คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
บนเรือนยอดอันสูงลิบลิ่วของต้นกระดังงาไทยหน้าบ้าน ใบสีเขียวอมเหลืองและดอกสีเหลืองละออติดลำต้นอยู่ไกลลิบลับ.. ติดๆ กันนั้นเป็นต้นปีบยอดสูงพอๆ กัน มีรังนกทีทำด้วยใบไม้เล็กๆ สีเขียวชะอุ่มตั้งอยู่บนเรือนยอดนั้น...
ท่ามกลางพื้นดินของฤดูแล้ง อากาศแห้งลมพัดแรง ใบไม้รอบๆ บ้าน พากันปลิดปลิวร่วงหล่น ยามเย็นของวันเช่นนี้ ช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกว้าเหว่และห่างไร้จากความรื่นรมย์ผสมสุข...ยกเว้นเมื่อได้มองขึ้นไปบนยอดไม้ เพียงชั่วขณะนั้นขณะเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้นมาเพียงชั่วครู่ แม้พยายามจะรักษาสภาพแห่งความชุ่มชื่นใจที่เกิดขึ้นเพียงชั่วแว่บไว้ให้นานเท่าใด ทว่ามันก็กลับลับหายไปเร็วเท่านั้น...
ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่มีใครเลย..เส้นทางสายเล็กๆ ที่เคยเป็นเส้นทางในยามเหงา ยามเมื่อได้ขับรถไปถามถนนสายนั้นเพื่อดูท้องทุ่งนา แต่ในบางวันเวลานั้นก็กลับช่างเวิ้งว้างราวกับอยู่ห่างไกลแสนไกล ไกลจากบางสิ่งบางอย่างที่ใจคำนึงและค้นหา ทั้งๆ ที่ระยะทางของมันก็เท่าเดิม
ยิ่งได้มองเห็นหญิงสาวชาวไร่ชาวนาผู้สวมเสื้อเสื้อเชิ๊ตแขนยาว กางเกงขายาวและหมวกอันปกคลุมบนใบหน้าเปิดเหลือไว้แต่เพียงดวงตา ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกโหยหาถึงความงามของดวงตาและรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
บางทีถ้าฉันจะเป็นแค่ผู้หญิงที่เป็นเพียงแม่และเมียของชาวนาสักคน ฉันคงจะมีความสุข ฉันคิด เช้าก็ทำกับข้าวให้ลูกกิน เย็นก็ไปรับลูกที่โรงเรียน ปรนนิบัติพัดวีผัวและเป็นเช่นช้างเท้าหลัง เป็นผู้หญิงแม่บ้านแม่เรือนที่อยู่กับบ้าน
ฉันพลันนึกถึงชีวิตในอีกเสี้ยวหนึ่งที่ฉันไม่ได้เป็น.....แต่ทว่าฉันก็ไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ ฉันเหมือนเป็นมนุษย์พันธุ์ประหลาดที่มีความซับซ้อนทางความรู้สึก ช่างคิด ผิดแปลกออกไป เกินกว่าที่จะมีชีวิตดังฝันเช่นหญิงสาวชาวบ้านชาวนาทั่้วไปเช่นนั้นได้...และฉันจึงต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวเช่นนี้
ภาพที่อยู่ในห้วงนึกของฉันคือหญิงชราผมยาวอันมีดวงตาลึกล้ำและสงบ มือเผยเส้นเลือดอันปูดโปนเกาะประตูบ้านของตนเองอยู่ลำพัง
นั่นคือภาพในห้วงนึกของฉันที่มีต่อตัวของฉันเอง...แก่และตายไปลำพัง...ฉันคงจะไปบริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาลในวันใดวันหนึ่งเพื่อเป็นการเตรียมตัวไว้....
นับแต่กลับมาอยู่สิงห์บุรี ฉันมักมองหาหนทางหรือบางสิ่งบางอย่างไว้เป็นที่ยึดเกาะทางอารมณ์ความรู้สึกให้ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเสมอๆ
หากแม้นว่าชีวิตโดยภาพรวมคือการว่ายน้ำอยู่ในแม้น้ำอันกว้างใหญ่ ใบไม้สักใบหรือขอนไม้สักขอนหนึ่งที่อยู่ใกล้มือพอที่จะสามารถเกี่ยวคว้าไว้ได้เพื่อลดทอนความรู้สึกอันเวิ้งว้างนั้น ฉันก็จะคว้าไว้...
