะสาวหล่อนาม “จุ๊-กัลยดา โลหเจริญวนิช” จะมาเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่างลึกซึ้ง

จุ๊-กัลยดา โลหเจริญวนิช” เขาเคยเปิดบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายกระเป๋ากล้อง “Zkin” แต่ปัจจุบันมีบริษัทเป็นของตัวเองในชื่อ “มีทู สตูดิโอ” (me2 studio) รับออกแบบตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นบริษัทที่เขาบุกเบิกและดำเนินการด้วยตัวเอง
“บ้านเราไม่มีใครรับทำออกแบบภายในเลย คุณพ่อ (กัมปนาท โลหเจริญวนิช) เป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และที่ปรึกษาด้านการเงินและหลักทรัพย์ให้กับบริษัทต่างๆ ไม่ได้ทำกิจการอะไร ธุรกิจที่จุ๊ทำอยู่ตอนนี้จุ๊เปิดขึ้นมาเอง”

คำเกริ่นนำถึงสิ่งที่เขาเพียรพยายามทำอยู่ตอนนี้ ก่อนจะเล่าถึงแบ็กกราวนด์ของครอบครัวและตัวเอง

“จุ๊เป็นลูกคนโตในบรรดาพี่น้องสามคน ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้บังคับว่าต้องเรียนอะไร แค่ถามว่าชอบคณะไหน อยากเรียนอะไร ตอนนั้นจุ๊ชอบวาดรูป ชอบศิลปะ ตอนแรกลังเลอยู่ว่าจะไปทางด้านกราฟิกหรืออินทีเรีย จนได้ข้อสรุปมาเรียนทางด้านอินทีเรีย ตกแต่งภายในที่ มหาวิทยาลัยรังสิต

หลังจากเรียนจบปริญญาตรีทำงานเล็กๆ น้อยๆ แล้วไปเรียนต่อปริญญาโทในสาขา Interior Design ที่ Academy of Art University ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา พอเรียนจบมีโอกาสทำงานอยู่บริษัท Hart/Howerton ที่ซานฟรานซิสโก ผลงานส่วนใหญ่เป็นงานออกแบบบ้านอลังการ เก็บประสบการณ์อยู่เกือบ 2 ปี จึงกลับมาเมืองไทย ทำงานที่บริษัท Orbit Design Studio เป็นบริษัทที่เจ้าของเป็นต่างชาติ สไตล์งานเป็นโมเดิร์น ทำอยู่ประมาณ 4-5 ปี ได้ความรู้เยอะไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัสดุ อุปกรณ์ ซัปพลายเออร์ เริ่มมีคอนเนกชันมากขึ้น จนวันหนึ่งรู้สึกว่าอยากทำอย่างอื่นที่นอกเหนือจากงานประจำที่ทำด้วย จึงคิดว่าถ้าอย่างนั้นเปิดบริษัทของตัวเองดีกว่าจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สนใจ แต่ก็คงไม่ทิ้งงานด้านอินทีเรียอยู่แล้ว เพราะเป็นความถนัดและความชอบของเรา

ระหว่างที่ออกมาค่อยๆ เตรียมงานบริษัทของตัวเองก็ทำหลายอย่าง เช่น เล่นหุ้นบ้างเผื่อจะได้เหมือนคุณพ่อ ทำธุรกิจนำเข้ากระเป๋ากล้องมาจากฮ่องกงบ้าง ขายได้พักหนึ่งก็ไม่มีเวลาทำ เพราะต้องทำการตลาดกระตุ้นยอดขายตลอด ซึ่งตอนนั้นเราก็ทำร้านกาแฟด้วยแล้วก็เจ๊งไปไม่มีคนดู (หัวเราะ) ทำอะไรหลายอย่างมาก จนช่วงหลังๆ โฟกัสอินทีเรียอย่างเดียว”

