>>ยังคงอยู่ในบรรยากาศความอบอุ่นของวันพ่อแห่งชาติ Celeb Online ได้รับเกียรติจากสองพ่อลูกครอบครัว "มหาดำรงค์กุล" ที่ใครเห็นเป็นต้องอิจฉา นอกจากการทำธุรกิจโรงแรมอย่าง Swissotel le Concorde และการเป็นผู้นำเข้านาฬิกาชื่อดัง “ศรีทองพาณิชย์” คุณกฤษฏา มหาดำรงค์กุล ยังมีวิธีสอนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนให้เจริญรอยตามความสำเร็จ ทั้งยังมอบคติชีวิตจากพ่อสู่ลูก กฤษฏา-ศรินญา มหาดำรงค์กุล
ไม่แน่ใจว่าเพราะเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวหรือเปล่า จึงส่งให้ “ริน-ศรินญา มหาดำรงค์กุล” สาวน้อยบุคลิกอ่อนหวาน ทายาทผู้นำเข้านาฬิกาชื่อดัง “ศรีทองพาณิชย์” เป็นสาวขาลุยสู้งาน ใฝ่เรียนรู้ ยึดมั่นในความรับผิดชอบ โดยหลังจากสำเร็จหลักสูตรปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจด้านการโรงแรมที่ Les Roches International School of Hotel Management ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เธอก็ขวนขวายหาเส้นทางของตัวเองจนปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ ซึ่งส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้เป็นอย่างทุกวันนี้ ล้วนมาจากเบ้าหลอมชั้นดีอย่างคุณพ่อกฤษฏาแทบทั้งสิ้น
ปลูกฝังรู้จักหน้าที่ ให้อิสระตัดสินใจ
การสนทนาระหว่างคู่พ่อลูก เริ่มขึ้นอย่างเป็นกันเอง โดยคุณพ่อกฤษฏาย้อนไปถึงเมื่อครั้งรินเกิด เนื่องจากเป็นลูกคนแรกของครอบครัว คนในบ้านจึงออกอาการเห่อทั้งคุณย่า คุณยาย คุณแม่ รวมไปถึงคุณพ่อด้วย แม้จะแอบดื้อเล็กๆ ตามประสาเมื่อย่างสู่วัยรุ่น แต่ไม่เคยทำให้คุณพ่อหนักใจ เพราะเป็นเด็กรู้หน้าที่ อันเกิดจากการปลูกฝังทีละเล็กละน้อยโดยไม่รู้ตัวภายในครอบครัวแสนอบอุ่นนี้
“ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวริน คือเขาซึมซับไปเอง พ่อว่าเด็กสมัยนี้จี้มากๆ ไม่ได้ เขาไม่ชอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำตามกฎ ถ้าไม่ทำตามกฎก็คือคุณผิด จะบอกว่าไม่ชอบไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องจิตใต้สำนึกต้องบอกตัวเองได้ว่าสิ่งนี้ “ผิด” หรือ “ถูก” และถ้า “ผิด” ผิดมากแค่ไหน ผิดจนต้องตักเตือนหรือเปล่า” คุณพ่อกฤษฏา เกริ่นกฏเหล็กในการเลี้ยงลูก
“ที่บ้านค่อนข้างให้อิสระรินเยอะ แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้หน้าที่และรับผิดชอบ สมัยเรียนหนังสือ รินมีเที่ยวบ้าง เล่นบ้าง แต่ไม่เคยให้มากระทบการเรียน พอเรียนจบเราก็ทำงานเลย ไม่เคยเที่ยวจนเสีย การที่เราทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าเรารู้หน้าที่ของตัวเอง ท่านก็จะไว้ใจให้เราตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง อีกอย่างคือคุณพ่อเป็นคนไม่พูดเยอะ คือผิดจริงๆ แล้วค่อยมาว่า อาจเพราะคุณพ่อเป็นคนพูดน้อยด้วย เวลาคุณพ่อเตือนลูกๆ ในบ้านจึงค่อนข้างเกรง (และกลัว) แต่ถ้าเป็นคุณแม่จะเป็นสไตล์ผู้หญิงก็จะบ่นจนบางทีเราไม่ค่อยเชื่อ (หัวเราะ)” รินเริ่มต้นพูดถึงคุณพ่อด้วยน้ำเสียงสดใส
การเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการสั่งสอนเป็นคำพูดตรงๆ แต่เกิดจากการซึมซับ โดยเฉพาะจากอาหารมื้อครอบครัวที่บ้านมหาดำรงค์กุลปฏิบัติเหมือนเป็นธรรมเนียม ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ น้องชาย น้องสาว รวมถึงตัวริน จะมานั่งล้อมวงทานมื้อเที่ยงวันเสาร์แลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันแทบทุกสัปดาห์ ถือเป็นช่วงเวลาครอบครัวที่คุณพ่อกฤษฏาถือโอกาสใช้เวลานี้แนะนำการใช้ชีวิต จากปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตลูกสาว
“สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากการซึมซับจากการที่น้องรินเห็นคุณพ่อคุณแม่เจรจาธุรกิจ เวลาพ่อคุยงานในรถ และจากผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพวกเรา บางทีเราเจอคนที่ดูเหมือนน่าจะดี แต่จริงๆ อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ ซึ่งรินค่อยๆ เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ขนาดที่พ่อก็ไม่รู้ตัว แต่พ่อจะบอกรินเสมอว่า คนเรามีจังหวะชีวิต คนที่ไม่เคยมีปัญหาในชีวิตเลยไม่มีหรอก ฉะนั้นรินต้องตระหนักว่าชีวิตคนไม่มีอะไรแน่นอน มีขึ้นได้ก็มีลงได้ สบายมาก” คุณพ่อกฤษฏากล่าว
“สิ่งที่รินสัมผัสได้ คือ คุณพ่อเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาก อาจเพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นนักธุรกิจ เราก็จะเห็นภาพเขาออกไปทำงานตั้งแต่เด็ก ทำให้เราไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวงานหนัก อยากจะเก่งเหมือนคุณพ่อ ยิ่งรินมีชีวิตการทำงานยิ่งเรียนรู้เรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งก็จะได้คุณพ่อช่วยแนะนำ อีกสิ่งหนึ่งที่ได้จากคุณพ่อเต็มๆ คือเรื่องระเบียนวินัย เรียกว่าเป็นคาแรกเตอร์ของคุณพ่อเลย เพราะขนาดรินเคยอยู่โรงเรียนประจำกลับไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไร (หัวเราะ) กลับกันคุณพ่อจะเป็นคนเก็บของทุกอย่างเป็นระเบียบ คือข้าวของคุณพ่อเยอะนะ ไหนจะโมเดลรถยนต์สะสม โมเดลประกอบ แต่คุณพ่อจะรู้หมดว่าอะไรอยู่ตรงไหน” ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนพูดถึงคุณพ่ออย่างชื่นชมแบบแอบมีเมาท์เล็กๆ
แมน ออฟ เดอะ เฮาส์
ไม่เพียงแต่ “ความมีระเบียบ” เท่านั้น ความเป็นผู้ชายของบ้าน เป็นผู้ชายของครอบครัว และเป็นที่พึ่งพาได้ ก็เป็นอีกหนึ่งภาพจำของรินที่เธอมองเห็นอยู่ในตัวของคุณพ่อของเธอนับตั้งแต่จำความได้