ฉันมักจะออกไปร้านอินเตอร์เน็ตประจำตำบลอยู่ทุกๆ วัน แรกๆ ก็ไปที่ กศน.เพราะที่นั่นไม่เสียค่าเงินชั่วโมง หัดใช้และหาข้อมูลต่างๆ และค้นหาบางสิ่งบางอย่างอันเกี่ยวกับความรัก...ความรักในอินเตอร์เน็ต?????
ความรัก..ฉันเคยปล่อยให้ความรักเป็นสิ่งนำทางในชีวิตของฉันเสมอมา..ความรักในอินเตอร์เน็ตของฉัน ไม่ใช่การหาคู่ในอินเตอร์เน็ต แต่ฉันเสาะแสวงหาเรื่องราวของคนที่มีความรักต่อกันอย่างดูดดื่มและฉันคิดว่า ฉันไม่สามารถมีมันในชีวิตจริง
ฉันสั่งซื้อนวนิยายเกี่ยวกับความรักที่ค้นหาและเจอในอินเตอร์เน็ต อ่านนิยายนั้นๆ และทำความรู้จักกับคนเขียน เพื่อที่ฉันจะได้เพื่อนเอาไว้คุยและมีที่เกาะเกี่ยวทางความรู้สึกแม้ไม่เคยได้พบกัน...ฉันเสาะแสวงหาใครสักคนที่ฉันจะมีจินตนาการที่งดงามกับเขาและมีคนๆนั้นไว้ในจิตใจของฉัน เพื่อให้ฉันมีความรู้สึก "หลงรัก"
ความรู้สึกนี้นี่เองที่ช่วยดึงหัวใจของฉันให้มีแรงปรารถนาและสามารถขับเคลื่อนชีวิตและความฝันในแต่ละวันออกไปได้...และฉันก็มีสิ่งเหล่านั้นตามที่ฉันปรารถนาแต่ฉันมีเรื่องเหล่านี้แต่เพียงในความรู้สึกเท่านั้น มิได้คบหากับใครในความเป็นจริงและในชีวิตจริง....
ในวันที่เป็นวันหยุด ฉันขับรถออกไปจากบ้าน..ไปยังร้านกาแฟที่คนแน่นที่สุดในตลาดสามชุก เพียงเพราะต้องการไปนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนและเสียงพูดคุยอันเซ็งแซ่...
ร้านขายข้าวผัดและก๋วยเตี๋ยวในตลาดของหมู่บ้าน มีเจ้าของร้านเป็นพี่ผู้หญิงที่ใจดีและรักสัตว์ ฉันต้องออกไปนั่งที่ร้านเธอทุกๆ วัน
ในตอนกลางวัน แม้จะไม่ได้หิว แต่ฉันก็จะไปอุดหนุนเธอเสมอ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการไปสัมผัสนั้นคือกระแสแห่งความเป็นคนมีไออุ่นของคนที่ใจดีและมีเมตตาเช่นเธอนั่นเอง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุการณ์ในชีวิตที่ผันผ่านมาของฉัน ยามเมื่อฉันกลับมาอยู่บ้าน เป็นเพราะว่าฉันชอบ และเลือกที่จะใช้ชีวิตตามลำพังเพื่อที่จะสร้างงานได้ ฉันจึงต้องอยู่คนเดียวเช่นนี้ แม้จะชอบและเลือกแล้ว แต่มันก็เหงาสิ้นดี...
และแล้วสิ่งที่ฉันลงทุนไปด้วยชีวิตของฉัน นั้น มันก็ไม่เสียเปล่า ฉันได้งานจากความเหงาและการโหยหาความรักความใคร่อย่างถึงที่สุดของตนเอง โดยที่ฉันไม่ต้องเอาตัวไปเกี่ยวพันหรือมีความสัมพันธ์กับใครๆ เลย ซึ่งมันเป็นงานชิ้นที่ฉันแสนรักและภูมิใจ เป็นอย่างมาก
งานชิ้นนี้ของฉัน มีชื่อว่า "ปรารถนา".
ปรารถนาใดในโลกนี้ คือเธอ
ปรารถนาได้พบเจอ เพรียกพร่ำ
ปรารถนาฝากจูบนี้ ให้จำ
ปรารถนาลึกล้ำ ด่ำลึก ในเธอ...