มีทูสตูดิโอ อินทีเรียครบวงจร

สิ่งที่โฟกัสมากที่สุด และทำมาเป็นเวลา 4 ปีแล้วนั่นก็คือบริษัท มีทู สตูดิโอ (me 2 studio) บริษัทอินทีเรียดีไซน์ รับออกแบบตกแต่งภายใน ที่เขาให้คำนิยามถึงสไตล์งานว่าเป็นแนวโมเดิร์น ลักซ์ชูรี เรียบหรู ดูดี ออกแนวแฟชั่น

“เปิดบริษัทของตัวเองมา 4 ปีแล้ว ช่วงแรกๆ ค่อนข้างเหนื่อย มีจุ๊และพาร์ตเนอร์อีก 1 คน แต่จากนั้นพาร์ตเนอร์ต้องออกไปช่วยทำธุรกิจของครอบครัว จุ๊จึงต้องทำคนเดียวโดยใช้ชื่อเดิม เพราะเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว ทำมาเรื่อยๆ จนมีทีมงานทั้งหมด 6 คนแล้ว ตอนนี้จุ๊เป็นไดเรกเตอร์ ดูทุกอย่างของบริษัท ดูภาพรวมของทุกโปรเจกต์ อาจจะไม่ได้ทำโปรดักชันเองแต่ก็ดูเรื่องดีไซน์ทั้งหมด สิ่งแรกที่ทำคือทำตามความต้องการของลูกค้า ต้องคุยให้เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรจริงๆ โดยออกแบบให้ตอบโจทย์ของเขา ดูมูทแอนด์โทน แบบไหนที่ตรงกับความต้องการและรสนิยม เราในฐานะดีไซเนอร์ก็จะแนะนำ ออกแบบให้เขาชอบ เน้นความสวยงามเป็นหลัก แต่ก็ใช้งานได้ด้วย

มีทู สตูดิโอ รับออกแบบภายในตั้งแต่บ้าน คอนโดมิเนียม ร้านอาหาร ชอปต่างๆ มีเพื่อนอยู่ในแวดวงนี้เยอะ งานที่ทำช่วงแรกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นงานเพื่อน เช่น ออกแบบร้านอาหาร ออกแบบอินทีเรียดีไซน์ จนต่อยอดมาเป็นวางคอนเซ็ปต์และจัดพร็อพให้กับโครงการบ้านตัวอย่าง โดยเราทำคอนเซ็ปต์ทั้งหมดให้ หาพร็อพทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นแจกัน กรอบรูป เราทำตั้งแต่คอนเซ็ปต์ดีไซน์ ดีไซน์ดรอว์อิ้ง ดีไซน์คอนสตรักชัน ไปดูหน้างานคุมงานด้วย”

ดูลัลลา แต่ความจริงทำงานหนัก

ถ้าใครที่ติดตาม IG จะเห็นว่าเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยอยู่กับที่ วันหนึ่งไปโน่น มานี่ตลอด ดูเหมือนเป็นคนที่ใช้ชีวิตลัลลา แต่ความจริงแล้วภาพที่เห็นว่าลัลลานั่นแหละคือการทำงานของเขา!

“เสน่ห์และความสนุกของงานที่จุ๊ทำตรงนี้ สนุกเพราะมันมีบรรยากาศที่หลากหลาย เราได้เจอคนเปลี่ยนไป ความต้องการของลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน เป็นเหมือนโจทย์ให้เราได้ค้นคว้า หาข้อมูล ได้มีความรู้สึกที่อินไปกับงานตรงนั้น และมีความท้าทายไม่เหมือนกันทุกงาน เช่น โปรเจกต์ที่ 1 งบน้อย เวลาเร่ง ทำให้เสร็จ ส่วนโปรเจกต์ที่ 2 งบเยอะ แต่เราจะหาของที่สุดพิเศษเหมาะกับเงินที่เขามี ยกตัวอย่างงานร้านอาหาร งานชอปต่างๆ โปรเจกต์เหล่านี้จะสามารถทำงานได้เร็ว แต่ถ้าเป็นโปรเจกต์ตกแต่งบ้านจะช้า เพราะต้องพิถีพิถันมากกว่า

