>>นวนิยายผจญภัยระทึกขวัญแนว Psychological Thriller ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายความลึกลับ ความเชื่อ ศาสนาพุทธและตำนานขุมทรัพย์ทองคำทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ท่ามกลางบรรยากาศฉากหลังของป่าเขตร้อนในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งผู้เขียน เขมวิช ภังคานนท์ บรรจงสร้างสรรค์และค้นคว้าข้อมูลหลักฐานประวัติศาสตร์ เป็นระยะเวลากว่า 1 ปีจนได้ต้นฉบับที่หนากว่า 500 หน้า ก่อนจะกลั่นและเค้นเนื้อหาให้เป็นนวนิยายไม่ถึง 300 หน้า ที่อ่านสนุกทุกตัวอักษร มีความสมจริงให้ผู้อ่านลุ้นไปกับมิติของตัวละครต่างๆ ในเรื่อง ด้วยการเล่าเรื่องและสร้างพล็อตอย่างมีสไตล์และชั้นเชิง Vertigo Forest ป่าของใจ ในป่าของโลก จึงนับเป็นนวนิยายไทยทริลเลอร์ที่หลุดจากกรอบวรรณกรรมยอดนิยมแบบเดิมๆ และตอบโจทย์สำหรับผู้ถวิลหานวนิยายในรูปแบบ Psychological Thriller หรือ Post-Apocalyptic และแม้กระทั่ง Scandinavian Noir
จากทนายความ นักดนตรี หนอนหนังสือ สู่เส้นทางอาชีพนักเขียน
ก่อนที่จะมาเป็นนักเขียน เขมวิช เป็นนักอ่านตัวยงที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ ถึงแม้จะไม่ได้เลือกเรียนในสาขาอักษรศาสตร์ หรือวารสารศาสตร์ แต่เมื่อต้องเลือกทางเดินของตัวเอง เขมวิชก็เลือกที่จะประกอบอาชีพในสายงานผู้สื่อข่าวการเมืองเป็นงานแรก ก่อนที่จะไปศึกษาต่อด้านการเงินและกฎหมายที่สหรัฐอเมริกา และประกอบวิชาชีพทนายความและที่ปรึกษาทางการเงินอยู่พักหนึ่ง และลาออกมาเป็นศิลปิน มีผลงานแต่งเพลงและอัลบัมร่วมกับเพื่อน ควบคู่ไปกับผลงานการเขียนเชิงวิชาการและบทความต่างๆ ด้านการเงินและกฎหมาย จนกระทั่งเข้าสู่เส้นทางวิชาชีพนักเขียนอย่างจริงจังเมื่ออายุย่างเข้าเลข 4 และ Vertigo Forest นับเป็นผลงานหนังสือลำดับที่ 3 ของเขา และเป็นงานเขียนนวนิยายเรื่องยาวเล่มแรก ซึ่งเขมวิชได้ค้นพบแล้วว่างานเขียนคือสิ่งที่ใช่ และด้วยประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์การอ่านที่สั่งสมมาตลอดเวลา 40 ปี จนถึงวันนี้ที่เรียกได้ว่าสุกงอมเต็มที่และพร้อมที่จะปล่อยของดีๆ สู่มือนักอ่านทั่วประเทศ
เบื้องหลังความสนุก - น่าติดตาม จนวางไม่ลง
ด้วยความเป็นคนชอบอ่าน ชอบแสวงหาความรู้ และคลั่งไคล้ในรายละเอียด เขมวิชใช้เวลากว่าครึ่งของการเขียนในการค้นหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 ความเชื่อของคนท้องถิ่น หลักคำสอนพระพุทธศาสนา และความสมจริงของตัวละครต่างๆ จนได้ต้นฉบับหนังสือที่มีความหนาถึงกว่า 500 หน้า แต่ด้วยความต้องการให้คนอ่านเพลิดเพลินและสนุกจนวางไม่ลง เขมวิชจึงซอยเนื้อเรื่องของแต่ละบทให้มีความยาวเท่าๆ กัน และตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่องหลักออกไป และเลือกใช้เทคนิคเล่าเรื่องโดยการทับซ้อนของเวลา คือไม่ได้เล่าจากต้นจนจบ แต่จะใช้เมื่อมีความจำเป็นในการเร่งเครื่องของเรื่องเท่านั้น เมื่ออ่านจบหลายคนจึงอาจรู้สึกถึงช่องว่างที่ขาดหายไป และเกิดคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครตัวนั้น หรือเหตุการณ์นั้น ซึ่งเขมวิชจงใจตัดออกไปหรือไม่พูดถึงและแม้กระทั่งเล่าให้กำกวม เพื่อให้ผู้อ่านตีความเอาเองตามกรอบความคิดและประสบการณ์ของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป
อิทธิพลและแรงบันดาลใจหลักของ Vertigo Forest