“ลูกสาวคนนี้ถือว่าสนิทระดับหนึ่ง แต่เป็นธรรมดาสำหรับเด็กผู้หญิงที่จะสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ แต่อะไรที่เป็นความถนัดของผู้ชาย อะไรที่เป็นเทคนิเคิล เช่น เรื่องรถ เรื่องเครื่องยนต์ รินก็จะมาขอคำปรึกษาจากพ่อ” คุณพ่อกฤษฏาเล่า ก่อนที่ลูกสาวจะรีบเสริมว่า “อย่างเวลารถเสีย คนแรกที่โทรศัพท์หาคือคุณพ่อ ไม่โทรศัพท์หาช่างนะ (หัวเราะ) เมื่อก่อนช่วงที่รินเริ่มหัดขับรถใหม่ๆ ก็ได้คุณพ่อคอยเป็นเทรนเนอร์ให้ อาจเป็นเพราะว่าส่วนตัวคุณพ่อชอบเล่นและสะสมรถด้วย ดังนั้น อะไรที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์ คุณพ่อให้คำแนะนำได้หมด ตั้งแต่แอร์เสีย เปลี่ยนหลอดไฟ ยางแตก คือเป็นผู้ชายของบ้าน ของครอบครัวจริงๆ” รินเล่าถึงความน่ารักของคุณพ่อ พร้อมชี้ให้ดูโมเดลรถยนต์สะสมและโรงรถที่คุณพ่อของเธอมักหมกตัวอยู่ในนั้นได้ทั้งวันอย่างไม่รู้จักเบื่อ
สแกนหนุ่มๆ แบบไม้นวม
สำหรับคุณพ่อที่มีลูกสาวน่ารัก น่าทะนุถนอม แถมช่างเจรจาเช่นนี้ แน่นอนว่าหัวกระไดบ้านไม่เคยแห้ง เรียกว่ามีหนุ่มๆ กล้าตายทยอยมาขายขนมจีบตั้งแต่รินเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย ประเด็นที่อดถามไม่ได้ คือ คุณพ่อกฤษฏามีวิธีรับมืออย่างไร
“ช่วงนั้นพ่อก็ตื่นๆ อยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) เพราะมีหนุ่มๆ ตามมากับลูกสาวเราถึงที่บ้าน แต่เรื่องแบบนี้ก็ต้องมีกันทุกบ้านแต่ละคนก็รับไม่เหมือนกัน แต่เราเลี้ยงลูกมารู้ดีว่าลูกเราเป็นคนอย่างไร จึงค่อนข้างเชื่อใจว่าลูกเราไม่เหลวไหล” พูดจบประโยคไม่ทันไร น้องรินก็เสริมต่อว่า “คุณพ่อใช้วิธีมาเตือนทีหลังมากกว่า คือจะไปโหดต่อหน้านี่ไม่มี (หัวเราะ) ส่วนใหญ่รินจะพามาให้เห็นตัวเลย แล้วคุณพ่อจะมาคอมเมนต์ทีหลังว่าคนนี้เป็นอย่างไร คือเวลาพาเพื่อนมาบ้าน คุณพ่อไม่เคยว่า ลึกๆ แล้วคุณพ่อคงอยากให้มาที่บ้านมากกว่า เพราะอยู่ในสายตาของคุณพ่อคุณแม่ด้วย”
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
ความเป็นทายาทคนโต หลายๆ บ้านอาจคาดหวังให้ต้องมาดูแลธุรกิจของครอบครัว แต่สำหรับคุณพ่อกฤษฏากลับมองต่างออกไป โดยเทียบกับชีวิตของตัวเอง เพราะสมัยยังหนุ่มก็ไม่ได้เข้ามาดูแลธุรกิจที่บ้าน แต่กลับออกไปหางานของตัวเองก่อน พอมองกลับมาที่ลูกสาวก็อยากเปิดโอกาสให้เลือกทางเดินของตัวเอง
