>>เนื่องด้วยเดือนธันวาคมนี้มีวาระสำคัญอย่างวันพ่อแห่งชาติ จึงเป็นโอกาสดีที่ Celeb Online ได้รับเกียรติจากครอบครัวจิรมณีกุล สละเวลาว่างยามบ่ายวันอาทิตย์เปิดบ้านหลังงามย่านทองหล่อเพื่อนั่งพูดคุยถึงความผูกพันในครอบครัวของคุณพ่อและลูกๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความไว้ใจ และพร้อมจะให้อิสระกับทุกย่างก้าวของชีวิต
แม้ครอบครัวจิรมณีกุลจะเป็นเจ้าของกิจการหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจเครื่องประดับจิวเวลรีในนาม S.T. Diamond, ธุรกิจนำเข้านาฬิกาแบรนด์ดัง S.T. Dimension, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแมนชั่นและบ้านพักให้เช่า แต่ “คุณสุทิน จิรมณีกุล” คุณพ่อนักธุรกิจคนเก่งก็ไม่เคยกดดันให้ลูกๆ ต้องเข้ามาสานต่อกิจการ หรือลิขิตเส้นทางเดินในอนาคตของลูกๆ แต่อย่างใด
ให้อิสระลูกในทุกทางเลือกของชีวิต
ตอนนี้มีลูกชายคนกลาง หรือ “เคน-ณัฐภัทร จิรมณีกุล” (ที่วันนี้ติดธุระจึงไม่สามารถมาร่วมถ่ายคอลัมน์ในวันนี้ได้) เพียงคนเดียว รับหน้าที่ดูแลกิจการในส่วนของธุรกิจนาฬิกา ส่วนอีก 1 สาว และ 1 หนุ่ม กำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานในฐานะลูกจ้าง และสนุกสนานกับความท้าทายในการพิสูจน์ตัวเองกับการร่วมงานในองค์กรใหญ่ระดับท็อปของประเทศ
โดยลูกสาวคนโต “มิ้นท์-อรรถวดี จิรมณีกุล” ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการกลุ่มประชาสัมพันธ์บริษัท เดอะ ไมเนอร์ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ส่วน “หนุ่มคิด-คงภัทร จิรมณีกุล” ลูกชายคนเล็กก็ทำงานอยู่ในฝ่ายวิเคราะห์และพัฒนาของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
“นี่มันสมัยใหม่แล้วไม่ใช่สมัยก่อนที่จะมาชี้นิ้วให้ลูกเรียนนั่น ทำนี่ จบแล้วต้องกลับมาทำงานกับครอบครัว ผมไม่เคยบังคับลูกๆ ไม่เคยกดดันว่าต้องกลับมาทำธุรกิจของครอบครัว ถ้าเขาสนใจจะทำก็ดี แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่บังคับ เพราะบางทีเขาอาจไปเจออะไรที่ดีกว่าเราก็ต้องปล่อยให้เขาไป ผมไม่เคยกลัวเลยว่าธุรกิจที่เราทำ อนาคตจะไม่มีใครสานต่อ เพราะผมว่าชีวิตลูก และความสุขสำคัญที่สุด เขาอยากทำอะไร ทำแล้วมีความสุขก็ทำไป...
ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องงาน ตั้งแต่เด็กแล้ว ผมจะปล่อยให้เขามีความคิดเป็นของตัวเองมาโดยตลอด อย่างตอนส่งไปเรียนต่างประเทศก็ถามความสมัครใจว่าอยากไปหรือไม่ อยากเรียนอะไร ทุกอย่างคือมาจากการตัดสินใจของเขาเองหมด ไม่เคยมีข้อห้าม หรือกฎระเบียบ แต่ก็โชคดีที่ลูกๆ น่ารักทุกคน ไม่เคยทำอะไรให้ต้องเป็นห่วง หรือหนักใจเลย” คุณสุทินกล่าว
ส่วนลูกสาวคนโตแสดงความคิดเห็นว่า “มิ้นท์ว่าการเลี้ยงแบบนี้ดีนะ เหมาะกับสไตล์มิ้นท์ที่ไม่ชอบให้คนมากำหนดชีวิตอะไรมาก ยิ่งถ้ามาบังคับมิ้นท์ว่ายิ่งทำให้เรากดดันมากขึ้น แต่พอเขาให้อิสระ มันทำให้เรายิ่งต้องเกรงใจในความไว้วางใจที่เขามอบให้ แล้วเราก็อยากรักษาตรงนี้ไว้ เราก็อยากทำตัวดีๆ ให้เขาเห็นว่า เรามีความรับผิดชอบ เราดูแลตัวเองได้”
คงภัทรช่วยเสริมว่า “คุณพ่อให้อิสระจริงๆ ครับ ไม่เคยบังคับอะไรเลย ท่านให้ความเชื่อใจเรา ให้ความไว้วางใจว่าเราจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ท่านจะคอยดูและให้คำแนะนำอยู่ห่างๆ คือไม่ได้เข้ามากำหนดชีวิตเรา แต่รู้ว่าหันไปเมื่อไรก็เจอท่านที่คอยมองและห่วงใยเราเสมอ คอยสนับสนุนดูแลอยู่ แต่ไม่เคยมาบังคับหรือชี้นำ ไม่เคยบอกเลยว่าต้องกลับมาทำงาน ต้องทำธุรกิจครอบครัว
แต่ถึงแม้ท่านจะไม่เคยคาดหวัง แต่สุดท้ายแล้วผมก็ตั้งใจจะกลับไปดูแลกิจการของครอบครัวครับ แต่ตอนนี้ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกบ้านก่อน เพราะธุรกิจครอบครัวเราคุณพ่อทุ่มเททำมาหลายสิบปี ถ้าจะให้ทิ้งไป ไม่ดูแลสานต่อมันก็น่าเสียดาย ยิ่งสมัยนี้การไปเริ่มอะไรจากศูนย์นี่มันยาก การที่เรามีต้นทุน มีรากฐานที่มั่นคง ก็ควรจะหันมาพัฒนาให้มันเติบโตขึ้นดีกว่า”
พิสูจน์ตัวเองในฐานะลูกจ้าง
พูดถึงการเข้าไปเป็นพนักงานบริษัทพร้อมกับนามสกุลจิรมณีกุล เป็นธรรมดาที่พนักงานหลายๆ คนจะมองพวกเขาด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
“ก่อนจะได้ร่วมงานกัน ทุกคนเคยเห็นมิ้นท์ผ่านทางสื่อ เป็นนักร้องบ้าง สาวสังคมบ้าง มันทำให้เขามีภาพลักษณ์ที่ตั้งไว้ในใจอย่างหนึ่ง บางคนอาจจะตั้งแง่ไว้ก่อนเลยว่าต้องคุณหนูแน่นอน ต้องหยิ่ง เยอะ เรื่องมาก และเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
แต่จริงๆ แล้วมิ้นท์เป็นคนติดดิน แล้วก็ลุยๆ ไม่เคยเลยที่จะทำตัวเป็นคุณหนู เราทำงานเต็มที่ กินอยู่ก็ง่าย ไปทำงานวันแรกก็ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นและร้านส้มตำหน้าบริษัทแล้ว เขาก็แอบเซอร์ไพรส์ว่าเรากินร้านข้างถนนได้ด้วยเหรอ... แต่หารู้ไม่ว่า ส้มตำปลาร้านี่แหละเมนูโปรดของมิ้นท์เลยทีเดียว (หัวเราะ)
