“ลายสัก” ถือได้ว่าเป็นงานศิลปะที่มีความสวยงาม ละเอียด อ่อนช้อย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขณะเดียวกัน ทุกฝีเข็มที่สักลงไปบนผิวหนัง ยังแสดงออกถึงความแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยวของผู้ถูกสัก เพราะรอยสักจะติดตัวไปจนวันสุดท้ายของชีวิต เหมือนกับชีวิตของ ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์ ที่บอกกับเราว่า รอยสักนั้นเป็นนิยามของความมีอิสระเสรี การเลือกใช้ชีวิตแบบอิสระตามใจของตัวเอง แต่ก็ไม่เคยลืมจิตวิญญาณที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีของครอบครัว ดังนั้น เขาจึงเลือกเก็บเรื่องราวชีวิตตัวเองไว้บนเรือนร่าง ผ่านงานศิลปะรอยสัก เอาไว้รำลึกถึงสิ่งดีๆ ที่ได้รับ และใช้เป็นแรงกระตุ้นสร้างพลังในการที่จะทำวันต่อไปให้ดีขึ้นอีกด้วย
ป๊อก-ภัสสรกรณ์ ลูกชายคนเล็กของ สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ กับ อาภัสรา หงสกุล ถ้านับต่อจาก สุทธิเกียรติ ผู้เป็นบิดาแล้ว ป๊อกก็ถือเป็นทายาทรุ่น 3 ที่จะต้องมาสืบทอดธุรกิจของตระกูล คือ ธุรกิจโรงแรมและค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทย แม้จะยังไม่ได้เข้ามาช่วยงานในตระกูลอย่างเต็มที่ แต่ “ป๊อก” ก็ได้เลือดของการเป็นทายาทจิราธิวัฒน์ไว้เต็มตัว
จากผลงานที่โดดเด่น บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาและความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้เราสนใจที่จะทำความรู้จักตัวตนของเขาอย่างจริงจัง ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้เราต้องผิดหวัง เพราะในวันที่งานรัดตัว ทั้งธุรกิจ ดนตรี และการเรียนที่เข้มข้น “ป๊อก” ก็ยังปลีกตัวหลบมุมมาคุยกับเราที่ ซิงค์ เบเกอรี่ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ อย่างเป็นกันเอง
ป๊อกเริ่มต้นการสนทนาด้วยการย้อนอดีตของเขา ในช่วงที่ถูกส่งตัวไปเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่ Lawrence Academy สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่อายุ 14 จากนั้นก็เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ ม.นอร์ธอีสเทิร์น นิวยอร์ก ก่อนจะบินกลับมาศึกษาปริญญาโท ที่ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
แม้ว่าครอบครัวจะไม่เคยกำหนดว่า จะต้องมารับช่วงสืบทอดงานของตระกูล แต่การปลูกฝังให้ลูกหลานทุกคนต้องเข้ามาสัมผัสการทำธุรกิจของเซ็นทรัล ถือเป็นธรรมเนียมของตระกูล “จิราธิวัฒน์” ดังนั้น “ป๊อก” ก็เหมือนทุกคนในตระกูล ที่ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปทำงานที่โรงแรมเกือบทุกวันหลังเลิกเรียน ที่นั่นทำให้เขาได้เห็นภาพของพ่อที่ทำงานอย่างหนัก จนเขาซึมซับและเรียนรู้เรื่องการติดต่อการค้าโดยปริยาย
ป๊อกยอมรับว่า เขาโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวที่ดี การศึกษาที่ดี ทุกอย่างที่ทางบ้านปูทางให้ดีหมด ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจทำทุกอย่างไม่ให้พ่อ-แม่และคนในครอบครัวต้องผิดหวัง
“ผมอยากจะทำอะไรที่มีคุณค่าและเป็นผลงานของตัวเอง จึงเริ่มทำอะไรที่หลากหลาย เพราะคิดว่าหากเกิดมาแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย ก็เสียชาติเกิด เราควรใช้โอกาสนี้ทำอะไรให้ดีขึ้น อย่างคนที่เขาไม่มีอะไรเลย หรือไม่มีอะไรที่สนับสนุนเขา บางคนก็ประสบความสำเร็จได้ แล้วทำไมเราทำไม่ได้ ถ้าไม่ทำตอนนี้ก็คิดว่าเราใช้ชีวิตไม่คุ้ม"
เมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำทันที ป๊อกสะท้อนความคิดตัวเองโดยนำเงินก้อนแรกในชีวิต ที่ได้จากการลงทุนเล่นหุ้นมาทำธุรกิจส่วนตัว โดยเปิดขายแบรนด์เสื้อผ้า แบบมิดไฮสตรีทแวร์ "pistol" รวมถึงเปิดร้านเสื้อผ้า บูทีค ซีเล็กเต็ด ไอเท็ม ที่รวบรวมแบรนด์ต่างๆ ในชื่อ Bloc และโปรเจกต์ล่าสุดคือผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม E-drink
