คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
น่าอัศจรรย์นะ..ในความเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นมีความสามารถที่จะทำอะไรได้มากมาย นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกในขณะนี้ วันนี้
ก็เมื่อวานนี้ฉันยังรู้สึกเหนื่อยหน่าย และปวดกระดูกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด แค่คิดว่าจะขับรถจากบ้านไปโรงหล่อเพียงเจ็ดสิบแปดสิบกิโลฉันก็ท้อเอาเสียแล้ว
ติดแต่นัดไว้และผลัดและเลื่อนมาถึงสองครั้งแล้ว เมื่อวานฉันจึงออกไปจากบ้านแต่เช้าตรู่ เอากับข้าวของแม่ที่ทำใส่ปิ่นโตไว้ไปทำบุญที่วัดแล้วก็ขับรถเรื่อยเลยไป
ไปถึงโรงหล่อฉันนั่งทำงานอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวและลมแรง ขี้ผึ้งแข็งง่ายมากในอากาศเช่นนี้ซึ่งจะว่าไปก็เป็นการดี ดีกว่าอากาศร้อนๆ ในเดือนเมษามากมายนักที่ขี้ผึ้งจะเหลวนิ่มปั้นเป็นทรงแล้วก็ล้มหรืออ่อนปวกเปียกแตะนิดแตะหน่อยหนักมือไปก็เสียรูปเสียทรงของงาน จนต้องคอยหยิบขี้ผึ้งสีดำๆ นัั้นเพื่อแช่น้ำรักษารูปทรง
ฉันนั่งทำงานแต่งขี้ผึ้งไปอย่างแสนจะเหนื่อยหน่าย มันเกิดขึ้นจากอะไรมือและตาทำงานไปใจฉันก็ใคร่ครวญ สองสามวันนี้ฉันกลับมาเหนื่อยอีกแล้ว ยิ่งตอนก่อนเข้านอนเวลาง่วงนั้นไม่อยากจะทำอะไรอีกเลยนอกจากความรู้สึกว่าอยู่ตรงไหนก็อยากแต่จะล้มตัวนอนมันลงไปตรงนั้น นอกจากเหนื่อยแล้วก็ยังมีอาการปวดตามเนื้อตามตัว ปวดกระดูกให้ทั่วไปหมด
ฉันใคร่ครวญแล้วพยายามตั้งตัวตรงทำงานแต่งขี้ผึ้งต่อไป ฉันหายใจเข้าออกลึกๆ ซึ่งถ้าหากเป็นที่บ้านฉันคงล้มตัวลงนอนไปเสียแล้ว
ในท่ามกลางกายใจที่เหนื่อยและทดท้อนั้น ฉันก็พยายามนึกถึงเหตุผลของการมาที่นี่ แล้วพยายามลงมือปฏิบัติคือทำงานข้างหน้าให้ดำเนินไป อย่างที่ฉันควรจะต้องทำ
จากตอนแรกคิดว่าจะต้องเสร็จหมดทุกชิ้นภายในวันนี้แล้วไม่ต้องเดินทางมาอีก ก็ให้มีอันเปลี่ยนไป ฉันแต่งขี้ผึ้งไปได้เพียงสามชิ้นเท่านั้นเอง
ในระหว่างเวลาพักกลางวันฉันออกไปทานข้าว ได้มีอาจารย์ที่ทำงานประติมากรรมอีกท่านหนึ่งซึ่งฉันเพิ่งได้รับการแนะนำให้รู้จัก และได้ออกไปทานข้าวด้วยกัน ในระหว่างเวลาอาหารฉันฟังท่านพูดคุยด้วยท่าทางเป็นกันเองและสบายๆ ทั้งยังมีเรื่องให้ชวนขำหัวเราะขึ้นได้ในเวลานั้น ทำให้ตอนบ่ายเมื่อฉันกลับมานั่งทำงานอีกฉันจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ยิ่งฉันได้แอบไปเห็นผลงานประติมากรรมของอาจารย์ท่านนั้นเข้าด้วยแล้ว ยังทำให้เกิดความชื่นชม งานและตัวบุคคลคนที่เพิ่งได้พบช่วยฉุดฉันออกมาจากวังวนของความเหนื่อยหน่ายกายใจได้ดีพอสมควรทีเดียว