หนังสือเล่มนี้เขมวิชเขียนให้คุณพ่อของเขา ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษียร ภังคานนท์ ซึ่งมีพื้นเพเป็นคนเมืองกาญจน์ และเขมวิชเองได้เคยติดตามคุณพ่อไปกราบไหว้บรรพบุรุษและญาติผู้ใหญ่ ตลอดจนเที่ยวป่าที่จังหวัดกาญจนบุรีกับครอบครัวอยู่เป็นประจำ และการเลือกเขียนสไตล์ทริลเลอร์ก็เป็นเพราะความที่นึกถึงคุณพ่อซึ่งเป็นศัลยแพทย์ด้าน Trauma ซึ่งในทางจิตวิทยายังหมายถึงบาดแผลความเจ็บปวดทางจิตใจอันเป็นองค์ประกอบหลักของการเขียนนวนิยายทริลเลอร์อีกด้วย
เขมวิชได้รับอิทธิพลจากหนังสือหลายรูปแบบรวมถึงกระบวนการคิดทางการเมืองและจิตวิทยา ซึ่งเขมวิชนำมาใช้ในการสร้างตัวละครหลัก ที่มีความรู้สึกนึกคิด มีมิติแบบ Cormac McCarthy หรือ โก้วเล้ง และ Alfred Hitchkock ทำให้นวนิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ที่แตกต่างจากนวนิยายทริลเลอร์อื่นๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยพล็อตหรือโครงเรื่อง แต่ Vertigo Forest จะขับเคลื่อนด้วยตัวละครที่ทุกตัวต่างมีแรงจูงใจ มีความกำกวม ไม่มีใครขาวหรือดำชัดเจน คนอ่านสามารถเข้าถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้เสมือนตัวเองเป็นตัวละครเหล่านั้น
ขณะที่บรรยากาศและฉากหลังของท้องเรื่อง เขมวิชสร้างขึ้นโดยอ้างอิงประวัติศาสตร์ และกระแสความคิดทางการเมืองอย่างสมจริง โดยนำความเป็นไทยในอดีต มาสอบสวนความเป็นไทยในปัจจุบัน อาทิ ค่านิยมเกี่ยวกับความพอในอดีต และค่านิยมวัฒนธรรมการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยในปัจจุบัน ซึ่งการเขียนรูปแบบนี้เขมวิชได้รับอิทธิพลจากนวนิยายสไตล์ Scandinavian Noir ซึ่งเป็นทริลเลอร์ที่มีความเกี่ยวข้องของชาติพันธุ์ และประวัติศาสตร์ของประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เช่นThe Girl with the Dragon TattooของStieg Larsson หรือเรื่องชุดนักสืบ Kurt Wallander ของ Henning Mankell ซึ่งความท้าทายของเขมวิชคือ การประยุกต์ความเป็นไทยและศาสนาพุทธเข้ากับทริลเลอร์อย่างไรให้อ่านสนุกและน่าติดตาม โดยเดินเรื่องในสไตล์ Post-Apocalyptic ที่มีความ Realism สมจริง ตัดขาดจาก Civilization แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงอภินิหารก็สามารถหยิบมาได้อย่างแนบเนียนโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวง
‘พรานมน’ กับแนวคิด ‘Feminism’
เขมวิชจงใจให้ตัวละครหลักเป็นผู้หญิงโสดอายุ 40 กว่าที่มีความเก่งกาจ แข็งแกร่งเทียบเท่าหรือเหนือกว่าผู้ชาย ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในนวนิยายไทย เพื่อเป็นการสะท้อนค่านิยมของสังคมไทยที่เป็นสังคม male bias และผู้หญิงถูกกำหนดให้รับบทบาทเป็นผู้ตาม และตัวละครหญิงส่วนใหญ่ในวรรณกรรมก็มักตอกย้ำแนวคิดนี้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงเก่งๆ และมีศักยภาพมีตัวตนจริงๆ อยู่มากมายในสังคม
ปรัชญา ศาสนาพุทธ และค่านิยมการบริโภคนิยม
แก่นของเรื่องที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อถึงคือ ความเชื่อเรื่องกรรมตามหลักของพระพุทธศาสนา และสะท้อนพฤติกรรมการบริโภคนิยมในปัจจุบัน “โจทย์คือการสื่อเรื่องราวพวกนี้ออกมาอย่างไรให้อ่านสนุก แต่ไม่ใช่ในโทนของการเทศน์หรือสั่งสอน ซึ่งคนอ่านจะเก็ตมากน้อยแค่ไหนไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือ ถ้าผู้อ่านได้รับความสนุกและเพลิดเพลินก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว” :: Text by FLASH