หลายคนพูดเลยว่า ไม่คิดว่าตัวจริงมิ้นท์จะเป็นคนเรียบง่ายแบบนี้ พอเขาเห็นเราตั้งใจทำงานจริงๆ ไม่ได้ทำตัวแตกต่างจากคนอื่น เขาก็เปิดใจยอมรับเรา ก็เลยทำงานร่วมกันได้ดี ทีมงานน่ารักทุกคน เลยร่วมงานกันได้อย่างมีความสุข”
“ผมก็เจอประสบการณ์เดียวกับพี่มิ้นท์ คือก่อนเข้าไปทำงาน พอได้ยินนามสกุลผม ก็คิดไปล่วงหน้าแล้วว่า เราต้องทำตัวไฮโซ ต้องเป็นลูกคุณหนูแน่นอน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ติดภาพอย่างนั้น แต่แค่ไม่เกินสัปดาห์ผมก็แสดงให้เขาเห็นแล้วว่าที่เขาคิดมันไม่จริง
ด้วยความที่ผมเป็นผมแบบนี้ เป็นคนกันเอง ง่ายๆ แล้วก็ไม่ได้วัดค่าของคนที่เงิน ผมปฏิบัติกับทุกคนเท่าเทียม ผมถอดหมวกทุกอย่างออก ไม่ได้ว่าใครนามสกุลอะไร จบมาจากไหน ทุกคนต่างก็เป็นพนักงานคนหนึ่ง มีสิทธิเท่าเทียมกันหมด เราเข้าไปเพื่อทำงาน อะไรไม่รู้ก็ถามรุ่นพี่ ทำตัวนอบน้อม ทำให้เขาเอ็นดู พอเริ่มงานไปเพียงไม่กี่วัน ทุกคนก็ให้การเปิดใจยอมรับเรา กำแพงที่เขาเคยตั้งมันก็ถูกทำลายลงไป” หนุ่มคงภัทรกล่าว
คุณสุทินกล่าวเสริมว่า “พ่อจะสอนเขาเสมอว่าให้ตั้งใจทำงาน ให้ขยันเรียนรู้ให้มากที่สุด มันเป็นประสบการณ์ชีวิตของเรา ที่สำคัญคือต้องอดทนและซื่อสัตย์ ทุกคนที่ทำงานกับเรา เขาจะรับรู้ได้เอง ว่าเราเป็นคนทำงานจริง ตั้งใจจริง”
ต้นแบบการทำงาน
ด้วยคำสอนของคุณพ่อที่ปลูกฝังให้ตั้งใจทำงาน และการเห็นตัวอย่างการทำงานอย่างทุ่มเทของคุณพ่อและคุณแม่เป็นแบบอย่าง จึงไม่น่าแปลกใจว่าลูกๆ ทุกคนของครอบครัวจิรมณีกุลจะเป็น Workaholic ขนาดหนัก
“บ้านนี้ทุกคนทำงานจริงจังมากค่ะ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต มิ้นท์เห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานหนักมาโดยตลอด อย่างช่วงประถมพอเลิกเรียน มิ้นท์ก็ไปหาคุณพ่อคุณแม่ที่ร้าน ไปวิ่งเล่นอยู่หลังร้าน เห็นเขาทำงานไม่ได้หยุดหย่อน ที่สำคัญคือ มิ้นท์ไม่เคยได้ยินท่านพูดว่าเหนื่อยเลยสักคำ คือเรารู้ว่าท่านเองก็คงเหนื่อยแหละ เพียงแต่ไม่เคยปริปากบ่น ตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด จุดนี้แหละเป็นสิ่งที่มิ้นท์ประทับใจมาก
ยิ่งเมื่อเทียบกับคนยุคใหม่นี่ ที่ทำนิดทำหน่อย เดี๋ยวบ่นละ โอ๊ย...เหนื่อย คือตั้งใจทำงานก็จริง แต่ก็บ่นไปด้วย ขณะที่คนรุ่นก่อนนี่เขาอดทน ขยันขันแข็ง มีวินัย มีความเพียรกว่าเราเยอะ เราถึงไม่เคยได้ยินเขาพูดคำนี้ มิ้นท์ก็ตั้งใจว่าอยากทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง ตั้งใจและอดทนให้ได้อย่างท่าน”