เหมือนกับฉันอยู่ในที่กันดารและแห้งแล้ง เพียงแค่เห็นภาพสวนและต้นไม้อันสดชื่น แม้ไกลโพ้น ก็ทำให้เกิดพลังใจได้ขึ้นมาอย่างนั้น
ฉันจดจ่อทำงานได้จนหมดเวลางาน เมื่อเสียงกริ่งบอกหมดเวลาทำงาน เหล่าพนักงานก็เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ปัดกวาดโต๊ะและเก้าอี้นั่่ง ที่ผ่านการทำงานมาแล้วทั้งวัน ฉันอยู่กับวันเวลาที่ฉันเบื่อหน่ายและร่างกายก็ไม่สบาย ผ่านมาได้อีกวันหนึ่ง ครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่ได้ย่อท้อหรือละทิ้งงานกลับบ้านไปเสียก่อน
ฉันพยายามคิดในแง่บวกเพื่อให้เกิดกำลังใจกับตัวเอง
ในระหว่างกลับบ้านฉันได้รับรู้จากมิตรรักผู้หนึ่งว่าเขาป่วยและไม่สบายขึ้นมากระทันหัน ในท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ อันที่จริงนั้นฉันเตรียมจะหลุดปากบอกมิตรรักผู้นั้นไปว่า
"โอ นี่!!! วันนี้ฉันเหนื่อยและไม่สบายเหลือเกินแล้ว" แต่เมื่อฉันได้ยินทางโน้นได้เอ่ยถึงความป่วยอันกระทันหันมาเสียก่อนความรู้สึกอ่อนแอของฉันก็ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในทันที และฉันกลับดึงเอาส่วนเสี้ยวของความเข้มแข็งภายในจิตใจตัวเองออกมาเพื่อให้กำลังใจต่อมิตรรักที่ ได้บอกกล่าวอาการของเขา มาได้เป็นอย่างดี และฉันก็รู้สึกว่า ตัวเองกลับมาเข้มแข็งมีพลังกลับมาในแบบที่ฉันเคยเป็น เมื่อฉันเข้านอนคืนนั้นก็หลับอย่างสนิท
เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาฉันพบเช้าวันใหม่ที่มีอากาศหนาวแต่แสนสดชื่นแบบปนไปด้วยลมหลังฤดูฝนอย่างไรอย่างนั้น จนฉันไม่อยากอยู่ในบ้าน เวลาอากาศดีๆ ทีไรฉันอยากออกไปตลาดเช้าไปเดินดูชีวิตยามเช้าเมื่อนั้น
ที่ตลาด เหล่าพระเณรออกเดินบิณฑบาตร
ปลาช่อนนาตัวยังไม่โตเบียดเสียดกันอยู่แน่นในกะละมัง
ฉันได้เริ่มวันใหม่ด้วยการตักบาตรทำบุญและซื้อปลาไปปล่อยลงในแม่น้ำ
หลายวันก่อนฉันนั่งทำงานติดๆ กันหลายวันตั้งแต่เช้ายันดึก จึงส่งผลให้กายปวดเมื่อยเหนื่อยล้า และเมื่อวานนี้ยังเดินทางไปทำงานที่ข้างนอกบ้านอีก จนฉันรู้สึกตัวว่าไม่สบาย และพาลเหนื่อยหน่ายจนแอบคิดไปเรื่อยเปื่อยถึงคำว่า "หมดไฟ"