“งานทุกชิ้นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำ โชคดีตอนที่กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ได้มีโอกาสเข้าไปช่วยงานที่บางกอกโพสต์ ซึ่งเป็นของครอบครัว ตรงนั้นทำให้ผมได้เรียนรู้งานทุกอย่าง ได้เข้าใจธุรกิจเกือบทุกประเภท พอมาทำเองก็ไม่ยากนัก ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจหรือมีปัญหาผมจะปรึกษาคุณพ่อ คุณพ่อจะไม่บอกตรงๆ แต่แนะนำว่าทำไมไม่ลองทำอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ผมได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ตรงนี้เป็นสิ่งท้าทายและตื่นเต้นตลอดเวลา”
นอกจากธุรกิจการค้าที่ลงทุนเองแล้ว "ดนตรี" ก็เป็นอีกสิ่งที่ป๊อกให้ความสำคัญ ป๊อกบอกว่าเริ่มเล่นดนตรีมาตั้งแต่ 6 ขวบ แต่เล่นจริงจังมาตั้งแต่อายุ 17 เริ่มต้นจากทำเพลงเก็บไว้ฟังเอง ก่อนส่งต่อให้เพื่อนและคนรอบข้างฟัง จนได้รับการทาบทามจากค่าย ไทเทเนียม เอนเตอร์เทนเมนต์ ให้เป็นศิลปินเดี่ยวที่ร้องและแต่งเพลงเองในชื่อ mindset
ในวัย 27 ปี ป๊อกยอมรับว่า ปี 2557 ที่ผ่านมา เป็นปีที่เขาเหนื่อยมาก เพราะนอกจากธุรกิจ และงานดนตรีที่ทำประจำแล้ว เขายังต้องเรียนอย่างหนัก เพื่อนำปริญญาโทมาเป็นของขวัญให้พ่อกับแม่ “หนักจริงๆ ครับ ถึงจะแบ่งเวลาลงตัว แต่บางครั้งต้องเล่นคอนเสิร์ตถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่ง เช้ามาก็ต้องไปเรียน เสร็จแล้วต้องทำงานต่อ พ่อก็บ่นว่าจะทำไปทำไม ซึ่งผมก็อธิบายว่า ดนตรีเป็นงานอดิเรกที่ทำแล้วมีความสุข พ่อกับแม่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพียงแค่ไม่อยากให้ยึดเป็นอาชีพหลักในชีวิตเท่านั้นเอง"
แม้จะเหนื่อยกาย แต่ไม่เคยเหนื่อยใจ ป๊อกยังบอกทุกครั้งที่มีปัญหาเรื่องงานเขาจะปรึกษาพ่อ ส่วนปัญหาจุกจิกจะปรึกษาแม่ แต่ถ้างานรัดตัว ยังไม่สามารถพบพ่อกับแม่ได้ เขาเลือกที่จะก้มมอง “รอยสัก” บนตัวเพื่อระลึกถึงเรื่องราวตัวเองนับแต่เด็ก ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกมีพลังและกำลังใจขึ้นทันที
ป๊อกบอกว่า “รอยสัก” บนเรือนร่างเป็นงานศิลปะที่เขาชื่นชอบมากที่สุด เพราะสวยงาม ลบไม่ได้ ต้องอยู่ติดตัวตลอดไป ดังนั้น เรื่องราวชีวิตของเขาที่ควรบันทึกชีวิตไว้ในไดอารี่ จึงถูกหยิบมาบันทึกไว้บนร่างกายแทน ไม่ว่าจะเป็นเวลาเกิด ราศีเกิด นามสกุลภาษาจีน รวมทั้งรูปคุณพ่อ-คุณแม่
“ตอนแรกที่สักมา คุณพ่อก็ไม่ชอบนัก ผมก็อธิบายเหตุผลให้ฟัง คุณพ่อก็เข้าใจ ยิ่งคุณพ่อได้เห็นรูปตัวเองที่ผมสักไว้ ก็ตื่นเต้นมากกว่าผมอีก เวลาไปงาน เจอเพื่อนที่ไหนต้องบอกให้ผมเปิดเสื้อโชว์รอยสักรูปคุณพ่อตลอด (หัวเราะ) รูปคุณพ่อผมสักไว้ด้านข้างใกล้กับหัวใจ ส่วนรูปคุณแม่สักที่กลางหลัง เป็นรูปสมัยคุณแม่ได้ตำแหน่งนางงามจักรวาลมีมงกุฎ ซึ่งเป็นส่วนที่มิสเตอร์การ์ตูน (ช่างสัก) บอกว่าสักยากมากที่สุด แต่ทุกฝีเข็มต้องให้ละเอียดมาก”
หนุ่มร่างใหญ่ราวนายแบบหุ่นสมาร์ทคนนี้ยังบอกอีกว่า เรื่องราวดีๆ ที่อยากสักยังมีอีกมากมาย หากแต่เขาขอหยุดการสักร่างกายไว้แค่หน้าอก แผ่นหลัง และแขนซ้ายเท่านั้น ส่วนพื้นที่ที่เหลืออยู่คือแขนและอกด้านขวานั้น เขาขอเก็บให้เป็นพื้นที่ของลูกและภรรยาผู้เป็นแม่ของลูก “ผมยังไม่รู้ว่าจะเป็นใคร หน้าอย่างไร เพราะเป็นเรื่องของอนาคต พื้นที่ตรงนี้ก็เลยขอเก็บไว้ก่อนครับ”
ความหลากหลายเรื่องราวของหนุ่มป๊อก ทำให้เราอดถามไม่ได้ว่า มีอะไรในอนาคตที่อยากทำอีก ทายาทเจ้าสัวคนนี้ตอบพร้อมรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกายว่า อยากเปิดร้านสัก เพราะเป็นอีกหนึ่งความสุขที่ได้เห็นศิลปะที่งดงามแขนงนี้ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่สำคัญ ตอนนี้อยากทำทุกด้านให้ดีที่สุด และเมื่อทุกอย่างที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เขาก็เหมือนนกที่พร้อมจะกลับไปช่วยพ่อสืบทอดกิจการของครอบครัวอย่างแน่นอน