>>สาวหล่อลูกครึ่งไทย-อเมริกัน ผู้บริหารคนเก่งของบริษัท บีฮิบ บริษัทอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพที่กำลังมาแรงในบ้านเรา “แลท-เลลาณี เจียรวนนท์” คนนี้เป็นทายาทของตระกูลดังอันดับท็อปของเมืองไทย และเป็นพี่สาวสุดที่รักของ “ลี-นาตาลี เจียรวนนท์” นักแสดงสาวที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี
เลลาณี จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโททางด้าน Education Management ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย หลังจากเรียนจบเธอกลับมาเปิด “นารา” บริษัทเรือสำราญเช่าเหมาลำที่ภูเก็ต ซึ่งถือเป็นการก้าวเดินที่กล้าหาญมาก เพราะเธอไม่ได้มีพื้นฐานความรู้เรื่องธุรกิจเรือมาก่อน
“แลทชอบไปเที่ยวทะเล แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดคลั่งไคล้ แบบดำน้ำ ขับเรือ อะไรขนาดนั้น แต่ที่เลือกทำธุรกิจนี้เพราะตอนนั้นคิดว่าอยากทำอะไรที่มันแตกต่าง แล้วก็ไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ ก็เลยต้องมาเริ่มจากศูนย์เลย ศึกษาเรื่องเรือ เรื่องตลาดท่องเที่ยวใหม่หมด ซึ่งทุกอย่างดูจะไปได้สวย แต่แล้วก็กลับมาเกิดเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ขึ้น และทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก เธอกลับมากรุงเทพฯ เนื่องจากทางครอบครัวเป็นห่วง และปล่อยเรือให้คนอื่นเช่าดำเนินธุรกิจต่อ ส่วนตัวเธอนั้นมาบุกเบิกธุรกิจใหม่เป็นร้านอาหารจีนสไตล์ฟาสต์ฟูดในนาม “Red Duck” เป็นอาหารจีนสไตล์เหลาในราคาย่อมเยา เน้นให้บริการความอร่อยกับคนรุ่นใหม่
“ถือเป็นการเรียนรู้ใหม่อีกก้าวกับธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งทำอยู่หลายปีเหมือนกันจนรู้สึกอิ่มตัว ประกอบกับการท่องเที่ยวภูเก็ตก็กลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ ก็เลยกลับไปทำบริษัทเรือต่ออีกประมาณ 4 ปี จนธุรกิจประสบความสำเร็จและมีคนติดต่อขอซื้อต่อกิจการ จึงย้ายกลับกรุงเทพฯ และได้โอกาสร่วมงานกับบริษัท บีฮิบ ไทยแลนด์ บริษัทขายตรงอาหารเสริม ผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพ ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO ต้องดูแลบริหารพนักงานพร้อมตัวแทนรวมแล้วกว่า 5,000 คน”
นับเป็นการสวนทางกันไม่น้อย เพราะในขณะที่คนสวนใหญ่เริ่มจากการเป็นลูกจ้างก่อนจะออกไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่สาวแลทเธอเริ่มจากการเป็นเจ้าของกิจการก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นพนักงานบริษัท
“ตั้งแต่จบมาก็เลยตัดสินใจทำธุรกิจของตัวเองเลย ซึ่งต้องขอบคุณที่บ้านมากเลย ที่ให้อิสระ และสนับสนุนทุกการตัดสินใจ อย่างคุณพ่อนี่ส่งเสริมเลยแหละ เขาอยากให้เรียนรู้ประสบการณ์เยอะๆ โดยท่านกล่าวว่า ให้คิดว่ามันคือ ปริญญาเอก คือแม้จะไม่ได้ลงสมัครเรียน แต่การที่เราทำธุรกิจนี้มันคือการเรียนอย่างหนึ่ง ได้ประสบการณ์จริง ถ้าประสบความสำเร็จก็นับเป็นกำไรชีวิต แต่ถ้าไม่ ก็ถือเสียว่าเป็นค่าเล่าเรียน และสอนด้วยว่าอย่าไปมองตรงจุดว่า ต้องทำแล้วได้กำไรเท่านั้นเท่านี้ แต่ให้มองลงไปถึงสิ่งที่เราได้รับ ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเก็บไว้ใช้ในอนาคตได้ ซึ่งมีค่ากว่าเงินหลายเท่านัก...
