xs
xsm
sm
md
lg

V shape เชยแล้ว! เทรนด์หน้าเรียวนิด กรามหน่อย มาแรง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

By Lady Manager

“เทรนด์หน้าจิ้งจก หรือที่เขาเรียกกันว่า เทรนด์หน้า V shape มันน่าเกลียด ไม่สวย เป็นเทคนิคชั้นต่ำ ราคาถูก มันดูไม่เข้มเเข็ง ไร้มิติ” นพ.พุฒิพงศ์ ภูมิสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและชะลอวัย ผู้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมความงามกรุงเทพ AIC (Aesthetic Innovation Center) กล่าวถึงเทรนด์หน้าวีแก้มตอบที่สาวไทยฮิตกันนักหนา

“เทรนด์ วี เชฟ หรือ วีจิ้งจก ที่กำลังนิยมกันนั้น ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เกาหลีเขาตัดกรามกันให้เป็นตัววีเลยนะ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเป็นหน้าวีจริง แต่ไม่สวยเท่าที่ควร มันขาดบางอย่างคือ "มิติ"

คำว่า วีเชฟ ในเมืองไทย เป็นการใช้เทคนิคชั้นต่ำในการทำวีเชฟ เช่น โบท็อกซ์กราม ฟิลเลอร์คาง ลดไขมันแก้ม จริงๆแล้ว เทคนิคนี้เป็นเทคนิคชั้นต่ำ ราคาถูก เพราะเกาหลีเขาตัดกรามกันเลย


แต่ปัจจุบัน advance มากกว่านั้น คือเทรนด์เปลี่ยน เขาจะไม่หน้าวีแล้ว แต่เขาจะวีแบบมีมุม เหมือนมีกรามหน่อยๆ คือจะให้คงความเป็นวีไว้ แต่ช่วงกรามจะต้องมีมุมเล็กน้อย”


เทรนด์หน้าตอบหลบไป กรามนิดๆมาแรง!

Transforming Face Lift คือ ยกหน้าด้วย และเปลี่ยนโครงกระดูกด้วย มันเป็นเทคนิคการปรับโครงกระดูกกรามล่าง ฉีดฟิลเลอร์จะไม่ฉีดจุดเดียวต้องมีการต่อกระดูกข้างๆบริเวณช่วงกรามขึ้นมาด้วย ไม่ใช่ฉีดโบท็อกซ์ข้างแก้มให้ตอบมันจะดูเป็นจิ้งจก ไม่สวย เทคนิคนี้เป็นการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปแต่งกระดูกกรามล่าง เป็นเทคนิคชั้นสูง ทำไม่ได้ทุกคน ผมว่าในประเทศไทยแทบจะไม่มีคนทำได้เลย

นอกจากนี้ ในบางเคสนอกจากจะมีการต่อกระดูกแล้วยังใช้ไหมช่วยในการขึ้นกรอบใบหน้าเพิ่มให้ ทำผสมกัน ถ้าคนไข้กรามไม่ได้ใหญ่มากผิดรูปทำได้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่กรามไม่ได้ผิดรูปมาก เราไม่ควรผ่าตัดกราม จะทำให้หน้าเสียรูป เพราะไทยไม่เหมือนเกาหลี คนเกาหลีโครงกระดูกใหญ่ ตัวใหญ่ กรามใหญ่ เขาตัดสวย คนไทยตัดไม่สวย

คนไทยมีกรามนิดๆกำลังสวย หากไม่มีจะกลายเป็นหน้าจิ้งจก หน้าจะโทรม หน้าตอบ และที่สำคัญโหนกแก้มจะโผล่ขึ้นมาทันทีหากไปฉีดโบท็อกซ์ลดกราม เพราะกรามบุบเข้าไป จึงทำให้โหนกแก้มสูงขึ้นมา แก้ยาก คนมีกรามนิดๆจะแสดงพลัง แสดงมิติให้ใบหน้า”


อนาคต..ผ่าตัดลงมีดเท่าที่จำเป็น เทคนิคกึ่งศัลย์มาแทน

“คนจะนิยมทำศัลยกรรมแบบผ่าตัดลงมีดเท่าที่จำเป็น เช่น จมูกผ่า ตาบนผ่า หน้าอกผ่า เพราะไม่มีตัวเลือก ตัวเลือกอื่นสู้ไม่ได้ แต่จุดที่ไม่จำเป็นที่มีตัวเลือกการรักษากึ่งศัลยกรรมจะมาแทน คือการไม่ต้องลงมีด เช่นการใช้ไหม ฟิลเลอร์เข้าช่วย นี่คือเทคนิคกึ่งศัลยกรรม ถามว่าโหดไหม ก็โหดเหมือนกัน คือ เจ็บตัว แต่ไม่ต้องพักฟื้น”

คุณหมออธิบายถึงการทำศัลยกรรมกับกึ่งศัลยกรรมว่า

“คำจำกัดความของการทำศัลยกรรม กับกึ่งศัลยกรรมต่างกันอย่างไร คือการรักษาในเชิงของศัลยกรรม เป็นการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง ตั้งแต่ชั้นผิวหนัง ไขมัน กล้ามเนื้อ กระดูก ในขณะที่การรักษาแบบไม่ใช่ศัลยกรรม ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบถาวรของผิวหนัง ไขมัน กล้ามเนื้อ กระดูก ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร ไม่ถือว่าเป็นการศัลยกรรม


ทว่า ถ้าหากเป็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างแต่ไม่ถาวร เช่น เปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระดูกโดยการใช้ฟิลเลอร์ฉีดเข้าไปที่เยื่อหุ้มกระดูก เพื่อปรับรูปโครงกระดูกเข้ามาใหม่ มีผลการวิจัยออกมารองรับด้วยว่า ฟิลเลอร์สามารถช่วยฉีดเพิ่มกระดูก จะไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ และเสริม อยู่ได้นาน อยู่ได้หลายปี และธรรมชาติมาก จับและคลำจะไม่มีก้อน

เพราะเทคนิคนี้พัฒนามาจากเทคนิคการเลียนแบบการผ่าตัดเสริม คือเวลาผ่าตัดเสริมใต้ตา เสริมโหนกแก้ม เขาจะเอาเหมือนแผ่นซิลิโคนยาง ผ่าและแปะเข้าไป เจาะรู สกรูติด ลักษณะเดียวกัน คือเราทำฟิลเลอร์แบบเดียวกัน แทนที่จะใช้แผ่นซิลิโคนแปะเราก็ใช้การฉีด จะทำให้ธรรมชาติมาก เราไม่ได้ฉีดแบบปกติ ทีนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของข้างล่างแล้ว


การร้อยไหมก็เช่นเดียวกัน มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบางส่วนของชั้นใต้ผิวหนัง แต่ไม่ถาวร ผมเรียกว่า การรักษากึ่งศัลยกรรม เป็นนิยามใหม่” คุณหมอพุฒิพงศ์ กล่าวถึงทิศทางอนาคตของการเปลี่ยนแปลงรูปหน้า


 >> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น