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน เเละ เกรียงไกร ไวยกิจ
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
บนเรือนยอดอันสูงลิบลิ่วของต้นกระดังงาไทยหน้าบ้าน ใบสีเขียวอมเหลืองและดอกสีเหลืองละออติดลำต้นอยู่ไกลลิบลับ.. ติดๆ กันนั้นเป็นต้นปีบยอดสูงพอๆ กัน มีรังนกทีทำด้วยใบไม้เล็กๆ สีเขียวชะอุ่มตั้งอยู่บนเรือนยอดนั้น...
ท่ามกลางพื้นดินของฤดูแล้ง อากาศแห้งลมพัดแรง ใบไม้รอบๆ บ้าน พากันปลิดปลิวร่วงหล่น ยามเย็นของวันเช่นนี้ ช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกว้าเหว่และห่างไร้จากความรื่นรมย์ผสมสุข...ยกเว้นเมื่อได้มองขึ้นไปบนยอดไม้ เพียงชั่วขณะนั้นขณะเดียวที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงหัวใจที่ชุ่มชื่นขึ้นมาเพียงชั่วครู่ แม้พยายามจะรักษาสภาพแห่งความชุ่มชื่นใจที่เกิดขึ้นเพียงชั่วแว่บไว้ให้นานเท่าใด ทว่ามันก็กลับลับหายไปเร็วเท่านั้น...
ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่มีใครเลย..เส้นทางสายเล็กๆ ที่เคยเป็นเส้นทางในยามเหงา ยามเมื่อได้ขับรถไปถามถนนสายนั้นเพื่อดูท้องทุ่งนา แต่ในบางวันเวลานั้นก็กลับช่างเวิ้งว้างราวกับอยู่ห่างไกลแสนไกล ไกลจากบางสิ่งบางอย่างที่ใจคำนึงและค้นหา ทั้งๆ ที่ระยะทางของมันก็เท่าเดิม
ยิ่งได้มองเห็นหญิงสาวชาวไร่ชาวนาผู้สวมเสื้อเสื้อเชิ๊ตแขนยาว กางเกงขายาวและหมวกอันปกคลุมบนใบหน้าเปิดเหลือไว้แต่เพียงดวงตา ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกโหยหาถึงความงามของดวงตาและรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
บางทีถ้าฉันจะเป็นแค่ผู้หญิงที่เป็นเพียงแม่และเมียของชาวนาสักคน ฉันคงจะมีความสุข ฉันคิด เช้าก็ทำกับข้าวให้ลูกกิน เย็นก็ไปรับลูกที่โรงเรียน ปรนนิบัติพัดวีผัวและเป็นเช่นช้างเท้าหลัง เป็นผู้หญิงแม่บ้านแม่เรือนที่อยู่กับบ้าน
ฉันพลันนึกถึงชีวิตในอีกเสี้ยวหนึ่งที่ฉันไม่ได้เป็น.....แต่ทว่าฉันก็ไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ ฉันเหมือนเป็นมนุษย์พันธุ์ประหลาดที่มีความซับซ้อนทางความรู้สึก ช่างคิด ผิดแปลกออกไป เกินกว่าที่จะมีชีวิตดังฝันเช่นหญิงสาวชาวบ้านชาวนาทั่้วไปเช่นนั้นได้...และฉันจึงต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวเช่นนี้
ภาพที่อยู่ในห้วงนึกของฉันคือหญิงชราผมยาวอันมีดวงตาลึกล้ำและสงบ มือเผยเส้นเลือดอันปูดโปนเกาะประตูบ้านของตนเองอยู่ลำพัง
นั่นคือภาพในห้วงนึกของฉันที่มีต่อตัวของฉันเอง...แก่และตายไปลำพัง...ฉันคงจะไปบริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาลในวันใดวันหนึ่งเพื่อเป็นการเตรียมตัวไว้....
นับแต่กลับมาอยู่สิงห์บุรี ฉันมักมองหาหนทางหรือบางสิ่งบางอย่างไว้เป็นที่ยึดเกาะทางอารมณ์ความรู้สึกให้ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเสมอๆ
หากแม้นว่าชีวิตโดยภาพรวมคือการว่ายน้ำอยู่ในแม้น้ำอันกว้างใหญ่ ใบไม้สักใบหรือขอนไม้สักขอนหนึ่งที่อยู่ใกล้มือพอที่จะสามารถเกี่ยวคว้าไว้ได้เพื่อลดทอนความรู้สึกอันเวิ้งว้างนั้น ฉันก็จะคว้าไว้...