เวลางานของจุ๊อยู่รอบตัวตลอดเวลา เราไม่ต้องนั่งอยู่ที่ออฟฟิศทั้งวัน เพราะเนื้องานของเรามีหลายสเต็ป ทั้งออกแบบ หาเลือกของให้ลูกค้า ไปที่ไซต์งานก่อสร้าง อย่างเวลาเราไปเดินซื้อของ เดินดูเฟอร์นิเจอร์ เพื่อนชอบแซวว่า “เฮ้ย! ไม่เห็นทำงานเลย” (หัวเราะ) จริงๆ คือเรามาเดินซื้อของเพื่อนำไปตกแต่งให้ลูกค้า ถึงได้บอกว่าความสนุกของงานนี้อยู่ที่ความหลากหลาย ไม่ได้อยู่กับบรรยากาศเดิมๆ อย่างเดียว และการที่เราออกไปนั้นก็ทำให้เราได้อัปเดตตัวเองด้วย

การทำธุรกิจของตัวเองมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ข้อเสียคือไม่มีใครมานั่งกดดัน บงการเรา แต่เราต้องผลักดันตัวเอง จะอิสระมากเกินไปก็ไม่ได้ก็ต้องแอกทีฟ เพราะเราต้องหาเงินอยู่ บางทีเสาร์-อาทิตย์ ยังนั่งคิดงาน เอากระดาษมานั่งวาดงานตามร้านกาแฟอยู่เลย”

จุ๊ 100 โปรเจกต์

จุ๊ 100 โปรเจกต์ ฉายานี้เราขอมอบให้กับเขา เพราะจากการพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา เขาได้ผ่านการทดลองทำธุรกิจหลายๆ อย่าง มีทั้งที่เวิร์กและต้องหยุดไปก็มี แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดคิดหรือเอาตัวเองไปลองทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมองเหล่านั้นเลย
“จุ๊เป็นคนที่ชอบมองหาอะไรใหม่ๆ ทำตลอด ลองศึกษาดูก็สนุกดี ทำให้ชีวิตไม่จำเจ เพราะถ้าหากวันหนึ่งชีวิตเรามาถึงคำว่าเบื่อ มันจะทำให้ไม่มีแรงบันดาลใจ แล้วทุกอย่างก็จะดูหดหู่ไปหมด ฉะนั้น ต้องหาอะไรสนุกๆ ทำควบคู่ไป แต่อย่างที่บอก อินทีเรียเราไม่ทิ้งอยู่แล้วเพราะเป็นงานที่เราถนัดและรัก

อาจเป็นเพราะบริษัท มีทู สตูดิโอ เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น และเป็นที่รู้จักแล้ว บางคนขอแค่บอกว่าให้จุ๊ออกแบบให้ เขาเห็นหน้าเราเขาก็รู้ว่าเราทำงานในวงการนี้ ใครจะทำบ้าน หรือเพื่อนจะเปิดร้านอาหารก็มาปรึกษา ไม่ได้คิดว่าเติบโตอะไรนักหนา แค่คิดว่าเราต้องบาลานซ์งานกับชีวิตและความสุขของเราเท่านั้น ลองสังเกตดูว่าเราทำแล้วต้องมีความสุข ลองหาอะไรที่ชอบ ยิ่งถ้าทำแล้วมันได้เงินก็โอเค เราจะได้มีความสุขกับงานของเรา”

เมื่อบริษัทเริ่มอยู่ตัว มนุษย์ไฮเปอร์คนนี้ ก็เลยแอบฝันถึงโปรเจกต์ใหม่ๆ ในอนาคตอีกมากมาย แม้ว่าที่ผ่านมาจะพบกับคำว่า “เจ๊ง” และ “ขาดทุน” มาเยอะแต่ก็ไม่เข็ด ยังมีอีกหลายโปรเจกต์ที่ฝันอยากจะทำ