ด้าน หนุ่มคิด คงภัทร นอกจากจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแล้ว ยังมุ่งมั่นกับการใช้ชีวิตพนักงานบริษัทแบบเต็มที่ โดยเขาเล่าให้เราฟังว่า ตั้งแต่ทำงานมา 3 ปีนี่แทบไม่ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหนเลย
“อย่างที่รู้แหละครับ เป็นพนักงานเงินเดือนวันหยุดมันมีไม่มาก จะไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องรอวันหยุดเทศกาล หรือไม่ได้วันลาพักร้อนที่เก็บสะสม ซึ่งผมไม่ค่อยชอบไปเที่ยวหน้าเทศกาล และยิ่งพอเราทำงานมาหนัก พอมีเวลาหยุดหรือลา ก็อยากจะพักผ่อน เลยไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวยาวๆ มานานแล้ว
แต่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะรู้สึกว่าช่วงเวลานี้ของชีวิตคือช่วงที่ควรทำงานให้เต็มที่ ผมเคยอ่านคำพูดของ “บิล เกตส์” ที่บอกว่าช่วงที่เขาอายุ 20 ปีกว่าๆ เขาไม่เคยพักไม่เคยหยุดเลยสักวัน เพราะมันคือช่วงชีวิตที่สำคัญ ที่จะเป็นตัวชี้ตัวบอกเลยว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงอายุนั้น ก็เลยอยากตั้งใจทำงาน วางรากฐานชีวิตให้มั่นคง ไม่อยากเสียเวลาไปในเรื่องอื่น
บางคนอาจจะคิดว่าอายุแค่ 20 กว่าปีเอง ยังอยากสนุกอยู่ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่ใช่แค่มองว่าไม่เด็กไป แต่กลับคิดว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ เพระว่าเดี๋ยวนี้ บางคนเริ่มต้นธุรกิจตั้งแต่วัยเรียน คนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุเพียง 20 กว่าปีมีเยอะแยะไป ผมจะมองคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้พัฒนาตัวได้อย่างเขาบ้าง”
“หัวหิน” ช่วงเวลาพักผ่อนของครอบครัว
เห็นทำงานหนักกันทั้งบ้านแบบนี้ พอถามถึงเวลาพักผ่อนทุกคนตอบตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า “หัวหิน” ที่ตั้งของบ้านพักตากอากาศของครอบครัวที่คุณสุทินรักมาก จนสาวมิ้นท์แอบเมาท์ว่าเป็นลูกคนใหม่ที่คุณพ่อรักมาก
“มันเป็นความฝันของคุณพ่อค่ะว่าอยากมีบ้านติดทะเล แล้วเมื่อ 7-8 ปีก่อน ท่านมีโอกาสได้ซื้อบ้านหลังนี้ ก็เลยสนุกกับการซ่อมแซม แต่งบ้านใหม่ แล้วแวะไปพักผ่อนที่นั่นบ่อยๆ คือทุกวันนี้ไม่ต้องถามเลยว่าไปไหนดี ทุกคนรู้จุดหมายปลายทางอยู่แล้ว ทั้งครอบครัวก็จะหาเวลาไปพักผ่อนวันหยุดด้วยกันที่นั่น
โดยคุณพ่อจะไปบ่อยสุด ไปทุกเดือน แล้วท่านจะตื่นตอนเช้าไปตลาดซื้อกับข้าว ตักบาตร จนตอนนี้พ่อค้า แม่ค้า แม่ชี นี่รู้จักทักทายกันเหมือนเป็นคนในท้องถิ่นเลยค่ะ
เวลาอยู่ที่นั่นคือมันได้พักผ่อนจริงๆ ไปหาของอร่อยรับประทาน ไปนอนเล่น ไปนวดสปา หรือเดินชมวิวริมทะเล ซึ่งเวลาที่ได้อยู่ที่นั่นเพียง 1 หรือ 2 คืน มิ้นท์รู้สึกว่ามันต่างจากนอนที่บ้านที่กรุงเทพฯ เพราะเวลานอนที่นั่นจะหลับสบายมาก ตื่นมาจะสดชื่นมาก เหมือนได้ชาร์จแบตเต็มที่จริงๆ