กระทั่้งได้พบศิลปินอาจารย์ที่น่าเคารพทั้งตัวและผลงานท่านหนึ่งแค่นั่งคุยเพียงมื้ออาหารเดียวก็ฉุดทำให้ฉันเกิดมีพลังใจขึ้น
จนกระทั่งเมื่อมิตรรักของฉันได้เอ่ยปากถึงความเจ็บไขัไม่สบายขึ้นมา ก็ทำให้ฉันซึ่งกำลังเหนื่อยล้าและก็กำลังจะเอ่ยบอกถึงความเหนื่อยล้าของตัวเองออกไป ได้ทันยั้งปากยั้งใจไว้ก่อน และได้ทำหน้าที่ของการเป็นผู้ให้กำลังใจเพื่อนอันเป็นที่รักผู้นั้นกลับไปด้วยความใส่ใจ ปรารถนาที่จะให้เขามีกำลังใจ
ฉันจึงค้นพบความลับของจิตใจที่พอจะอฺธิบายออกมาได้ว่า เมื่อเรามีความรักต่อสิ่งใดคนใดและเมื่อสิ่งอันเป็นที่รักของเรานั้นอ่อนแอ เราจะมีพลังบางอย่างมาฉุดดึงและป้องปักเขา และพลังอันนั้นก็จะดึงเราที่กำลังอ่อนแอหรือเจ็บไข้ไม่สบาย ให้ดีขึ้นไปด้วย
เรื่องเล่าในตอนนี้ของฉันจึงมีแต่อยากจะบอกเพียงเท่านี้เอง คือบอกว่าให้เรามีใจรักต่อสรรพสิ่งหรือสิ่งใดอย่างแท้จริงสักอย่าง ความเกื้อกูลของเราต่อสิ่งที่เรารักนั้น จะมีพลังมีอารมณ์ที่ส่งผลสะท้อนดึงตัวเราที่กำลังท้อถอยหรืออยากจะทรุดนั่งให้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
จะว่าเป็นการบริหารจิตใจหรือไม่ฉันก็ไม่รู้ ฉันแค่พบมันโดยบังเอิญกับตัวเอง จึงเอามาฝากมาเล่าก็เท่านั้นเอง
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
น่าอัศจรรย์นะ..ในความเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์นั้นมีความสามารถที่จะทำอะไรได้มากมาย นี่คือสิ่งที่ฉันรู้สึกในขณะนี้ วันนี้
ก็เมื่อวานนี้ฉันยังรู้สึกเหนื่อยหน่าย และปวดกระดูกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด แค่คิดว่าจะขับรถจากบ้านไปโรงหล่อเพียงเจ็ดสิบแปดสิบกิโลฉันก็ท้อเอาเสียแล้ว
ติดแต่นัดไว้และผลัดและเลื่อนมาถึงสองครั้งแล้ว เมื่อวานฉันจึงออกไปจากบ้านแต่เช้าตรู่ เอากับข้าวของแม่ที่ทำใส่ปิ่นโตไว้ไปทำบุญที่วัดแล้วก็ขับรถเรื่อยเลยไป
ไปถึงโรงหล่อฉันนั่งทำงานอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวและลมแรง ขี้ผึ้งแข็งง่ายมากในอากาศเช่นนี้ซึ่งจะว่าไปก็เป็นการดี ดีกว่าอากาศร้อนๆ ในเดือนเมษามากมายนักที่ขี้ผึ้งจะเหลวนิ่มปั้นเป็นทรงแล้วก็ล้มหรืออ่อนปวกเปียกแตะนิดแตะหน่อยหนักมือไปก็เสียรูปเสียทรงของงาน จนต้องคอยหยิบขี้ผึ้งสีดำๆ นัั้นเพื่อแช่น้ำรักษารูปทรง