ต้องขอขอบคุณคำสอนนี้มาก เพราะการที่แลทได้รับเลือกเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่สูงขนาดนี้ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ นั่นเพราะเขาเห็นว่าเรามีประสบการณ์ทำธุรกิจ สามารถดูแลกิจการ มีวิสัยทัศน์ของการเป็นผู้บริหาร ดำเนินการบริษัทได้ ซึ่งแลทจะไม่มีคุณสมบัติเหล่านี้เลย ถ้าแลทเริ่มจากการเป็นพนักงานเหมือนคนทั่วไป”
การผันตัวจากนายจ้างมาเป็นลูกจ้าง ที่ดูขัดจากแนวคิดการอยากเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีมาตั้งแต่เด็กของเลลาณี เกิดจากความอยากเรียนรู้ และการมองหาประสบการณ์ที่หลากหลาย “แลทชอบลองอะไรใหม่ๆ หลังจากทำธุรกิจของตัวเองมา 2 อย่างแล้ว เข้าใจการเป็นเจ้าของแล้ว แต่มันเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้เราอยากสัมผัสกับการทำงานขององค์กรขนาดใหญ่บ้าง มันเป็นอีกความท้าทายหนึ่ง
โชคดีที่ทางบริษัทบีฮิบ เขากำลังเปลี่ยนทีมผู้บริหารของประเทศไทยทั้งหมด เราเลยได้เข้ามารับผิดชอบตรงนี้ และเริ่มสร้างทีมใหม่ ได้เรียนรู้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น และได้เข้าใจการทำงานขององค์กรที่มีพนักงานหลักพัน มีแผนกต่างๆ และระบบระเบียบการทำงานมากมาย อย่างที่แลทไม่เคยเจอมาก่อน
ที่สำคัญเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ใกล้ชิดกับคนเก่งๆ อย่างบรรดาเจ้านายใหญ่ที่อยู่ในต่างประเทศซึ่งแต่ละคนล้วนเก่งกาจเป็นผู้บริหารระดับโลก เราได้เรียนรู้ว่าการที่เขาทำธุรกิจได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น เขามีวิธีคิด วิธีทำอย่างไร อย่างเวลาเราเสนอแนวคิด เขาจะมีมุมมองและคำคอมเมนต์ที่ทำให้เรารู้สึก …ว้าว! อยู่ตลอด ด้วยประสบการณ์ที่มากล้นทำให้เขามีความคิดที่แตกต่างและการมองที่ลึกซึ้งและแตกฉาน การได้ร่วมงานกับเขาทำให้แลทได้ความรู้มากมายที่เป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจของตัวเองในอนาคต”
ตามธรรมเนียมของตระกูลนักธุรกิจ เรามักจะเห็นลูกหลานทำงานในกิจการของครอบครัวเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับทายาทเจียรวนนท์คนนี้ เธอบอกว่า “ตระกูลเจียรวนนท์เป็นครอบครัวใหญ่ ลูกหลานมากมาย ธุรกิจของครอบครัวก็มี พี่ๆ ญาติๆ ช่วยกันดูแลเยอะแล้ว ตัวแลทเองไม่เคยโดนที่บ้านบังคับนะว่าต้องกลับไปช่วยธุรกิจ เขาให้อิสระเราตัดสินใจเอง คือ ถ้าอยากเข้าไปทำ เอ่ยปากบอกเขาก็คงหาตำแหน่งให้ได้แหละ แต่แลทไม่ชอบอย่างนั้น ถ้าแลทจะเข้าไปทำ อยากไปเพราะความสามารถ เราต้องเก่งกาจหรือมีความชำนาญเพียงพอถึงขั้นที่เขาต้องการอยากได้ตัวเราไปช่วยทำประโยชน์ให้บริษัท ให้ทุกคนยอมรับ ไม่ใช่แค่ว่าเข้าได้เพราะเป็นลูกหลาน และตอนนี้ความเหมาะสมหรือประสบการณ์ของแลทยังไม่มากพอ ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยค่ะ”