นอกจากวันหยุดยาวที่จะเดินทางไปต่างจังหวัดพร้อมหน้ากันได้ ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนแบบครอบครัวอีกอย่างหนึ่ง คือ ทุกมื้อเย็นวันอาทิตย์ ที่ทั้งสมาชิกของครอบครัวจะได้มาพบปะ พูดคุยสนทนาพร้อมหน้ากัน
“เพราะในวันทำงาน บางทีตอนค่ำพี่มิ้นท์มีงานกลับดึก หรือช่วงเช้าใครมีธุระออกเร็ว ทำให้ไม่ค่อยได้เจอกันพร้อมหน้าเท่าไร จะมีวันอาทิตย์นี่แหละที่พยายามทำให้เป็นวันครอบครัว รับประทานอาหารด้วยกัน ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่มิ้นท์ พี่เคน และพี่สะใภ้
โดยเราจะไปหาร้านอาหารอร่อยๆ ดินเนอร์กัน ถ้าให้คุณพ่อหรือพี่เคนเลือกก็จะเป็นพวกอาหารญี่ปุ่นไม่ก็อิตาเลียน หรือถ้ามีร้านไหนเปิดใหม่น่าสนใจ ก็จะชวนกันไปลองชิม”
“พ่อกับเคน เขาจะไม่ชอบทานอาหารรสจัด ต่างกับมิ้นท์ ที่จะชอบอาหารไทย อาหารใต้หรืออาหารอีสานรสแซบๆ เรียกได้ว่าเรื่องรสนิยมด้านอาหารนี่เราต่างกันมาก จะมีคิดนี่แหละที่กินง่ายอะไรก็รับประทานได้หมด บางวันที่บ้านทำอาหารจีน หรืออาหารรสจืดๆ ให้พวกหนุ่มๆ แล้วมิ้นท์ไม่อยากกิน มิ้นท์ก็จะเดินเข้าไปในครัว ไปดูว่าพี่เลี้ยง แม่ครัวเขาทำอะไรกินกัน แล้วก็ไปร่วมวงกินกับเขาแทน(หัวเราะ) เพราะเขาจะชอบทำพวกน้ำพริก ทำแกงอ่อม ห่อหมก ซุปหน่อไม้ ขนมจีน หรือพวกปลาร้าสับ ซึ่งพวกนี้ของชอบมิ้นท์ทั้งนั้นเลย มิ้นท์ติดมาจากพี่เลี้ยง ตอนเด็กคนเลี้ยงมิ้นท์เขาเป็นคนอีสาน เราก็เลยรับประทานเมนูพวกนี้เป็นค่ะ”
พูดถึงเมนูอาหารแสนอร่อยอย่างนี้แล้ว ก็ถึงเวลาปิดท้ายบทสนทนากับครอบครัวที่แสนน่ารักนี้ เพื่อจะปล่อยให้คุณพ่อและคุณลูกๆ ได้เตรียมตัวไปดินเนอร์แสนอร่อยให้สมกับเป็นมื้อเย็นวันอาทิตย์อันเป็นเวลาแสนสุขของครอบครัว
สาวพีอาร์ผู้ชอบความท้าทาย
ด้านพี่สาวคนสวย “มิ้นท์-อรรถวดี จิรมณีกุล” เซเลบริตี้สาวเสียงดี ที่ตอนนี้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการกลุ่มประชาสัมพันธ์ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังถึงการทำงานของตัวเองบ้างว่า
“ในงานหลักๆ มิ้นท์จะดูแลด้านประชาสัมพันธ์ของผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร โดยแต่ก่อนดูแล 6 แบรนด์ อย่าง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, ซิซซ์เล่อร์, สเวนเซ่นส์ และช่วงหลังมานี้บริษัทเติบโตเร็วมาก มีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาสมทบอีกมากมาย อย่างเช่น Breac Talk, Toast Box และ Thai Express นอกจากนี้ยังดูแลประชาสัมพันธ์ให้กับโปรเจกต์สำคัญๆ ในธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทด้วย”
