>>หากเอ่ยชื่อ “แพร-อมตา จิตตะเสนีย์” คงมีน้อยคนนักจะรู้จัก แต่ถ้าพูดถึงชื่อ “แพรี่พาย” สาวๆ กว่าค่อนประเทศย่อมรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะเมกอัพอาร์ทิสต์ที่แจ้งเกิดจากโลกโซเชียลภายในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยสไตล์การแต่งหน้าที่รวมไว้ซึ่งส่วนผสมของความกล้า มั่นใจ และใช้อิทธิพลแห่งสีสันเป็นใบเบิกทางชั้นดี ส่งผลให้เธอได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็น Beauty Influencer คนสำคัญ ผู้ได้รับความไว้วางใจจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในการสร้างสรรค์ภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อดีตนักเรียนศิลปะจากเกาะอังกฤษคนนี้ถนัดเป็นอย่างยิ่ง
ต้องยอมรับว่ากว่าสามปีที่แพรี่พาย “ปล่อยของ!” ผ่านเฉดสีอันหลากหลายของพาเลตต์นับร้อยนับพันชิ้น เธอยังคงสนุกกับการได้ใช้พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ระบายผ่านแปรงบลัชออน เส้นสายคมกริบของอายไลน์เนอร์ สีสันบนเปลือกตา และอีกหลายเทคนิควิธีที่ยากเกินใครจะลอกเลียน อะไรคือเคล็ดลับของความสำเร็จในครั้งนี้ มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้คำตอบ
ใช้ศิลปะนำทาง
ตั้งแต่ครั้งที่ “อมตา จิตตะเสนีย์” ยังใช้คำนำหน้าชื่อว่าเด็กหญิงจนเปลี่ยนเป็นนางสาว สิ่งหนึ่งในตัวเธอที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตามตัวเลข พ.ศ. ที่เพิ่มขึ้น คือ หัวใจที่รักและหลงใหลในศิลปะชนิดถอนตัวไม่ขึ้น การวาดเขียนสำหรับเธอไม่ใช่เป็นเพียงงานอดิเรก แต่อมตาตั้งใจให้การจับพู่กันขึ้นระบายสีเป็นงานหลักที่ใช้หาเลี้ยงชีพได้ในอนาคต เธอจึงไม่ลังเลที่จะศึกษาทางด้านศิลปะโดยตรงในสถาบันมีชื่ออย่าง University of Arts, London, Central Saint Martins ในคณะออกแบบการแสดง (Performance Design and Practice) ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตครั้งสำคัญ ที่ทำให้เธอมีกิจวัตรวนเวียนอยู่กับสีสันบนแคนวาสไม่เว้นแต่ละวัน ก่อนจะเปลี่ยนจากผืนผ้าใบมาเป็น “ใบหน้า” ของมนุษย์ในการลงฝีแปรง
อายไลน์เนอร์สีฟ้าคือ อุปกรณ์ชิ้นแรกที่ทำให้เธอพบรักกับการเป็นเมกอัพ อาร์ทิสต์ ชนิดที่เจ้าตัวนิยามว่า “ดั่งต้องมนต์”
“เริ่มต้นจากการลองกรีดตาด้วยอายไลน์เนอร์แท่งแรกซึ่งเป็นสีฟ้า ปรากฏว่าเรารู้สึกถึงความแปลกใหม่ราวกับต้องมนต์มาตั้งแต่ตอนนั้น และด้วยความที่ตอนเรียนอยู่ประเทศอังกฤษ แพรมีเพื่อนคนจีนเยอะ เราชอบลองแต่งหน้าให้เขา โดยมักใช้อายแชโดวแบบพาเลตต์ 3 สี คือสีเขียว สีฟ้า และสีม่วง แพรฝึกแต่งหน้าโดยใช้เพื่อนๆ เป็นแบบนี่แหละค่ะ บวกกับการศึกษาเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ตบ้าง หรือถามความรู้เอาจากเมกอัพอาร์ตติสต์ที่รู้จัก อย่างน้าเป็ด (อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์) จากนั้นก็ทดลองแต่งหน้าไปเรื่อยๆ” อมตาย้อนเล่าถึงการเรียนรู้และลงมือทำในช่วงแรกของการหัดแต่งหน้า
“เวลาเราแต่งหน้าให้เพื่อนหรือคนที่เป็นแบบในการถ่ายรูป เราได้เห็นถึงการเคลื่อนไหวบนสีหน้า และการแสดงอารมณ์ผ่านสายตาและท่าทางได้มากกว่าการวาดรูปบนแคนวาส ทำให้แพรเริ่มอยากเป็นเมกอัพอาร์ทิสต์ขึ้นมาจริงๆ แม้จะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคอนทัวร์ของหน้าคืออะไร แพรแค่แต่งหน้าไปตามความรู้สึกเท่านั้น” อมตาเริ่มมองหาเส้นทางเดินในชีวิตที่จะทำให้เธอได้แต่งหน้านางแบบในทุกๆ วัน เธอจึงเก็บรวบรวมพอร์ทโฟลิโอเพื่อขอฝึกงานกับช่างแต่งหน้ามืออาชีพ ขณะเดียวกันก็แอบกอดกุมความฝันในการอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมเมกอัพอาร์ทิสต์ในงานแฟชั่นระดับโลกอย่าง London Fashion Week (LFW) ไว้ในใจ” และในที่สุดฝันของอมตา จิตตะเสนีย์ ก็เป็นจริง!
จากลอนดอนรันเวย์สู่เมืองบางกอก
ตลอดการสนทนากับหญิงสาวเจ้าของบุคลิกมาดมั่น คล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน และพร้อมจะสบตาในทุกคำตอบ เธอเน้นย้ำเสมอว่าการสร้างพอร์ทโฟลิโอสำคัญมากในการนำเสนอความสามารถ เพราะความสำเร็จของเธอในวันนี้เริ่มต้นจากศูนย์ ก่อนจะเริ่มนับหนึ่ง สอง สาม ต่อยอดไปเรื่อยๆ จากการสร้างผลงานด้วยสองมือของตัวเอง
“ตอนใกล้จะเรียนจบปริญญาตรี แพรเริ่มถ่าย Photo Shoot สะสมไว้เพื่อทำพอร์ทโฟลิโอและอยากหางานไปพลางๆ โดยแพรเริ่มต้นจากการฝึกงานเป็นเด็กเก็บแปรง ช่วยเขาทำโนทำนี่เล็กๆ น้อยๆ ทั้งยังบอกตัวเองตลอดว่าเราฝันอยากเป็นส่วนหนึ่งของ LFW จนใกล้จะกลับเมืองไทยแล้ว เลยลองอีเมลไปถามเมกอัพอาร์ทิสต์ที่แพรทำงานด้วยว่างาน LFW มีคนพอไหม เราอยากไปช่วยทำงานอะไรก็ได้ เขาก็เงียบไปนานจนงานจะเริ่มพรุ่งนี้อยู่แล้ว แพรก็ทำใจว่าคงต้องกลับเมืองไทยแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็โทรศัพท์มาบอกว่าให้เราช่วยแต่งหน้าสัก 4 โชว์ รู้สึกตื่นเต้นมากที่เราได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ในที่สุด” น้ำเสียงและแววตาของเธอแสดงออกถึงอาการดีใจในวันนั้นได้เป็นอย่างดี และในวันที่เธอกำลังให้สัมภาษณ์กับ Celeb Online อยู่นั้น เป็นหนึ่งวันก่อนที่เธอจะบินไปร่วมเป็นหนึ่งในทีมงานคนสำคัญของ LFW อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4
“แน่นอนว่าในปีแรกๆ แพรได้เรียนรู้เรื่องของเทคนิคต่างๆ ในการแต่งหน้ารวมถึงวินัยในการทำงาน พอมาถึงปีหลังๆ มานี้ แพรเริ่มคุ้นเคยกับทีมงานจึงได้เรียนรู้เรื่องของคนรอบข้างเพิ่มเติม เรียนรู้ว่าเขาชอบอะไร ต้องการอะไร และทำงานอย่างไรให้เป็นทีมเวิร์กที่ดี” ถึงแม้จะเป็นการทำงานที่ข้องเกี่ยวกับแวดวงแฟชั่นเหมือนกัน แต่บรรยากาศของแฟชั่นวี้กในระดับโลกกับในประเทศไทยย่อมแตกต่างในรายละเอียด
“รูปแบบการทำงานของเมืองนอกดำเนินไปในแบบทำงานก็คือทำงาน แต่พอจบงานเราสามารถชวนกันไปกินเบียร์ต่อในฐานะเพื่อนกันได้ ส่วนเมืองไทย แพรรู้สึกว่ามีการใช้ระบบรุ่นพี่รุ่นน้องสูง และค่อนข้างจะมีความเฟเวอร์กันค่อนข้างมาก แพรมักถูกช่างแต่งหน้าหลายคนมองอยู่บ่อยๆ ว่าอยู่ในวงการแค่ไม่นาน แค่ดังจากโลกโซเชียล มาทำงานได้ยังไง แต่เราก็พิสูจน์ให้เขาเห็นความสามารถจากผลงานที่เราลงมือทำ” เธอมักตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เสมอ ซึ่งนั่นคือเสน่ห์ประจำตัวของแพรี่พาย
เป็น-อยู่-คือ ในโลกโซเชียล