“It’s your choice ถ้าเขาเลือกแล้ว เขาไปได้ดีกว่า แล้วจะกลับมาทำไม ส่วนตัวคิดแบบนี้นะ เพราะเขาเท่านั้นที่จะรู้ดีว่าจะเดินไปทางไหนเราเปิดโอกาสให้เขาเลือกคณะ ให้การศึกษาแล้ว เราก็ควรเปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ชีวิต คือนกมันต้องบิน แล้วบังเอิญว่าพ่อเองเคยใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตั้งแต่อายุยังน้อยเราก็อยากให้ลูกของเราออกไปหาประสบการณ์เองก่อน อาจจะติดสไตล์เลี้ยงลูกแบบฝรั่งนิดหนึ่ง คือเราเป็นคนให้ลูกรู้จักคิดเองวางแผนเอง นี่คือสิ่งที่อยากจะให้ลูกได้ เพราะถ้าทำแบบนี้ได้ ไม่ว่าอะไรผ่านเข้ามาในชีวิต เขาก็จะแก้ปัญหาได้ คือพ่อให้ความสำคัญว่าคนเราต้องมีจินตนาการ เพราะจินตนาการช่วยแก้ปัญหาชีวิตได้”
ในทางกลับกันรินเองเคยเอ่ยกับคุณพ่อคุณแม่มาก่อนว่า ถ้าให้กลับมาช่วยดูแลธุรกิจครอบครัวตอนนี้ก็คงไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น สู้ออกไปหาประสบการณ์จากข้างนอกก่อนดีกว่า ส่วนหนึ่งที่คิดเช่นนั้นเพราะรินมองคุณพ่อเหมือนเป็นไอดอลในการทำงานคนหนึ่ง
“ที่ผ่านมาคุณพ่อคุณแม่เจอปัญหาในชีวิต แต่ท่านไม่เคยยอมแพ้และกลับมาได้ทุกครั้ง จึงเป็นมุมการทำงานที่ทำให้เราประทับใจ เราก็อยากเป็นแบบนั้น เพราะเหมือนอย่างที่คุณพ่อบอกคนเรามีขึ้นได้ก็มีลงได้ อย่าไปยึดติดกับอะไร ไม่ใช่ว่าเราตั้งความหวังสูงแล้วผิดหวังไม่ได้ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่รินเอามาใช้กับตัวเองเยอะ”
กิจกรรมระหว่างพ่อ-ลูกสาว
เมื่อยึดแนวทางให้จินตนาการนำทางชีวิต หนทางหนึ่งที่คุณพ่อกฤษฏาเลือกเอามาใช้ฝึกจินตนาการลูกสาวคนนี้ คือการอ่านหนังสือ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นกิจกรรมหนึ่งในสองอย่างที่พ่อลูกคู่นี้เอนจอยเหมือนกัน นอกเหนือจากการเลี้ยงสุนัข
“ปกติคุณพ่อชอบเล่นรถ แต่กิจกรรมที่เราชอบและทำร่วมกัน คือ เลี้ยงหมา รินและคุณพ่อเป็นคนรักสัตว์ เมื่อก่อนบ้านเราเลี้ยงหมาเยอะมาก ราวๆ 10-20 ตัว แต่ตอนนี้ไม่ได้เยอะขนาดนั้นแล้ว อาจเพราะบ้านเราอยู่ใกล้วัดด้วย บางทีจะมีคนเอาหมามาปล่อย บางรายถึงกับทิ้งหมาไว้หน้าบ้านเราและกดออดเรียกเลย ก็จะมีคุณพ่อและรินที่ช่วยกันดูแล หาข้าวให้กิน พาไปหาหมอ กระเตงไปแต่ละทีเยอะแยะไปหมด มันเหมือนเลี้ยงลูกอีกเซตเลย ฉะนั้นสุนัขในบ้านหลังนี้จะค่อนข้างติดคุณพ่อและริน”
“อีกอย่างหนึ่งที่เราชอบเหมือนกัน คือการอ่านหนังสือ เมื่อก่อนตอนรินยังเรียนหนังสืออยู่จะเดินงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ไปร้านหนังสือเก่าที่จตุจักรกับคุณพ่อด้วยกัน จริงๆ เป็นกิจกรรมที่ชอบกันทั้งบ้าน แต่คุณแม่จะชอบอ่านนิยาย คุณพ่อชอบอ่านสารคดี ประวัติศาสตร์ รินก็จะชอบเอาหนังสือคุณพ่อมาอ่าน เพราะมีแต่หนังสือแนวแปลกๆ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ไทยโบราณไปจนถึงหนังสือผี จนบางทีเราก็แปลกใจนี่หนังสืออะไร แต่ก็ทำให้เราสนใจ อ่านแล้วรู้สึกสนุกดี” รินกล่าวทิ้งท้าย :: Text by FLASH