โดยสาวคนนี้ก่อนจะเข้ามารับหน้าที่ใหญ่ให้บริษัทชั้นนำของประเทศแบบนี้ เธอผ่านประสบการณ์ทำงานมาหลากหลายแบบ ทั้งการก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะนักร้องเมื่ออายุเพียง 18 ปี และเมื่อเรียนจบด้านธุรกิจระหว่างประเทศจากอังกฤษเธอก็กลับมาทำงานเป็น Account Manager อยู่เอเยนซีโฆษณาและประชาสัมพันธ์แห่งหนึ่ง ก่อนจะเข้ามาช่วยบริหารธุรกิจการนำเข้าแบรนด์เวอร์ซาเช่ (Versace) ของคุณแม่ และธุรกิจนาฬิกาในนาม S.T Dimension ของคุณพ่อ
“ช่วงนั้นถือเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ขององค์กร มีการแยกบริษัท ซึ่งมิ้นท์ถือว่าโชคดีเพราะได้เข้ามาเรียนรู้งานอย่างละเอียดในการก่อตั้งธุรกิจ เรียกได้ว่าเหมือนเริ่มนับใหม่จากหนึ่งเลย ซึ่งช่วงนั้นมิ้นท์ได้เดินทางไปศึกษาเรื่องนาฬิกาที่ต่างประเทศอย่างจริงจัง ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจของที่บ้านเต็มตัวเลย แต่แล้วมิ้นท์ก็รู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม ยังกระหายที่จะเรียนรู้อยู่
เพราะตัวมิ้นท์เองยังไม่เคยได้ทำงานในองค์กรใหญ่ ไม่เคยมีประสบการณ์ทำธุรกิจในสเกลที่กว้างแบบ Multi National Business เลย ก็คุยกับคุณพ่อคุณแม่ว่า มิ้นท์อยากลองมีประสบการณ์ชีวิตของการเป็นลูกจ้าง เป็นพนักงานบริษัทก่อน ไปเรียนรู้วิถีการทำงานในโลกกว้างก่อน ซึ่งท่านทั้ง 2 ก็สนับสนุน
มิ้นท์ว่ามันเป็นเรื่องสำคัญนะ ที่เราต้องออกไปมีประสบการณ์ ไปเจออะไรจากข้างนอก ได้ท้าทายความสามารถของตัวเอง มันต่างกันมากกับการเข้าไปทำงานในฐานะลูกสาวเจ้าของ การโชว์ความสามารถเรามันเห็นได้ไม่ชัด ซึ่งการทำงานกับไมเนอร์นี้ มิ้นท์ได้เรียนรู้การทำงานในองค์กรใหญ่ๆ วิธีการทำงานอย่างเป็นระบบ ได้มีส่วนร่วมกับความสำเร็จของโปรเจกต์ระดับนานาชาติ”
หนุ่มนักอสังหาริมทรัพย์
หนุ่มคนเล็กของบ้าน “คิด-คงภัทร จิรมณีกุล” ที่ตอนนี้กำลังสนุกสนานกับการเรียนรู้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในฐานะพนักงานของบริษัท แสนสิริ กล่าวถึงการทำงานให้ฟังว่า
“ผมเรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโท ด้านการบริหาร ตอนเลือกเรียนก็ยังไม่รู้หรอกว่าชอบอะไรกันแน่ แต่คิดแล้วว่าเรียนบริหารแล้วมันไปต่อได้หลายทาง คือ คิดไว้ในใจอยู่แล้วว่า ถึงอย่างไรสุดท้ายก็จะเข้าไปช่วยดูแลธุรกิจครอบครัว เพราะคุณพ่อเขาก่อร่างสร้างมา ก็ไม่อยากจะทิ้งไป อยากพัฒนาให้มันเจริญเติบโตขึ้น ซึ่งธุรกิจทางด้านนาฬิกาและจิวเวลรี ทางพี่ชายผมก็ทำได้ดีอยู่แล้ว เหลือธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีทรัพย์สิน อาคาร บ้านพักให้เช่าอยู่ ยังไม่มีใครดูแลเรื่องนี้จริงจัง คุณพ่อต้องลงไปดูแลเองทั้งหมด กระทั่งเดินหาซื้อเฟอร์นิเจอร์แต่งห้อง