“แพรไม่คิดว่าตัวเองเป็นบล็อกเกอร์” เธอปฏิเสธสถานภาพที่เรามอบให้ เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงจุดเริ่มต้นของแพรี่พายในบล็อกส่วนตัว เมื่อเดือนมีนาคม 2554
“ขอบเขตงานของบล็อกเกอร์คือการรีวิวสินค้า ส่วนแพรจะเน้นเรื่องของไลฟ์สไตล์มากกว่า โดยจะเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองชอบและตัวเองเป็น ถือเป็นแชร์จากมุมของเราไปให้คนอื่นได้รู้จัก แพรก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบสีสันของเครื่องสำอาง ชอบการแต่งหน้า จนไปๆ มาๆ คนเริ่มมองว่าเราเป็นกูรู และเริ่มขอคำแนะนำต่างๆ จากเรา”
อมตายอมรับว่าเธอไม่ได้เก่งไปเสียทุกเรื่อง ยิ่งต้องเจอกับคำถามจากบรรดาแฟนคลับเกี่ยวกับความสวยความงามไม่เว้นแต่ละวัน เธอจึงไม่เคยลังเลที่จะตอบว่า “ไม่รู้” และก็ไม่เคยนิ่งนอนใจในการรีบไปค้นคว้าหาคำตอบมากำนัลแก่บรรดาผู้ติดตามอ่านบล็อกของเธอเช่นกัน
“เมื่อคนมองว่าเราเป็นกูรูทางด้านนี้ แล้วกูจะไม่รู้ได้ไง” เธอตอบติดตลกและเล่นคำแบบสนุกๆ “วิธีการหาข้อมูลของแพรก็คือ ตั้งคำถามไปในสเตตัสของตัวเองเลย เช่น มีน้องๆ ถามว่าหากโดนโรลม้วนผมร้อนๆ ลวกเข้าที่หน้าต้องรักษาเบื้องต้นอย่างไร แล้วความรู้เท่าที่เรามีก็คือ ให้เอายาสีฟันทา เพราะคิดมาตลอดว่าเนื้อยาสีฟันจะช่วยขับความร้อนและทำให้แผลไม่พอง แต่พอเราตั้งสเตตัสถามคนในวงกว้างก็จะมีคนที่มีความรู้จริงๆ เข้ามาช่วยตอบว่าต้องทาบัวหิมะ เพราะมีสรรพคุณในการบรรเทาแผลพุพองได้ดีกว่า หรือบางครั้งข้อมูลก็มาจากน้องๆ ทีมงานที่สนิทกับเรา นานวันเข้าพอเราได้รับคำถามซ้ำๆ ก็สามารถตอบคำถามได้เป็นกิจจะลักษณะยิ่งขึ้น”
แพรยอมรับว่าการแจ้งเกิดจากโซเชียลมีเดียดูเหมือนจะสนุกและสร้างชื่อเสียงได้โดยง่าย แต่เส้นทางนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
“มันก็ยากในระดับที่ว่าคุณเปิดโอกาสให้ตัวเองถูกช่องทางหรือเปล่า” เธอวิเคราะห์จากประสบการณ์ตรง “อย่างแพรเริ่มต้นจากการเป็นคนชอบแต่งหน้า และมีความฝันคือการได้เข้าไปทำงานในแฟชั่นวี้กต่างๆ แพรจึงเปิดโอกาสให้ตัวเองด้วยการรู้จักวางพอร์ตโฟลิโอของตัวเองให้ดี สร้างโปรไฟล์ให้ดี และไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้าทำงานกับทุกคน ไม่ได้ลงเนื้อหาทุกอย่างที่ใจนึก แต่คัดเฉพาะหัวข้อที่เหมาะสมแล้วนำเสนอออกไป โดยวิธีการนำเสนอข้อเขียนและวิดีโอทุกชิ้นต้องมีความเป็นตัวของตัวเองและมีเอกลักษณ์ เมื่อโปรไฟล์ดี ผลงานก็จะผลักตัวเราให้ไปในทิศทางที่ดี”
