เพราะเป้าหมายชีวิตของเราทุกคนล้วนแต่อยากมีความสุขและประสบความสำเร็จกันทุกคน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าชีวิตที่ประสบความสำเร็จพร้อมกับความสุขนั้นต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ควบคู่กันไป จิรภัทร ศิริจิตร กรรมการผู้จัดการบริษัท ยูเนี่ยนมอลล์ จัดเป็นนักบริหารรุ่นใหม่ที่สามารถนำเอาวิธีคิดดั้งเดิมในรุ่นพ่อ ผนวกเข้าการบริหารงานแบบสมัยใหม่ที่เอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง นำพาธุรกิจครอบครัวของตนเองลอยติดลมบนไปสู่ความสำเร็จได้อย่างหน้าทึ่ง
ใครจะเชื่อว่า หลังความสำเร็จของ “โบนันซ่าส์” ที่ศูนย์การค้ามาบุญครอง จนมาถึง “ยูเนี่ยนมอลล์” ลาดพราว ซอย 1 แทบไม่เคยมีสื่อสำนักไหนได้สัมภาษณ์ถึงเบื้องหลังของความสำเร็จ และความคิดของเจ้าของที่แท้จริง ตั้งแต่ ประสพสันติ์ ศิริจิตร ผู้ล่วงลับจนถึงเจนเนอเรชั่นที่ 2
หลังจิบชาร้อนหอมกรุ่นที่วางอยู่ตรงหน้า เอ๋-จิรภัทร เริ่มต้นเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้เราฟังด้วยน้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่น ว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นบุตรสาวคนโตหนึ่งในสามใบเถาของ ประสพสันติ์ กับ รัตนา ศิริจิตร มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน
จากเด็กหญิงตัวเล็กๆที่เดินตามพ่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตการทำงานมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบโตขึ้นมา เอ๋-จิรภัทร จึงคุ้นกับงานนี้โดยอัตโนมัติ “พ่อสอนให้ทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่สมัยเด็กๆ เวลาพ่อไปซื้อที่ดิน หรือไปตรวจงานคุณพ่อก็จะพาลูกๆไปด้วยซึ่งตอนนั้นพวกเราไม่รู้ว่าเป็นการสอนงานแบบสัมผัสของจริง จนมาถึงมัธยมคุณพ่อเห็นเอ๋ชอบของกุ๊กกิ๊กก็เลยให้ลองเปิดร้านกิฟท์ชอปที่สยามสแควร์ ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่คุณพ่อเริ่มทำโบนันซ่า ที่มาบุญครอง เอ๋ก็ทำทุกอย่างตั่งแต่หาของเข้าร้าน เช็กสต็อก จนถึงทำบัญชี ตอนนั้นเหนื่อยนะคะ แต่สนุกเอ๋มองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่ได้มา"
ความที่เป็นทายาทรุ่นที่ 2 ของธุรกิจยูเนี่ยนมอลล์ ทำให้ เอ๋ โชคดีที่ได้มาอยู่กึ่งกลางของ 2 วัฒนธรรมระหว่างวิธีคิดดั้งเดิมในรุ่นพ่อที่เห็นการจัดการบนพื้นฐานของประสบการณ์และเห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคที่ไม่มีทางเลือกมากนัก
เอ๋บอกว่ารูปแบบการทำงานในยุคของเธอแตกต่างจากรุ่นพ่อหน้าที่ของคนที่เป็นผู้นำจึงต้องรู้จักผสมผสานความแตกต่างของวิธีคิดเหล่านี้เข้าด้วยกัน "คุณพ่อสอนเสมอว่าเวลาเจอปัญหาอย่าวิ่งหนีปัญหา ต้องเดินหน้าเข้าหาปัญหา ต้องควบคุมสติตนเองให้ดี ที่สำคัญต้องขยัน อดทน ซึ่งถือเป็นพื้นฐานเริ่มแรกของความเป็นผู้นำหากตรงนี้ทำไม่ได้ก็ไปไม่ถึงความสำเร็จ” ซึ่งเธอจะจดจำคำที่พ่อสอน ทำให้วันนี้พอเจอปัญหาจะไม่กลัว กลับชอบและมองว่าเป็นความท้าทายอีกทั้ง