ผมคิดว่าคุณพ่อท่านไม่ควรจะต้องมาเหนื่อยอะไรตรงนี้ ผมควรจะเข้าไปช่วยเหลือแบ่งเบาภาระได้ ก็เลยมุ่งมาทางนี้ ซึ่งการจะเข้าไปทำหรือไปบริหารดูแลได้ มันต้องมีประสบการณ์มีความรู้มาก่อน ก็เลยตัดสินใจสมัครเข้าไปทำงานที่แสนสิริ เพราะเป็นองค์กรใหญ่ และเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับท็อป 3 ของเมืองไทย เป็นองค์กรที่มาแรงและประสบความสำเร็จสูงมากในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้”
หลังจากได้เข้าไปสัมผัสกับงานด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หนุ่มคิดก็ค้นพบว่านี่คือแนวทางที่ใช่ “มันสนุกนะ และผมพบว่ามันตรงกับสไตล์ของผมมาก โดยผมเริ่มจากตำแหน่งฝ่ายวิจัย เพราะผมไปเรียนต่ออยู่เมืองนอกมากว่า 10 ปี ทำให้ไม่ค่อยรู้จักตลาดไทย อยากทำให้ฝ่ายนี้เพราะจะได้เรียนรู้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้อย่างละเอียด ตอนนี้ทำมา 3 ปีแล้ว ย้ายมาอยู่แผนกวิเคราะห์และพัฒนา คือเป็นหน่วยงานที่ดูที่ดิน ว่าควรจะซื้อตรงไหน ราคาควรจะเท่าไร คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ หรือวางแผนที่ดินที่มีอยู่ในมือว่าควรจะนำไปทำโครงการอะไร พัฒนาอย่างไร เป็นแผนกที่งานสนุกมากและได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก
ตอนนี้ถือเป็นช่วงเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์ เพราะผมวางแผนไว้ว่าในอนาคตก็คงต้องมารับช่วงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวอย่างแน่นอน ทุกวันนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่คุณพ่อดูแลอยู่จะเป็นพวกให้เช่าอย่างอาคารหรือบ้านพัก ซึ่งมันยังดูไม่ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่เท่าไร และในอนาคตผมก็อยากเริ่มต้นก่อสร้างทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ด้วย ก็ต้องยิ่งพัฒนาตัวเอง เรียนรู้ให้มาก เพราะอย่างที่คุณพ่อสอนอยู่ตลอดคือ การติดกระดุมเม็ดแรกสำคัญที่สุด ถ้าเราติดได้ถูกมันก็จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี ทำให้พัฒนาเติบโตต่อไปได้ไม่ยาก”
“จากวันแรกที่เคยพูดคุยให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับคุณพ่อ ท่านยังไม่ค่อยฟังคำพูดเรา คำพูดเราไม่ค่อยมีน้ำหนัก แต่ทุกวันนี้หลังจากท่านเห็นผมตั้งใจทำงานจริงจัง และความรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ เขาฟังเรามากขึ้น ไว้ใจเรามากขึ้นเยอะครับ”
