xs
xsm
sm
md
lg

ยุพเรศ นิมกาญจน์ เฮลท์ตี้เวิร์กกิงวูเมน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยุพเรศ นิมกาญจน์
 
การใช้ชีวิตในรูปแบบที่มีระเบียบวินัยและความสมดุล ทำให้ชีวิตนอกเหนือจากการทำงานของ ท.พญ. ยุพเรศ นิมกาญจน์ คือการออกกำลังกายโดยเฉพาะการวิ่งอย่างเต็มที่และจริงจัง เพื่อแลกสุขภาพที่ดีในช่วงบั้นปลายชีวิต รวมถึงรูปร่างและความสวยสดใส เป็นที่สะดุดตาของผู้พบเห็น จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์แห่งชีวิตที่งดงาม

 
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ว่างเว้นจากการทำงาน หมอเอ๋- ท.พญ.ยุพเรศ เจ้าของ DC-one The Dental Clinic ดูสดใสในชุดเดรสวินเทจโทนสีชมพูสุดโปรด โชว์หุ่นเป๊ะ ให้เวลาเราพูดคุยกับเธอในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ และการออกกำลังกายอย่างเป็นกันเอง
หมอเอ๋บอกว่า ปกติแล้วเธอก็เหมือนผู้หญิงทั่วไป ที่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน ตกเย็นนัดทานอาหารกับเพื่อนๆ แต่เมื่ออายุมากขึ้น ก็อยากมีสุขภาพดี ไม่อยากเป็นภาระให้คนรอบกาย จึงเริ่มสนใจเรื่องการออกกำลังกาย
“ปกติก็ดูแลสุขภาพมาตลอดอยู่แล้วค่ะ แต่พออายุมากขึ้นเรารู้สึกตัวได้เลยว่าเหนื่อยง่าย และเราก็นั่งทำงานในออฟฟิศทั้งวัน จึงเริ่มปวดเมื่อยเนื้อตัวอีกสารพัด อาจเป็นเพราะอวัยวะทุกอย่างในร่างกายเริ่มทำงานช้าลง ช่วงแรกก็เริ่มจากไปเรียนโยคะ เข้าฟิตเนส ทำมา 6-7 ปีแล้วค่ะ รู้สึกว่าดีมาก สดชื่นทำให้เรามีพลังในการทำงาน”

 
หมอสาวร่างเล็กยังเปิดประเด็นเรื่องความสนใจในการออกกำลังกาย ด้วยการหันมาวิ่งอย่างจริงจังว่า เป็นเพราะเธอมีเป้าหมายอยากลงแข่งขันกีฬามาราธอนร่วมกับน้องชายและเพื่อน โดยเริ่มจากน้องชายและเพื่อนที่สนใจกีฬามาราธอน แล้วมีแผนจะลงแข่งขันไตรกีฬามาราธอนที่ภูเก็ต ซึ่งน้องชายของหมอเอ๋ชอบขี่จักรยาน ส่วนเพื่อนอีกคนถนัดว่ายน้ำ ยังขาดแต่นักวิ่ง เมื่อเธอรู้ก็นึกสนุกอยากแข่งด้วย น้องชายก็สนับสนุนเลยเริ่มหัดวิ่งมาราธอนตั้งแต่นั้นมา

“แรกๆ วิ่งแบบไม่ถูกหลักเท่าไหร่ค่ะ วิ่งได้แค่ 1-2 กิโลเมตร ก็รู้สึกไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมากเริ่มท้อกลัวจะทำทีมเสีย เพราะวิ่งมาราธอนจะต้องวิ่งให้ได้ 17 กิโลเมตร จนมีอยู่วันหนึ่ง หลังเลิกงานไปวิ่งที่สวนสาธารณะ เห็นคุณลุงคนหนึ่งอายุมากแล้วเริ่มวิ่งพร้อมเรา แต่เผลอแป๊บเดียว “น็อครอบ” คุณลุงก็ตะโกนบอกวิ่งไปอย่าหยุด แล้วหันมาให้กำลังใจ ก็เลยรู้สึกว่าเอ๊ะคุณลุงอายุมากแล้วยังทำได้ แล้วเราอายุแค่นี้เองจะท้อแล้วเหรอ เลยวิ่งต่อ ตอนนี้วิ่งได้ไกล 10 กิโลเมตรแล้วค่ะ” หมอเอ๋กล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ

 
หมอเอ๋บอกว่า วันที่วิ่งได้ 10 กิโลเมตรนั้น เป็นวันที่เธอวิ่งบนเครื่องวิ่งสายพานในฟิตเนส และที่นั่นเปิดเพลงให้คนที่มาออกกำลังฟัง ซึ่งบังเอิญเป็นเพลงที่เธอชื่นชอบทำให้วิ่งแล้วรู้สึกสบายใจเพลินมาก หันมาดูเข็มไมล์หน้าเครื่องปรากฏว่า 10 กิโลเมตรแล้ว ทำให้เธอรู้เคล็ดลับในการวิ่งไม่ให้เหนื่อย คือต้องทำใจให้สบาย และที่สำคัญคืออย่ากดดันตัวเอง
สำหรับเรื่องงานนั้น ปัจจุบันหมอเอ๋มีคลินิกฟันของตัวเอง 2 แห่ง คือที่กรุงเทพฯ และภูเก็ต นอกจากนี้ ยังเป็นคอนซัลท์ทางด้านการจัดฟันให้หมอฟันประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม อีกด้วย ทำให้เธอต้องเดินทางขึ้น-ล่อง ไปมาแทบไม่ได้พักผ่อน หากแต่ความมีระเบียบวินัย ทำให้เธอจัดสรรเวลาได้ลงตัว
“งานที่ทำอยู่จริงๆแล้วไม่ได้หนักจนเกินไป เราจะแบ่งเวลาค่อนข้างชัดเจนคือ อยู่ที่คลินิกกรุงเทพฯ 2 สัปดาห์ ไปทำงานที่เวียดนาม 1 สัปดาห์ ส่วนอีก 1 สัปดาห์ที่เหลือจะลงไปดูแลคนไข้ที่ภูเก็ต ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาจะนั่งสมาธิ และเล่นโยคะประมาณ 20 นาที ก่อนออกไปทำงาน ส่วนตอนเย็นถ้ามีเวลาว่างจะไปวิ่งที่สวนสาธารณะ และแต่ถ้าไม่มีเวลาจะวิ่งกับเครื่องวิ่ง แต่ถ้าเป็นสัปดาห์ที่มาภูเก็ต จะมีความสุขมาก เหมือนเรามาชาร์ตแบตค่ะ เพราะที่นี่เป็นทั้งบ้านและเป็นเมืองที่ชอบมาก ได้อยู่แล้วมีความสุข เสร็จจากงานคลินิก ก็มาพักที่ภารีสา จะใช้เวลาตรงนี้พักผ่อนและออกกำลังกายเต็มที่ ได้วิ่ง ได้ทำทุกอย่างที่อยากทำค่ะ”

 
เมื่อถามว่าตั้งเป้าหมายจะวิ่งให้ถึง 17 กิโลเมตรเมื่อไหร่? คุณหมอสาวยิ้มหวานก่อนบอกเสียงเบาๆ ว่า ยังไม่ทราบ ตอนนี้ใช้วิธีวิ่งแบบสบายๆ เหนื่อยก็หยุด ปีนี้แข่งไม่ทันก็ไว้แข่งปีหน้า
ส่วนจะให้แนะนำใครนั้น เธอบอกอย่างถ่อมตัวเองว่า ยังไม่เก่งถึงกับบอกหรือสอนใครได้ แต่สิ่งที่เธออยากบอกถึงทุกคนคือ การออกกำลังกายทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพราะนอกจากได้สุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้สดใส อารมณ์ดี สมองปลอดโปร่ง สำหรับสาวๆ หากทำอย่างต่อเนื่อง ยังช่วยให้หน้าท้องแบนราบ แถมผิวพรรณที่สดใสอีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น