“เหมือนคนบ้า บางทีอยากทำงานทีวี ไปเที่ยวไหนเห็นอะไรที่เป็นช่องทางธุรกิจใหม่ๆ ก็อยากทำ อยากไปทำบริษัทที่พนมเปญบ้างหละ อยากเปิดร้านอาหารบ้างหละ แล้วพอเวลาอยากทำก็จะทำๆ อยู่พักหนึ่ง ที่ผ่านมาจับพลัดจับผลู ทำโน่น ทำนี่ หลายอย่าง บางอย่างก็อาจจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ เรียกว่าเจ๊งก็ได้นะ คือลงทุนไปแล้วไม่ได้คืนน่ะ (หัวเราะ) แต่งานเหล่านั้นก็เหมือนมาเป็นสีสันให้ชีวิตเรามีอะไรให้ทำ จะได้ไม่เบื่อ

ถามว่ารู้สึกล้มเหลวไหมเวลาทำอะไรไม่สำเร็จ ก็นอยด์บ้างนะ แต่ก็คิดว่าเราไม่ได้เก่งไปหมดทุกอย่าง ดูอย่างคนที่เขาเก่งๆ ประสบการณ์ของเขาก็เจ๊งกันมาเหมือนกัน อย่างน้อยเราก็ได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิต เมื่อเราก้าวขาไปแล้ว ถือเป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริง คราวหน้าเวลาเราจะเปิดธุรกิจหรือทำอะไรใหม่ๆ จะได้รอบคอบขึ้น เรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั่นเอง”

โปรเจกต์ใหม่เอาใจคนรักการออกกำลัง

ลองชิมลางงานมาหลายอย่างแต่ความอยากลองสิ่งใหม่ๆ ไม่เคยหมดไปจาก จุ๊ กัลยดา ล่าสุดเขาเปิดเผยแผนธุรกิจใหม่กับเราว่า เขากำลังจะทำธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่น แต่เป็นแฟชั่นของคนที่ชอบการออกกำลังกายในรูปแบบของเสื้อผ้า Sport Wear ที่กำลังอยู่ในระยะเริ่มต้น

“ตอนนี้กำลังจะมีธุรกิจใหม่ ทำกับเพื่อนซึ่งเขามีพื้นฐานด้านสปอร์ตแวร์อยู่แล้ว แต่คราวนี้เราทำแบบจริงจังมีแบรนด์ว่า “Kalis” มาจากชื่อของจุ๊ Kalayada กับ Lisa (หุ้นส่วน) เมื่อมารวมกันเป็น Kalis ฟังแล้วก็ดูหวานซ่อนเปรี้ยวดี

ที่มาทำชุดออกกำลังกายเพราะว่าเรามองว่าเทรนด์เฮลตี้กำลังมาแรง นอกจากกินอาหารแล้วก็ต้องออกกำลังกายด้วย เวลาไปออกกำลังกายก็อยากจะใส่ชุดออกกำลังกายแบบแฟชั่นบ้าง แล้วแบรนด์ที่เป็นชุดออกกำลังกายก็มีอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ เราอยากจะออกแบบให้ดูแฟชั่นและฟังก์ชันด้วย โดยคอลเลกชันแรกจุ๊ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมต่างๆ

คาดว่าจะเปิดตัวประมาณเดือนกรกฎาคม ตอนนี้เรียกว่าเพิ่งเริ่มฟักตัว เรามีซัปพลายเออร์แล้ว แต่พยายามใส่เรื่องของฟังก์ชันการใช้งานไปเยอะๆ ซึ่งเราต้องศึกษานะว่าผ้าชนิดไหนที่จะรัดกล้ามเนื้อ แล้วการรัดกล้ามเนื้อส่วนไหนที่จะช่วยกระชับหรือเบิร์น เพื่อให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นในการออกกำลังกาย

ตอนนี้โฟกัสในเรื่องของดีไซน์ เราเองก็ค่อนข้างมั่วในเรื่องของแฟชั่นนะ (หัวเราะ) แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีถูกไม่มีผิดอยู่แล้ว แค่เริ่มทำก็สนุกแล้ว”

จุ๊-ทอมไฮโซ ดังเพียงแค่ข้ามคืน

ในช่วงเวลาหนึ่ง ชื่อของ “ทอมจุ๊” กัลยดา โลหเจริญวนิช กลายเป็นชื่อที่ผู้คนที่ติดตามข่าวในแวดวงบันเทิง ค้นหามากที่สุด เพราะเขาเป็นคนที่มีข่าวว่ามาช่วยดามใจให้กับม่ายสาว “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ซึ่งในขณะนั้นกำลังมีกระแสข่าวมากมายหลังจากที่เธอประกาศหย่าขาดจากสามี ซึ่งตัวเขาเองยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แต่ก็คิดแค่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา!!

“พูดถึงเรื่องตอนที่มีข่าวกับเจนี่หรอ ตอนนั้นเขากำลังดัง เป็นช่วงกำลังพีกของเจนี่เลยก็ว่าได้ เขาอยู่ในกระแสที่น่าจับตามอง ฉะนั้นเขาไปไหน ไปทำอะไร กับใคร เป็นข่าวได้หมด เราเป็นเพื่อนเขาก็เลยมีข่าวกับเขาไปด้วย อย่างว่าเขาเป็นคนดัง จุ๊เป็นคนธรรมดา จุ๊ก็ไม่รู้ว่าใครเอาไปโยงกัน รู้แค่ว่าตอนนั้น “ทอมจุ๊” ดังอย่างบ้าคลั่ง (หัวเราะ) คนก็คิดกันไปได้เยอะ”

อาจเป็นเพราะบุคลิกที่ดูห้าวๆ จึงทำให้เป็นข่าวกับดาราสาวได้ แต่บุคลิกห้าวๆ นี้ เขาบอกว่าเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว!!

“เริ่มห้าวมาตั้งแต่มัธยมแล้ว จบจากโรงเรียนสาธิตฯ ประสานมิตร ไม่ได้เรียนหญิงล้วนนะ แต่เราก็บุคลิกเป็นอย่างนี้เอง บ้านเราค่อนข้างจะโมเดิร์น เปิดกว้าง ไม่ใช่ว่าเราห้าวแล้ว เราจะเป็นคนเลว ที่บ้านไม่ได้บอกว่าคุณต้องทำตัวเรียบร้อยแล้วชีวิตจะดี มันไม่เกี่ยว อยู่ที่เราเลือกเดินมากกว่า คุณพ่อชอบสอนว่าเราต้องบาลานซ์ทั้งเรื่องทำงาน เรื่องเที่ยว เรื่องการใช้ชีวิตให้มีความสุข ก็ไม่มีใครบอกว่าเราใช้ชีวิตเสียหายอะไรตรงไหน แค่เราใช้ชีวิตในทางที่ดีให้พ่อแม่เห็น มันน่าจะมองตรงนั้นมากกว่า

เดี๋ยวนี้โลกก็เปิดกว้างนะ คนไทยเองเขาก็ดูอะไรหลายๆ อย่าง ดูตามสื่อก็เห็นอยู่มีเพศที่ 3 เพศที่ 4 มากมาย เขาก็เข้าใจ อย่างเวลามีคนมาเรียกเราเป็น “ทอม” ก็แล้วแต่เขาจะบัญญัติ เราเป็นคนไม่ได้แคร์อะไรมาก ไม่งั้นคงปวดหัว เราเป็นของเราแบบนี้ ใช้ชีวิตของเราอย่างมีความสุขพอแล้ว”

ไลฟ์สไตล์สาวหล่อร้านลับๆ ของคนนิยมดื่ม

บุคลิกจะเป็นอย่างไรนั้นอาจจะไม่ได้เป็นตัวตัดสินรสนิยมในการใช้ชีวิต เพราะส่วนตัวของจุ๊เอง เขาเป็นคนที่เลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เอนจอยกับทุกสิ่งรอบตัว

“การเดินทางเป็นส่วนหนึ่งในความชอบ ปีหนึ่งจะวางแผนว่าต้องออกนอกเอเชีย 1-2 ครั้ง ปีนี้กำลังวางแผนว่า จะไปสเปนเพราะยังไม่เคยไป กะว่าอาจเป็นช่วงสงกรานต์ ถ้าเห็นรูปลง IG ก็แสดงว่าฝันเป็นจริง (หัวเราะ)

ปีที่แล้วเราไปสหรัฐอเมริกาบ่อย เพราะมีเพื่อนอยู่ที่นั่น ชอบไปเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ ไปเดินดูพิพิธภัณฑ์ กินอาหารแปลกๆ ดูร้านใหม่ๆ ก็ทำให้เราได้แรงบันดาลใจเหมือนกัน ทุกครั้งที่เราเดินทางไปในที่ที่ไกลๆ เราจะได้มุมมองใหม่ๆ”

ส่วนเรื่องที่ดื่ม ที่เที่ยวในชีวิตประจำวันนั้น สาวหล่อผู้มีรสนิยมได้แนะนำร้านที่สามารถพบเจอเขาได้อยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าร้านนั้นต้องดีทั้งบรรยากาศ และรสชาติ

“ร้านที่ไปบ่อยๆ ช่วงนี้คือที่ Vogue lounge ที่มหานคร ชอบเพราะเข้าไปในร้านแล้วบรรยากาศดี อินทีเรียสวย และมีร้านที่แบบว่าเป็นร้านลับๆ อยู่ ชื่อว่า “ชูก้าเรย์” อยู่แถวซอยแจ่มจันทร์ เอกมัย เป็นร้านที่มิกซ์ค็อกเทลได้อร่อย มีเหล้าแปลกๆ กลุ่มคนที่ไปก็เป็นเพื่อนๆ เรา รู้จักกันทั้งนั้น หรือถ้าจะมันส์ไปเลย ประเภทเพลงดังชนิดออกมาหูดับ ก็เป็นดีเอ็นเอ ถึงจะ 36 แล้ว ยังไปกระชากวัยได้ เห็นอย่างนี้ยังสู้นะ (หัวเราะ) นอกจากนั้นก็พบปะเพื่อนฝูงนั่งคุยตามร้านอาหารชิลๆ ดริงก์กันนิดหน่อย”

สารพัดมิกซ์

ส่วนสไตล์การแต่งตัวของสาวห้าว อย่างที่เราเห็นนั้น ความสนุกของการแต่งตัวในแบบมัสคิวลินให้เหมือนผู้ชายนั้นดูเป็นเรื่องที่สนุกของคนที่มีบุคลิกแมนๆ เพราะเขาสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าทั้งของผู้หญิงและผู้ชายให้ออกมาเป็นสไตล์ของตัวเองได้

“จุ๊ไม่ได้มองว่าแบรนด์สำคัญเท่าดีไซน์ที่ออกมา ส่วนตัวแล้วสไตล์ของจุ๊นี่เรียกว่า “ซูเปอร์มิกซ์แอนด์แมตช์” มีทั้งเสื้อผ้า ผู้หญิงผู้ชาย รวมอยู่ด้วยกัน มิกซ์หนักกว่าคนอื่นหน่อย (หัวเราะ) เสื้ออาจจะเป็นของผู้ชาย กางเกง รองเท้าเป็นของผู้หญิง อยู่ที่ว่าเราใส่แบบไหนได้พอดี

ส่วนใหญ่ชอบใส่เสื้อเชิ้ตกับเบลเซอร์ แทบจะไม่ค่อยใส่เสื้อยืดออกนอกบ้านเลย ยกเว้นนอนกับออกกำลังกาย เพราะมองว่าเสื้อเชิ้ตไปได้ทุกโอกาส และการที่เราเป็นดีไซเนอร์ คนก็ต้องดูภาพลักษณ์ของเราด้วย เราก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทด้วย ส่วนใหญ่ก็ดูแฟชั่นจากใน Pinterest ซึ่งการเข้า Pinterest ได้ทั้งเรื่องของแฟชั่นและดีไซน์อินทีเรียด้วย แต่ก็ยังซื้อหนังสืออยู่ ชอบซื้อหนังสือที่เป็นการรวมผลงานอินทีเรียของดีไซเนอร์ดังๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังสือเล่มๆ เป็นอะไรที่คลาสสิก แถมยังเป็นพร็อพแต่งบ้านได้ด้วย”

รักที่ต้องเข้าใจของสาวหล่อ

เรื่องสำคัญที่เราไม่ลืมจะพูดถึงก็คือความรักของหญิงห้าวที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่เมื่อเราได้พูดคุยเรื่องหัวใจกับเขาแล้ว พบว่าไม่ว่าจะเพศไหน สิ่งสำคัญในการรักกัน คบกันก็คือเรื่องของ “ความเข้าใจ” เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

“อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ปีนี้ 37 อยากเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เข้ากันได้ ถามถึงสเปกหรือ...ไม่อยากพูดเพราะพูดไปแล้วไม่เคยได้ดั่งใจต้องการ (หัวเราะ) แน่นอนว่าเราชอบคนขายาว นิสัยต้องอย่ามาเยอะแข่งกับเรา ทุกคนบอกไม่เยอะๆ สุดท้ายก็มาเยอะกับเรา (หัวเราะ)

ตอนเด็กๆ อาจจะไม่เรื่องมาก แต่พอโตขึ้นรู้เห็นอะไรมากขึ้น ก็เลยคิดเยอะ แต่เราเป็นคนที่ปรับตัวได้หมด ชอบชีวิตที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เคยคิดเหมือนกันว่าการจะมีอีกคนเข้ามาอยู่กับเราในชีวิตก็ต้องเป็นคนที่อยู่กับเราได้ ต้องเป็นคนที่เข้าใจเรา มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียง ซัปพอร์ตกันทั้งชีวิตปกติและเรื่องงาน คือสามารถเป็นที่ปรึกษากันได้”

เมื่อพูดถึงเรื่องของความรักเราแอบแย็บเล่นๆ ว่าเคยนึกถึงขั้นแต่งงานมั้ย เธอตอบกลับเราอย่างห้าวๆ เลยว่า...

“เฮ้ย...ไม่...แต่ขอคนที่อยู่ด้วยกันได้ คนที่อยู่ด้วยกันแล้วไม่ทำให้เราหงุดหงิด ไม่อยากอยู่กับคนที่อยู่ด้วยแล้วปวดหัว ความจริงเราเป็นคนเทกแคร์ ใส่ใจนะ คบใครเราก็น่ารักใช้ได้เลย แต่ก็เคยเจอเรื่องเฮิร์ตๆ บ่อย เวลาเจอก็ช่างมัน อย่าไปกลัว รักใครชอบใครอย่าไปกลัว แต่เราเจอคนที่ใช่ยาก เรามีแฟนไม่เยอะนะที่ผ่านมา แต่ละคนคบค่อนข้างนาน”

มาถึงบรรทัดนี้ได้รู้จักกับหลายมุมของ จุ๊ กัลยดา แล้ว บอกได้เลยว่าใครที่เริ่มจะตกหลุมรักสาวห้าวคนนี้ เขาบอกกับเราว่าตอนนี้ “Available” แหม่!...ออกสื่อต้องโปรโมตกันหน่อย เอ้าสาวๆ เขียนใบสมัครจองได้เลย :: Text by FLASH

สถานที่ : Motif Art of Living ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี โทรศัพท์ 0-2160-5984
ช่างภาพ : กมลภัทร พงศ์สุวรรณ


กำลังโหลดความคิดเห็น