แม้ทุกวันนี้ แพรี่พายจะได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานบนรันเวย์แฟชั่นระดับโลก แต่เธอก็ยังมีความฝันที่อยู่ในระหว่างลงมือทำ นั่นคือ การเปิดโรงเรียนสอนแต่งหน้า และทำแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง โดยทั้งสองโปรเจ็กต์อยู่ในช่วงของการลงมือทำ ซึ่งเจ้าตัวไม่เร่งรัดให้ไปถึงฝั่งฝันในเร็ววันแต่อย่างใด
“หลายคนบอกว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่แพรไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นกระแส แพรอยากเป็นคนที่เติบโตแบบนิ่งๆ ไปเรื่อยๆ มากกว่า” เธอเว้นวรรคเพียงอึดใจ ก่อนปิดท้ายไว้ให้นึกตาม “ถ้าเราอยากเป็นกระแส เราย่อมทำตัวเองให้เป็นกระแสได้อยู่แล้ว” เราสบตากันก่อนจบบทสนทนา :: Text by FLASH
เคล็ดลับจากแพรี่พาย : ใช้โซเชียลมีเดียอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
1.ศึกษากลุ่มเป้าหมายให้ถ่องแท้ว่าเขาคือใคร เช่น คนที่ชอบอ่านพันทิป คนที่ชอบเล่นอินสตาแกรม หรือคนที่คลั่งไคล้การ retweet ทางทวิตเตอร์
2.ไตร่ตรองว่าตัวเองอยากนำเสนอเนื้อหาแบบไหน จะได้เลือกช่องทางในการเผยแพร่ได้ตรงจุด
3.หากคุณร้องเพลงเพราะและอยากเป็นนักร้อง แน่นอนว่า youtube คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการปล่อยของ ถ้าคุณชอบเขียนข้อความสั้นๆ แต่โดน จงเลือกใช้ Twitter หรือถ้าชอบเล่าเรื่องยาวๆ เนื้อหาอัดแน่น แนะนำให้ใช้บริการเว็บไซต์ต่างๆ หรือตั้งเป็นกระทู้ผ่านเว็บไซต์ชื่อดัง เช่น เรื่องความสวยความงามต้องยกให้ jeban.com เท่านั้น
4.สำคัญที่สุดคือ คุณต้องเป็นตัวของตัวเองแบบไม่ต้องพยายาม
5.ควบคุมสติอารมณ์เสมอเมื่อต้องจรดนิ้วบนแป้นพิมพ์ อย่าทำตัวเป็นนักเลงคีย์บอร์ดที่พิมพ์อะไรตามใจฉัน
6.เมื่อเจอคอมเมนต์แย่ๆ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ และอย่าโต้ตอบ รังแต่จะเกิดโทษแก่ตัวเอง
กิจวัตรวันทำงาน
หากไม่ต้องออกไปแต่งหน้าตามงานต่างๆ หรือไปออกอีเวนต์ แพรจะเข้าออฟฟิศเวลา 11.00 น. เริ่มต้นเช็กอีเมล ตอบคำถามออนไลน์ ติดต่อธุระและจัดการนัดหมายต่างๆ ประชุม และเลิกงานเวลา 20.00 น.
คุณอาจยังไม่รู้ว่า ‘แพรี่พายเป็นคนที่…’
1.ชอบตีปิงปองมากจนมีโต๊ะปิงปองไว้ในออฟฟิศ บริษัท แพรี่พาย จำกัด (Pearypie Co.,ltd)
และมักดวลแมตช์เล็กๆ กับเพื่อนร่วมงานในระหว่างวัน
2.ชอบท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ประเทศที่ยังไม่เคยไปและอยากไปมาก ได้แก่ อียิปต์ ภูฏาน และทะเลในแถบฟิลิปปินส์
3.ชอบอ่านการ์ตูนมาก และนารุโตะคือการ์ตูนเรื่องโปรด