"พ่อพูดเสมอว่างานทุกอย่างยากหมดไม่มีงานไหนที่จะได้ความสำเร็จมาง่ายๆการทำงานที่นี่ต้องรู้ลึกและรู้จริง เน้นความเป็นครอบครัวเดียวกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง ขณะเดียวกันการบริหารก็ต้องเป็นระบบซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแต่ท้ายที่สุดก็ทำให้งานเดินหน้าไปตามเป้าหมายได้ดีค่ะ"
เอ๋ ยังบอกอีกว่า ในการทำงานจะตั้งเป้าหมายไว้ก่อน เช่น อยากจะทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็จะมองความสำเร็จไว้เลย จะไม่มาคิดว่าจะทำได้ไหม แต่คิดไว้เลยว่าทำได้และสำเร็จอย่างแน่นอนหากมัวคิดว่าจะทำได้ไหมนั่นคือสิ่งที่จะขัดขวางความสำเร็จส่วนแนวทางบริหารจะดูแลพนักงาน ทีมงาน จะต้องให้ความอบอุ่น เพราะอยากให้เขารักองค์กร อยู่ด้วยกันแล้วอยู่กันนานๆ
ด้วยวัยเพียง 35ปีกว่า กับภาระที่ดูจะหนักอึ้งนี้ เอ๋บอกว่าไม่เคยมีเรื่องเครียด เพราะทันทีที่เริ่มมีปัญหา ถ้ามองออกก็จะรีบแก้ไขทันที ไม่ปล่อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ "ถ้าเครียดก็มีช่วงเดียวคือช่วงคุณพ่อป่วยท่านอยู่โรงพยาบาลเป็นปี คุณแม่ เอ๋และน้องอีกสองคนจะเฝ้าอย่างใกล้ชิด เอ๋ไปทำงานเช้า ตกเย็นก็กลับมารายงานว่าเราทำอะไรบ้างตรงไหนไม่ดีคุณพ่อก็จะแนะนำเอ๋ก็ใช้สิ่งนี้มาใช้กับการทำงานปัจจุบันด้วย"
นักธุรกิจสาวเอ๋ยังบอกอีกว่า ทุกวันนี้ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด "เอ๋ทำงานแบบนี้ตั้งแต่พ่อป่วย คือเอ๋ต้องทำให้ท่านเห็นว่าเราเข้มแข็ง ซึ่งพ่อก็เห็นแล้ว ตอนนี้ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักผ่อนไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว แต่ไม่บ่อยมาก ปีละครั้งเองค่ะ"
นอกจากเที่ยวต่างประเทศปีละครั้งแล้วหากว่างก็จะพาแม่ไปวัดสวดมนต์ไหว้พระและปฏิบัติธรรมซึ่งเมื่อไปบ่อยๆเข้าทำให้ช่วงหลังมานี่เธอเองก็ติดนิสัยนี้มาจากคุณแม่มาค่อนข้างเยอะ "คุณแม่ชอบทำบุญท่านปลูกฝังธรรมะมาตั้งแต่เด็กๆแม่บอกตรงนี้เป็นตัวช่วยในการฝึกสติ ก็ช่วยเยอะเหมือนกันค่ะ"
ใบหน้าสวยใสกับผมยาวปะบ่าถูกรวบแบบง่ายๆไว้ด้านหลังกับเสื้อยืดสีน้ำตาลกับท่วงท่าเรียบร้อยทำให้เราอดเอ็นดูสาวน้อยคนนี้ไม่ได้ เพราะระยะทางเพียงไม่กี่หลักไมล์ชีวิตของเธอกับน้องๆในวันที่ไร้เงาพ่อแม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อย แต่เธอก็ไม่ปริปากบ่น หากแต่จะพัฒนาศึกษางานเพื่อสานต่องานที่พ่อฝันให้สำเร็จ "พ่อชอบเห็นคนทำงานที่ผ่านมาพ่อให้โอกาสคนแล้ว สร้างงานสร้างอาชีพให้หลายคนประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งที่เอ๋ทำตอนนี้ก็สานต่อจากพ่อคือพัฒนาให้เขาเหล่านั้นต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม”
ในวันนี้แม้พ่อจะจากเธอไปเร็วกว่าที่เธอคิดหากแต่เธอบอกว่าถือว่าคุ้มค่าที่สุดเพราะเรียนรู้ชีวิตการทำงานจากพ่อมาอย่างต่อเนื่อง"ทุกวันนี้ก็เหมือนมีคุณพ่ออยู่ใกล้ๆห้องทำงานคุณพ่อยังอยู่อย่างดีเวลามาทำงานต้องผ่านห้องพ่อเอ๋ก็จะหยุดไหว้ เอ๋ทำแบบนี้ทุกวันจนลืม คิดเสมอว่าคุณพ่อท่านยังอยู่กับพวกเรา" เอ๋กล่าวทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้มน่ารักตามแบบสาวอารมณ์