My Father My Idol
ผมมีไอดอลในการใช้ชีวิตเยอะมาก ผมชอบศึกษาประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จ มันได้เรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ทัศนคติ แนวคิดต่างๆ ถ้าอย่างในเมืองไทยก็มีเยอะแยะ ถ้าเป็นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผมนับถือ “คุณเศรษฐา ทวีสิน” ที่ผมถือว่าโชคดีที่มีโอกาสได้ร่วมงานด้วย หรืออย่าง “คุณอนันต์ อัศวโภคิน” ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ผมชื่นชม แต่ถ้าจะให้เลือกไอดอลหนึ่งเดียว ผมยกให้คุณพ่อครับ ท่านเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตของผมในหลายๆ ด้านเลย ทั้งการใช้ชีวิต การทำงานและการทำธุรกิจ”
The Only Daughter
มิ้นท์ “แม้จะเป็นลูกสาวคนเดียว แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เคยห้าม ไม่เคยหวงเรื่องคู่ครองนะคะ ท่านปล่อยให้เราตัดสินใจเอง เขาจะบอกแค่ว่าเลือกให้ดีๆ ดูให้มั่นใจ แต่ไม่เคยกดดันว่าต้องเลือกคนนั้น ต้องแต่งตอนอายุเท่านี้ โดยก่อนหน้านี้เคยบ่นเล็กน้อยว่า อยากอุ้มหลาน แต่ตอนนี้เคน (น้องชายคนกลาง) เขาแต่งงานไปแล้ว มิ้นท์ก็สบายแล้ว มีคนรับหน้าที่แทน (หัวเราะ)”
คุณพ่อ “เรื่องความรัก อันนี้เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง มันคือชีวิตเขา ต้องปล่อยให้เขาตัดสินใจเอง เป็นได้เพียงที่ปรึกษา คอยดูห่างๆ และถ้าคนไหนที่เขารัก เราก็ต้องรักด้วย”
น้องคนเล็กของครอบครัว
ปอมเปอเรเนียนสีน้ำตาลสวยตัวน้อย นาม “ฟองดู” ที่ฉีกยิ้มให้กล้อง เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของคนทั้งบ้าน จนได้รับตำแหน่งลูกคนเล็กของครอบครัวไปครอง
“ตอนนี้ที่บ้านเลี้ยงสุนัขอยู่ 3 ตัวค่ะ โดยคิดเป็นคนซื้อมา เขาเหมือนเป็นพ่อใหญ่ของลูกๆ คอยดูแลทุกตัว ซึ่งตอนเด็กที่บ้านก็เลี้ยงสุนัขนะคะ แต่เลี้ยงไว้นอกบ้าน เพิ่งจะมาตอนหลังนี่แหละที่เลี้ยงในบ้านแบบใกล้ชิด
โดยตอนแรกที่คิดว่าจะเลี้ยงในบ้าน ก็มีคนค้านนะ เพราะกลัวทำสกปรก เดี๋ยวมาอึ ฉี่ หรือกัดเฟอร์นิเจอร์ แต่สุดท้ายแล้วทั้งบ้านก็ตกหลุมรักเขา เขาขี้อ้อน ทุกคนเอ็นดูหมด จากที่มีฟองดูแค่ 1 ตัว ตอนนี้เพิ่มมาเป็น 3 ตัวแล้ว และกลายเป็นน้องน้อยของบ้าน ที่ทำให้ทุกคนได้เชื่อมสัมพันธ์กันมากขึ้น จากเมื่อก่อนทุกคนกลับบ้านเข้าห้องใครห้องมัน พอมีสุนัข ทุกคนกลับมาก็มาอยู่ด้วยกัน เล่นกับสุนัขที่ห้องนั่งเล่นกันหมดเลย” :: Text by FLASH
Credit
นายแบบ & นางแบบ :: สุทิน จิรมณีกุล, อรรถวดี จิรมณีกุล, คงภัทร จิรมณีกุล
ประสานงาน ::: พรรณพิมล แดงรัศมีโสภณ
ช่างภาพ :: กมลภัทร พงศ์สุวรรณ