หลังจากรู้เรื่องการทำงานของเธอแล้ว ก็มาถึงเรื่องราวด้านอื่นๆ ของชีวิตสาวหล่อมาดเท่คนนี้กันบ้าง ซึ่งเธอบอกว่าแม้จะเป็นพี่น้องสาว 3 ใบเถา แต่เธอและพี่สาวกับน้องสาวมีนิสัยและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันอย่างมาก “พี่สาวแลททำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนน้องสาว (นาตาลี นักแสดงสาว) ก็อย่างที่เห็น เขาสนุกสนานกับวงการบันเทิง เล่นละคร แล้วก็ทำรายการโทรทัศน์ มีความสุขกับการกินอาหารอร่อยๆ และท่องเที่ยว เขาไปต่างประเทศบ่อยมาก ไปทำงานบ้างเที่ยวบ้างมีทริปทุกเดือนเลย
แต่ตัวแลทเองไม่ค่อยเที่ยวบ่อย เพราะแลทชอบความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เดินทาง แบบอารมณ์ดีใจที่จะได้หยุด ได้เที่ยวแล้ว ซึ่งถ้าไปบ่อยๆ แบบทุกเดือน ความรู้สึกพิเศษตรงนี้มันจะหายไป ยังเคยถามลีเลยว่า เที่ยวบ่อยขนาดนี้ เวลาไปมันยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่อีกเหรอ(หัวเราะ)”
นอกจากความถี่ในการเดินทางที่ต่างกันแล้ว สไตล์การเที่ยวของพี่น้องคู่นี้ก็ยังต่างกันแบบสุดขั้วอีกด้วย โดยขณะที่สาวห้าวแบบเลลาณี ชอบเที่ยวแบบสบายๆ ตามอารมณ์ ชนิดเก็บกระเป๋าซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วออกตะลุยแบบไม่มีแผนการ น้องสาวของเธอกับเป็นผู้ยิ้งผู้หญิง ชนิดทุกอย่างต้องเป๊ะ มีตารางละเอียดยิบราวกับรายการของบริษัททัวร์เลยทีเดียว
“เวลาไปไหนกับลีนี่แลทไม่ต้องทำอะไรเลยนะ ลีจัดการให้หมด มีตารางเวลามาเลยว่าวันไหน ไปไหน กินร้านไหน ซึ่งถ้าไม่ทำตามแผนนี่ งานน้ำตาอาจมาได้ อย่างวันนี้กินอิ่มแล้วอ่ะ ร้านนี้ไม่กินได้ไหม เอาไว้กินพรุ่งนี้แทน ลีจะแบบไม่ได้นะ เพราะพรุ่งนี้เขาจัดตารางร้านอื่นไว้แล้ว ก็ต้องเอาใจเขาหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะงอน ก็ตามสไตล์น้องคนเล็กสุดของบ้านแหละ”
การพักผ่อนของสาวแลทจากการทำงานหนัก นอกจากการเดินทางท่องเที่ยวแล้ว การสังสรรค์ในช่วงเย็นกับกลุ่มเพื่อนๆ ก็เป็นอีกกิจกรรมผ่อนคลายของเธอ “แลทมีเพื่อนกลุ่มใหญ่มากราว 20 คนได้ พอตกเย็นก็จะติดต่อกันแล้วว่าวันนี้ไปไหน ไปนั่งร้านไหนดี ชอบร้านบรรยากาศสบายๆ นั่งคุย โดยปกติจะชอบอยู่แถวทองหล่อ ร้านเยอะ แล้วก็ใกล้บ้าน แต่สำหรับช่วงอากาศดีๆ แบบนี้จะชอบไปนั่งริมน้ำกันเป็นพิเศษ แต่ก่อนจะแบบเน้นแดนซ์บ้าง ร้านแบบสนุกๆ แต่ตอนนี้เริ่มแก่แล้ว เน้นที่ชิลมากกว่า แล้วก็นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ปรึกษากันเรื่องงานบ้าง เรื่องธุรกิจบ้าง”
อีกกิจกรรมสุดโปดรของสาวแลทตอนนี้ คือการแต่งบ้าน โดยเธอกำลังทำบ้านใหม่ของตัวเองซึ่งมีแผนจะย้ายออกไปจากบ้านของครอบครัวไปอยู่เองในช่วงกลางปีนี้ “ทำนานมากค่ะ 2 ปีแล้วยังแต่งไม่เสร็จสักที เพราะแลทแต่งเองหมด ค่อยๆ หาซื้อเฟอร์นิเจอร์ ของประดับที่ถูกใจเข้าไป แนวคือแบบดิบๆ ปูนเปลือย อินดัสเตรียลหน่อยๆ ซึ่งมันเข้ากับของสะสมแลทได้ดี อย่างพวกของวินเทจ เครื่องโลหะ ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่แลทซื้อมาจากตลาดมือสองที่ต่างประเทศ
ที่แต่งนานแล้วไม่เสร็จสักทีเนี่ย เพราะเวลาแลทไปชอปของเข้าบ้าน จะไม่ใช่พวกแนวเช็กลิสต์มองหาว่าวันนี้ต้องได้โคมไฟ หรือวันนี้มาดูตู้นะ แต่จะเป็นเดินดูไปเรื่อยๆ เจออันไหนถูกใจก็ค่อยตัดสินใจ แล้วก็ใช้เวลาในการพิจารณาไม่รีบร้อนซื้อ มันเลยไม่เสร็จสักที(หัวเราะ)”
เธอบอกว่าแต่ก่อนเธอไม่ได้ชอปปิ้งของแบบนี้นะ แต่เป็นพวกชอบอะไรก็ลุยเลย ซื้อเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์ชีวิต ก็สอนให้รู้จักใจเย็นและรอเวลา “เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นสิ่งช่วยสอน จากที่เคยใจร้อน เร่งรีบลงมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำธุรกิจหรือการซื้อของ ตอนนี้แลทจะคิดให้ดี ดูให้รอบด้าน พิจารณาอย่างละเอียด แล้วค่อยตัดสินใจ ป้องกันการผิดพลาด เพราะเราเคยผ่านบทเรียนมา
ยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ เลย เวลาเห็นโซฟาสวย ซื้อทันที แล้วเกิดผ่านไปเจออันที่สวยกว่า โดนใจกว่า ก็เสียดายแล้ว เพราะไอ้อันที่ซื้อมาจะไปวางตรงไหน จะซื้อใหม่ก็ไม่ใช่เรื่อง เลยกลายเป็นต้องปล่อยของที่ถูกใจมากกว่าไป เพราะตัดสินใจเร็วเกิน...
ดังนั้นทุกวันนี้จะคิด จะทำอะไร แลทจะใจเย็นและก็พิจารณาให้ดีๆ ก่อนเสมอค่ะ”
แฟชั่นสไตล์แลท
“เชิ้ต กางเกง แจ็กเกต สูท นี่เป็นยูนิฟอร์มของแลทเลย เพราะเราทำงานในตำแหน่งนี้ก็เลยต้องแต่งให้สุภาพหน่อย แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสนะ วันไหนไม่ต้องทางการนักก็มีใส่ยีนส์บ้าง โดยปกติจะไม่ใช่คนแฟชั่นจ้า ก็มีเปิดนิตยสารผู้ชายดูเทรนด์บ้าง ว่าทรงไหน สีไหนกำลังมา แล้วก็มาปรับใช้ เพราะแลทจะมีแนวที่ชอบของตัวเอง จะเน้นตามอัปเดตสินค้าของแบรนด์โปรดมากกว่า
โดยแบรนด์หลักที่ใช้บ่อยๆ ช่วงนี้ คือ Kenzo ชอบเพราะเสื้อผ้าเขาสวย คัตติ้งดี ส่วนเครื่องประดับคือ Chromeheart พวกสร้อย แหวนเงินวงใหญ่ๆ ลวดลายสวยๆ และแบรนด์ประจำที่ขาดไม่ได้คือ Lanvin en blue แบรนด์ย่อยของ Lanvin ที่วางขายเฉพาะที่ญี่ปุ่น เสื้อผ้าผู้ชายเขาดีไซน์ได้สวยมาก คือเรียบๆ แต่ดูมีรายละเอียด และที่สำคัญคือไซส์พอดีกับตัวแลทเลย ทุกครั้งที่ไปญี่ปุ่นก็ต้องไปหอบกลับมา
โดยปกติถ้าแลทซื้อพวกแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชาย ถ้าขนาดพอดีตัว ชายเสื้อก็อาจจะยาวไป หรือความยาวได้แต่ไหล่ตก มันไม่เข้ากับสรีระของเรา แต่ของแบรนด์นี้เหมือนมันเป็นไซส์คนเอเชีย ที่ไม่ว่ารุ่นไหน คอลเลกชันไหนก็มักจะพอดีกับแลท ไม่มีผิดหวังเลย” :: Text by FLASH
Special Thanks : โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2610-9678 ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