ฉันมักจะออกไปร้านอินเตอร์เน็ตประจำตำบลอยู่ทุกๆ วัน แรกๆ ก็ไปที่ กศน.เพราะที่นั่นไม่เสียค่าเงินชั่วโมง หัดใช้และหาข้อมูลต่างๆ และค้นหาบางสิ่งบางอย่างอันเกี่ยวกับความรัก...ความรักในอินเตอร์เน็ต?????
ความรัก..ฉันเคยปล่อยให้ความรักเป็นสิ่งนำทางในชีวิตของฉันเสมอมา..ความรักในอินเตอร์เน็ตของฉัน ไม่ใช่การหาคู่ในอินเตอร์เน็ต แต่ฉันเสาะแสวงหาเรื่องราวของคนที่มีความรักต่อกันอย่างดูดดื่มและฉันคิดว่า ฉันไม่สามารถมีมันในชีวิตจริง
ฉันสั่งซื้อนวนิยายเกี่ยวกับความรักที่ค้นหาและเจอในอินเตอร์เน็ต อ่านนิยายนั้นๆ และทำความรู้จักกับคนเขียน เพื่อที่ฉันจะได้เพื่อนเอาไว้คุยและมีที่เกาะเกี่ยวทางความรู้สึกแม้ไม่เคยได้พบกัน...ฉันเสาะแสวงหาใครสักคนที่ฉันจะมีจินตนาการที่งดงามกับเขาและมีคนๆนั้นไว้ในจิตใจของฉัน เพื่อให้ฉันมีความรู้สึก "หลงรัก"
ความรู้สึกนี้นี่เองที่ช่วยดึงหัวใจของฉันให้มีแรงปรารถนาและสามารถขับเคลื่อนชีวิตและความฝันในแต่ละวันออกไปได้...และฉันก็มีสิ่งเหล่านั้นตามที่ฉันปรารถนาแต่ฉันมีเรื่องเหล่านี้แต่เพียงในความรู้สึกเท่านั้น มิได้คบหากับใครในความเป็นจริงและในชีวิตจริง....
ในวันที่เป็นวันหยุด ฉันขับรถออกไปจากบ้าน..ไปยังร้านกาแฟที่คนแน่นที่สุดในตลาดสามชุก เพียงเพราะต้องการไปนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนและเสียงพูดคุยอันเซ็งแซ่...
ร้านขายข้าวผัดและก๋วยเตี๋ยวในตลาดของหมู่บ้าน มีเจ้าของร้านเป็นพี่ผู้หญิงที่ใจดีและรักสัตว์ ฉันต้องออกไปนั่งที่ร้านเธอทุกๆ วัน
ในตอนกลางวัน แม้จะไม่ได้หิว แต่ฉันก็จะไปอุดหนุนเธอเสมอ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการไปสัมผัสนั้นคือกระแสแห่งความเป็นคนมีไออุ่นของคนที่ใจดีและมีเมตตาเช่นเธอนั่นเอง
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุการณ์ในชีวิตที่ผันผ่านมาของฉัน ยามเมื่อฉันกลับมาอยู่บ้าน เป็นเพราะว่าฉันชอบ และเลือกที่จะใช้ชีวิตตามลำพังเพื่อที่จะสร้างงานได้ ฉันจึงต้องอยู่คนเดียวเช่นนี้ แม้จะชอบและเลือกแล้ว แต่มันก็เหงาสิ้นดี...
และแล้วสิ่งที่ฉันลงทุนไปด้วยชีวิตของฉัน นั้น มันก็ไม่เสียเปล่า ฉันได้งานจากความเหงาและการโหยหาความรักความใคร่อย่างถึงที่สุดของตนเอง โดยที่ฉันไม่ต้องเอาตัวไปเกี่ยวพันหรือมีความสัมพันธ์กับใครๆ เลย ซึ่งมันเป็นงานชิ้นที่ฉันแสนรักและภูมิใจ เป็นอย่างมาก
งานชิ้นนี้ของฉัน มีชื่อว่า "ปรารถนา".
ปรารถนาใดในโลกนี้ คือเธอ
ปรารถนาได้พบเจอ เพรียกพร่ำ
ปรารถนาฝากจูบนี้ ให้จำ
ปรารถนาลึกล้ำ ด่ำลึก ในเธอ...
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน เเละ เกรียงไกร ไวยกิจ
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews