คงปฏิเสธไม่ได้ว่า กว่าที่คนๆ หนึ่งจะพบตัวตนของตัวเองนั้น ต้องใช้เวลามากพอสมควร เมื่อพบแล้วก็ใช่ว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของชีวิตตัวเองได้ ไม่เว้นแม้แต่ นุ้งนิ้ง-กนกรส กิตติขจร ทายาทอดีตนายทหาร-นักการเมืองดัง ที่ฝันอยากเป็นนักกีฬาไอซ์สเก็ตที่โด่งดัง หากแต่ชีวิตพลิกผัน หลังติดทีมชาติสร้างชื่อเสียงให้ประเทศได้เพียงไม่กี่ปี อุบัติเหตุเอ็นขาขาด ทำให้ต้องยุติการเป็นนักกีฬาไอซ์สเก็ตอย่างน่าเสียดาย
นุ้งนิ้ง-กนกรส เป็นลูกสาวคนเดียวของ พลตรีเกริกเกียรติ กับ นัฎฐา กิตติขจร และเป็นหลานปู่ของ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร และยังเป็นเหลนของ จอมพลถนอม กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร อีกด้วย
แม้จะเติบโตมาในครอบครัวนายทหาร และภูมิใจในที่มีสายเลือดทหารอยู่เต็มตัว แต่เธอไม่เคยนึกอยากสวมเครื่องแบบทหารตามคุณทวด คุณปู่ หรือคุณพ่อของเธอเลย เธอมีความเชื่อเสมอว่า การรับใช้และเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ สามารถทำได้หลายทาง เหมือนการเป็นนักกีฬาทีมชาติของเธอก็ทำได้เช่นกัน
นุ้งนิ้งเล่าย้อนถึงชีวิตวัยเด็กให้ฟังว่า หลังจากได้ไปดู ดิสนีย์ ออน ไอซ์ ก็หลงใหลและอยากเป็นเจ้าหญิงบนลานน้ำแข็ง จึงร่ำร้องบอกพ่อและแม่ให้พาไปเรียนเต้นบัลเลต์ “ตอนนั้นเด็กมาก เรียกชื่อไม่ถูก เลยถูกส่งไปเรียนยิมนาสติกและบัลเลต์ ปรากฏว่าเล่นแล้วมันฝืดๆ ไม่ลื่นเหมือนที่เห็นของ ดิสนีย์ ออน ไอซ์ จึงถามคุณครูถึงได้รู้ว่าเรียนผิด (หัวเราะ) ซึ่งคุณครูแนะนำให้เปลี่ยนไปเรียนสเก็ตน้ำแข็ง หรือ ฟิกเกอร์สเก็ต ปรากฏว่าโชคดีที่มีพื้นฐานบัลเลย์กับยิมนาสติกอยู่แล้ว พอไปเรียนจริงๆ ฝึกได้ 6 เดือนก็ถูกส่งไปแข่งสเก็ตน้ำแข็งที่ฮ่องกง ได้รับเหรียญทองกลับมา เลยได้เป็นนักกีฬาไอซ์สเก็ตทีมชาติไทย”
สำหรับ “ฟิกเกอร์สเก็ต” เป็นกีฬาที่ต้องผสมผสานความแข็งแกร่งของร่างกายเข้ากับความอ่อนช้อยสวยงามของศิลปะของบัลเลต์ ยิมนาสติก รวมไว้ด้วยกัน ทั้งหมดเมื่อผสมกันแล้วต้องกลมกลืนและลงตัว อย่างไรก็ตาม กีฬาชนิดนี้ถูกจัดให้เป็นกีฬาที่อันตรายที่สุด และมีลีลาที่สวยที่สุดเช่นกัน น่าเสียดายที่ในเมืองไทยกีฬาดังกล่าวกลับไม่ได้รับความนิยมมากนัก
นุ้งนิ้ง บอกว่า เสน่ห์ของกีฬาชนิดนี้ อยู่ที่การรวมเอาความแข็งแกร่งและความอ่อนช้อยเข้าด้วยกัน ยิ่งเมื่อใส่เสียงดนตรี เพิ่มลีลาการเต้น รวมถึงสีสันแฟชั่นเสื้อผ้าเข้าด้วยแล้ว ใครได้พบเห็นเป็นต้องหยุดชื่นชม
“เริ่มเล่นตอนปี 2004 อายุประมาณ 10 ขวบค่ะ ตอนหัดถ้าเทียบกับนักกีฬาคนอื่นๆ หนูอาจอายุมาก แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่หัดได้ เป็นกีฬาที่อาจจะน่ากลัวสำหรับคนดู แต่คนเล่นจะสนุกมาก ทุกครั้งที่อยู่บนลานน้ำแข็ง หนูมีความสุข ได้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก เหมือนตัวเองลอยอยู่บนสวรรค์” สาวนุ้งนิ้งเล่าถึงสัมผัสแรกและความรู้สึกบนลานสเก็ตน้ำแข็ง
หลังจากได้เป็นนักกีฬาทีมชาติเต็มตัวแล้ว ทุกวันหลังเลิกเรียนเธอจะทุ่มฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยตั้งเป้าหมายสูงสุดที่เหรียญทองโอลิมปิกฤดูหนาว (Winter Olympic Games) และเหรียญรางวัลสเก็ตลีลาชิงแชมป์โลก (World Figure Skating Championships) ซึ่งหากโชคชะตาไม่พลิกผัน เธอก็อาจจะทำได้ตามฝัน เพราะหลายรายการที่เธอผ่านการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไปแข่งขัน แต่ละครั้งก็สามารถทำเหรียญสร้างชื่อให้ประเทศได้ตลอด
การแข่งขันในทุกสนามมีความหมายกับเธอมาก เพราะนอกจากได้เป็นตัวแทนประเทศแล้ว ยังเป็นการสั่งสมประสบการณ์ ให้ได้เรียนรู้ถึงพัฒนาการของนักกีฬาชาติอื่นๆ อีกด้วย ส่วนการแข่งที่ประทับใจมากที่สุด ยกให้เป็นการแข่ง Skate Asia 2005 เพราะเธอบอกว่า แม้จะไม่ได้เหรียญทองตามที่หวัง แต่เหรียญเงินที่ได้รับในครั้งก็สร้างความภูมิใจให้เธอเป็นอย่างมาก
ชีวิตบนลานสเก็ตน้ำแข็งกำลังไปได้ด้วยดี แต่สุดท้ายก็ต้องมาสะดุดลง “ครั้งนั้นเจ็บขามากค่ะ และนักกีฬาที่ลงแข่งมีเป็นสิบคน พอกลับมาอาการเจ็บของเก่าเริ่มดีขึ้น ก็เริ่มฝึกอีกครั้ง ปรากฏโดนชนอย่างจังอีก ครั้งนี้เอ็นฉีกคุณหมอห้ามเล่น คือถ้าเล่นก็ไม่สามารถเล่นได้ดีเหมือนเดิม ก็เสียใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทำใจอยู่ระยะหนึ่ง ก็คิดว่าที่ผ่านมาก็ทำดีที่สุดแล้ว จึงตัดสินใจเลิกเล่นเด็ดขาด”
หลังหยุดเล่นก็พยายามที่จะหากีฬาอย่างอื่นเล่นแทน แต่ก็ไม่มีกีฬาชนิดใดมาทดแทน หรือเล่นแล้วมีความสุขเหมือนการเล่นไอซ์สเก็ต ดังนั้น สิ่งที่เธอฝันหลังจากนี้คือ เมื่อเรียนจบแล้วขาที่เคยบาดเจ็บก็คงดีขึ้น เมื่อนั้นเธอจะไปฝึกอีกครั้ง เพื่อกลับมาเป็นโค้ชหรือครูฝึกให้กับผู้ที่สนใจ “เด็กไทยรุ่นใหม่มีฝีมือมากค่ะ และหนูเชื่อว่ายังมีหลายคนที่อยากเล่นสเก็ตน้ำแข็ง แต่ติดปัญหาข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ทั้งสนาม อุปกรณ์ ตรงนี้ถ้ามีโอกาส หนูอยากมีสนามฝึกให้เขา หนูเชื่อว่าหากผู้ใหญ่ให้ความสำคัญกับกีฬาชนิดนี้ มีสนามให้เด็กได้ฝึก สักวันไทยต้องมีเหรียญโอลิมปิกฤดูหนาว หรือมีชื่อแชมป์โลกในกีฬาประเภทนี้ อย่างแน่นอน”
“นุ้งนิ้ง” ยังบอกเล่าถึงวันว่างในช่วงนี้ว่า ให้เวลากับการเรียนเต็มที่ ทุกเสาร์-อาทิตย์ จะไปทานข้าวกับคุณปู่ ซึ่งคุณปู่จะเล่าเรื่องราวการเป็นทหารในอดีตของคุณทวด คุณชวด รวมทั้งสอนให้เธอกับน้องชายให้ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “คุณปู่ไม่เคยบังคับให้ต้องเป็นทหารตามท่าน แต่จะสอนว่าเป็นลูกหลานทหารต้องเข้มแข็งและอดทนเสมอ ซึ่งหนูก็นำมาใช้ในทุกเวลาที่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อแท้ ทุกวันนี้แม้จะไม่มีโอกาสได้เป็นทหาร แต่หนูภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกหลานทหาร”
การสนทนากับนุ้งนิ้งในครั้งนี้ ทำให้เรานึกถึงประโยคหนึ่งว่า “ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากความสะดวกสบาย ความร่ำรวย หรือการยกย่องจากผู้อื่น แต่มาจากการกระทำบางอย่างที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่า” และนี่คือตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นพลังงานสำคัญในการขับเคลื่อนพลวัตของประเทศ ให้ไปสู่อนาคตที่สดใสน่าจับตามองคนหนึ่ง