ฉันนั่งทำงานแต่งขี้ผึ้งไปอย่างแสนจะเหนื่อยหน่าย มันเกิดขึ้นจากอะไรมือและตาทำงานไปใจฉันก็ใคร่ครวญ สองสามวันนี้ฉันกลับมาเหนื่อยอีกแล้ว ยิ่งตอนก่อนเข้านอนเวลาง่วงนั้นไม่อยากจะทำอะไรอีกเลยนอกจากความรู้สึกว่าอยู่ตรงไหนก็อยากแต่จะล้มตัวนอนมันลงไปตรงนั้น นอกจากเหนื่อยแล้วก็ยังมีอาการปวดตามเนื้อตามตัว ปวดกระดูกให้ทั่วไปหมด
ฉันใคร่ครวญแล้วพยายามตั้งตัวตรงทำงานแต่งขี้ผึ้งต่อไป ฉันหายใจเข้าออกลึกๆ ซึ่งถ้าหากเป็นที่บ้านฉันคงล้มตัวลงนอนไปเสียแล้ว
ในท่ามกลางกายใจที่เหนื่อยและทดท้อนั้น ฉันก็พยายามนึกถึงเหตุผลของการมาที่นี่ แล้วพยายามลงมือปฏิบัติคือทำงานข้างหน้าให้ดำเนินไป อย่างที่ฉันควรจะต้องทำ
จากตอนแรกคิดว่าจะต้องเสร็จหมดทุกชิ้นภายในวันนี้แล้วไม่ต้องเดินทางมาอีก ก็ให้มีอันเปลี่ยนไป ฉันแต่งขี้ผึ้งไปได้เพียงสามชิ้นเท่านั้นเอง
ในระหว่างเวลาพักกลางวันฉันออกไปทานข้าว ได้มีอาจารย์ที่ทำงานประติมากรรมอีกท่านหนึ่งซึ่งฉันเพิ่งได้รับการแนะนำให้รู้จัก และได้ออกไปทานข้าวด้วยกัน ในระหว่างเวลาอาหารฉันฟังท่านพูดคุยด้วยท่าทางเป็นกันเองและสบายๆ ทั้งยังมีเรื่องให้ชวนขำหัวเราะขึ้นได้ในเวลานั้น ทำให้ตอนบ่ายเมื่อฉันกลับมานั่งทำงานอีกฉันจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ยิ่งฉันได้แอบไปเห็นผลงานประติมากรรมของอาจารย์ท่านนั้นเข้าด้วยแล้ว ยังทำให้เกิดความชื่นชม งานและตัวบุคคลคนที่เพิ่งได้พบช่วยฉุดฉันออกมาจากวังวนของความเหนื่อยหน่ายกายใจได้ดีพอสมควรทีเดียว
เหมือนกับฉันอยู่ในที่กันดารและแห้งแล้ง เพียงแค่เห็นภาพสวนและต้นไม้อันสดชื่น แม้ไกลโพ้น ก็ทำให้เกิดพลังใจได้ขึ้นมาอย่างนั้น
ฉันจดจ่อทำงานได้จนหมดเวลางาน เมื่อเสียงกริ่งบอกหมดเวลาทำงาน เหล่าพนักงานก็เก็บเครื่องมือเครื่องใช้ปัดกวาดโต๊ะและเก้าอี้นั่่ง ที่ผ่านการทำงานมาแล้วทั้งวัน ฉันอยู่กับวันเวลาที่ฉันเบื่อหน่ายและร่างกายก็ไม่สบาย ผ่านมาได้อีกวันหนึ่ง ครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่ได้ย่อท้อหรือละทิ้งงานกลับบ้านไปเสียก่อน
ฉันพยายามคิดในแง่บวกเพื่อให้เกิดกำลังใจกับตัวเอง
ในระหว่างกลับบ้านฉันได้รับรู้จากมิตรรักผู้หนึ่งว่าเขาป่วยและไม่สบายขึ้นมากระทันหัน ในท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ อันที่จริงนั้นฉันเตรียมจะหลุดปากบอกมิตรรักผู้นั้นไปว่า
"โอ นี่!!! วันนี้ฉันเหนื่อยและไม่สบายเหลือเกินแล้ว" แต่เมื่อฉันได้ยินทางโน้นได้เอ่ยถึงความป่วยอันกระทันหันมาเสียก่อนความรู้สึกอ่อนแอของฉันก็ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในทันที และฉันกลับดึงเอาส่วนเสี้ยวของความเข้มแข็งภายในจิตใจตัวเองออกมาเพื่อให้กำลังใจต่อมิตรรักที่ ได้บอกกล่าวอาการของเขา มาได้เป็นอย่างดี และฉันก็รู้สึกว่า ตัวเองกลับมาเข้มแข็งมีพลังกลับมาในแบบที่ฉันเคยเป็น เมื่อฉันเข้านอนคืนนั้นก็หลับอย่างสนิท
เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาฉันพบเช้าวันใหม่ที่มีอากาศหนาวแต่แสนสดชื่นแบบปนไปด้วยลมหลังฤดูฝนอย่างไรอย่างนั้น จนฉันไม่อยากอยู่ในบ้าน เวลาอากาศดีๆ ทีไรฉันอยากออกไปตลาดเช้าไปเดินดูชีวิตยามเช้าเมื่อนั้น
ที่ตลาด เหล่าพระเณรออกเดินบิณฑบาตร
ปลาช่อนนาตัวยังไม่โตเบียดเสียดกันอยู่แน่นในกะละมัง
ฉันได้เริ่มวันใหม่ด้วยการตักบาตรทำบุญและซื้อปลาไปปล่อยลงในแม่น้ำ
หลายวันก่อนฉันนั่งทำงานติดๆ กันหลายวันตั้งแต่เช้ายันดึก จึงส่งผลให้กายปวดเมื่อยเหนื่อยล้า และเมื่อวานนี้ยังเดินทางไปทำงานที่ข้างนอกบ้านอีก จนฉันรู้สึกตัวว่าไม่สบาย และพาลเหนื่อยหน่ายจนแอบคิดไปเรื่อยเปื่อยถึงคำว่า "หมดไฟ"
กระทั่้งได้พบศิลปินอาจารย์ที่น่าเคารพทั้งตัวและผลงานท่านหนึ่งแค่นั่งคุยเพียงมื้ออาหารเดียวก็ฉุดทำให้ฉันเกิดมีพลังใจขึ้น
จนกระทั่งเมื่อมิตรรักของฉันได้เอ่ยปากถึงความเจ็บไขัไม่สบายขึ้นมา ก็ทำให้ฉันซึ่งกำลังเหนื่อยล้าและก็กำลังจะเอ่ยบอกถึงความเหนื่อยล้าของตัวเองออกไป ได้ทันยั้งปากยั้งใจไว้ก่อน และได้ทำหน้าที่ของการเป็นผู้ให้กำลังใจเพื่อนอันเป็นที่รักผู้นั้นกลับไปด้วยความใส่ใจ ปรารถนาที่จะให้เขามีกำลังใจ
ฉันจึงค้นพบความลับของจิตใจที่พอจะอฺธิบายออกมาได้ว่า เมื่อเรามีความรักต่อสิ่งใดคนใดและเมื่อสิ่งอันเป็นที่รักของเรานั้นอ่อนแอ เราจะมีพลังบางอย่างมาฉุดดึงและป้องปักเขา และพลังอันนั้นก็จะดึงเราที่กำลังอ่อนแอหรือเจ็บไข้ไม่สบาย ให้ดีขึ้นไปด้วย
เรื่องเล่าในตอนนี้ของฉันจึงมีแต่อยากจะบอกเพียงเท่านี้เอง คือบอกว่าให้เรามีใจรักต่อสรรพสิ่งหรือสิ่งใดอย่างแท้จริงสักอย่าง ความเกื้อกูลของเราต่อสิ่งที่เรารักนั้น จะมีพลังมีอารมณ์ที่ส่งผลสะท้อนดึงตัวเราที่กำลังท้อถอยหรืออยากจะทรุดนั่งให้ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
จะว่าเป็นการบริหารจิตใจหรือไม่ฉันก็ไม่รู้ ฉันแค่พบมันโดยบังเอิญกับตัวเอง จึงเอามาฝากมาเล่าก็เท่านั้นเอง
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews