“เกลียดระบอบทักษิณที่เกาะกินประเทศชาติ ยิ่งรู้ว่ามีญาติสกุลเดียวกันอยู่ในรัฐบาลนี้ ยิ่งเกลียดมาก ถ้าเจอหน้าอยากบอกให้ไปใช้นามสกุลอื่น อย่ามาทำให้ สกุล ณ ระนอง ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง” นั่นคือความในใจที่ “หญิง-วรวิมล ณ ระนอง” บอกว่าอยากทำที่สุดในตอนนี้
วรวิมล หรือที่ในวงสังคมรู้จักกันดีว่า “หญิง” เป็นบุตรีของ พลตรีวรมัน กับ วิมลพรรณ ณ ระนอง และเป็นญาติกับ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเธอบอกว่า แม้จะเป็นญาติคนละสายไม่ได้สนิทชิดเชื้อ แต่ก็รับไม่ได้ที่รู้ว่า พี่น้องในตระกูลไปทำงานรับใช้คนที่คิดคดทรยศแผ่นดิน ดังนั้น เธอจึงต้องเข้าร่วมขบวนเดินสายขับไล่ระบอบทักษิณ เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน บุญคุณพ่อหลวง และปกป้องชื่อเสียงวงศ์ตระกูลที่บรรพบุรุษสร้างมา ไม่ให้นามสกุลต้องหม่นหมองด้วยน้ำมือญาติเพียงคนเดียว
หญิง-วรวิมล นับเป็นไฮโซสาวใหญ่ผู้รักความท้าทาย มีโอกาสได้ทำอะไรที่แปลกใหม่เป็นคว้าหมด เธอบอกว่า ตลอดชีวิตของเธอผ่านการทำงานมาอย่างโชกโชน เมื่อเป็นนักศึกษาก็ได้รับเลือกเป็นดรัมเมเยอร์ไม้หนึ่ง ของงานฟุตบอลประเพณี จุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ในยุคนั้น ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของเธอมาก
เมื่อจบปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็เข้าเป็นพนักงานภาคพื้นดินที่สายการบินไทย จากนั้นก็โยกมาลองทำงานด้านประชาสัมพันธ์ ให้โรงแรมดุสิตธานี และยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เมื่อถึงจุดอิ่มตัว จึงเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ก่อนกลับมาทำงานอีกหลายอย่าง “ชีวิตเริ่มนิ่งแล้วค่ะ อาจเป็นเพราะอายุเยอะขึ้นด้วย ตอนนี้มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ภาควิชาสื่อสารและการโฆษณา ที่สถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง เวลาว่างก็ร่วมกิจกรรมการเมือง ใครต่อต้านระบอบทักษิณเข้าร่วมหมด (หัวเราะ)“
สาวใหญ่มาดมั่นร่างเล็กคนนี้บอกว่า สมัยสาวๆ เธอถือเป็นสาวสังคมที่เปิ๊ดสะก๊าดคนหนึ่ง ชอบปาร์ตี้ ท่องเที่ยว ไม่สนใจบ้านเมือง แต่เมื่อเที่ยวจนถึงจุดเบื่อ จึงเริ่มหันมาอ่านหนังสือ ฟังข่าวการเมืองมากขึ้น และเห็นความไม่ชอบมาพากลของ ทักษิณ ชินวัตร ก็เริ่มรู้สึกอึดอัด จนถึงปี 2548 วันที่มีพันธมิตรประชาชนประชาธิปไตย จึงถือโอกาสออกไปร่วมชุมนุมด้วยทุกครั้ง “เราเป็นประชาชนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่อยากแสดงออก ใช้สิทธิ์ใช้เสียงของตัวเอง อีกอย่างตระกูลเราเป็นจีนแท้ แผ่นดินใหญ่ แล้วพระเจ้าอยู่หัวให้ไปเป็นเจ้าเมือง ให้ยศถาบรรดาศักดิ์ ตรงนี้ต้องทดแทนค่ะ รักษาความดีที่ปู่ย่าตายายสร้างสมมา”
ต้นสกุล ณ ระนอง นั้น พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) เป็นชาวจีนฮกเกี้ยน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2340 ที่เมืองเจียงจิวหู ประเทศจีน ตรงข้ามกับเกาะ ไต้หวัน เมื่ออายุ 24 ปี ได้เดินทางหนีความยากแค้นกดขี่จากรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ มาเป็นกรรมกรอยู่ที่เกาะหมาก (ปีนัง) ทำเกษตรกรรมและค้าขายอยู่ราว 6 ปี จึงเดินทางเข้ามาราชอาณาจักรสยาม ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำการค้า และทำความดีความชอบ จนได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ ขณะที่ คอซิมก๊อง บุตรชายคนโตของ ท่านขึ้นเป็น “พระยารัตนเศรษฐี” ผู้ว่าราชการเมืองระนองแทน และเป็น ต้นสกุล ณ ระนอง สืบต่อมาถึงปัจจุบัน
เมื่อเวลาผ่านไป ระบอบกัดกินแผ่นดินดูยิ่งฮึกเหิมมากขึ้น และหนึ่งในรัฐบาลภายใต้อำนาจของทักษิณ มีคนของตระกูล ณ ระนอง ร่วมอยู่ด้วย ทำให้เธอยิ่งรู้สึกเครียดมาก
“ไม่เข้าใจในตัว “กิตติรัตน์” ทำไมไม่รู้จักว่าอะไรถูกอะไรผิด สมัยก่อนตอนที่เขาอยู่ กลต. เคยได้เจอ และรู้ว่าเขาเป็นคนมั่นใจตัวเอง เพราะเขาบอกว่าเขาเหมือน “กบในกะลา” เราก็สงสัยว่าทำไม เพราะตำแหน่งตรงนั้นสูงแล้ว จากนั้นไม่นาน ก็เพิ่งมารู้ว่าเขามาร่วมกับรัฐบาลทักษิณ ทำให้รู้สึกเสียใจ ยิ่งมาช่วงหลัง การบริหารงานผิดพลาดบ้านเมืองล้มเหลว ทั้งโครงการรับจำนำข้าว ยางพารา มันยิ่งทำให้รู้สึกรังเกียจมากขึ้น ทุกคนไม่มีใครดีหมด เราเองก็ไม่ได้ดีเต็มร้อย แต่ก็ไม่เคยเบียดเบียนชาติ”
หญิง-วรวิมล ยังเล่าถึงความผิดหวังของระบบการเมืองไทยในระบอบทักษิณว่า นอกจากจะส่งผลต่อชาติบ้านเมือง แล้วยังส่งผลกระทบต่อความขัดแย้งในตระกูล โดยเฉพาะ เรื่องการโยกย้าย กิตติพงษ์ ณ ระนอง เอกอัครราชทูตกรุงวอชิงตัน ดี ซี มาประจำที่ประเทศเกาหลี และบราซิล ด้วยเหตุผลไม่ยอมรับนโยบายของ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
“กิตตพงษ์เขาหนักแน่น เป็นคนตรง เมื่อเขารับการทำงานแบบที่ไม่ถูกต้องไม่ได้ กลับถูกบังคับให้ไปขอขมาสุรพงษ์ เราฟังแล้วเข่าอ่อนเลย เขาทำกับพี่น้องได้อย่างไร โชคดีที่กิตติพงษ์เข้มแข็ง ไม่ยอมขอขมา ไม่ลาออก ให้ย้ายไปไหนก็ไป ตอนนี้ถูกบีบไปอยู่ลิเบียแล้ว มีที่ไหนคนทำงานมานานเคยอยู่วอชิงตัน ดี ซี จุดที่เรียกว่าดีที่สุด ต้องถูกย้ายมาอยู่ในจุดที่แย่ เรียกได้ว่าแย่ที่สุด แบบนี้มันรังแกกันชัดๆ”
หญิงยังบอกอีกว่า ตอนนี้เธอเปิดเฟสบุ๊ก โพสต์ด่ารัฐบาลไปเรี่อยๆ เมื่อมีกิจกรรมทางการเมืองเพื่อขับไล่ทักษิณที่ไหน เธอพร้อมจะไปร่วมทันที ไม่มีเว้น นอกจากเธอแล้วก็มีคนในตระกูลที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณรวมตัวกัน ใครทำอะไรได้ก็ทำ เช่น อาจารย์จำรูญ ณ ระนอง ก็จะเดินสายรับเชิญเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ส่วนเธอกับญาติคนอื่นๆ รวมถึงเพื่อนๆ ไม่มีความรู้มากมาย ก็มาช่วยม็อบให้เดินก็ยอมเดิน
“จากที่เคยรักสวยรักงาม ดูสภาพตอนนี้สิ มอมเหมือนแมว (หัวเราะ) อุปกรณ์ไม่มีอะไรเลย มีกระเป๋าใบนี้ ใส่ยาดม ยาหม่อง โทรศัพท์ และก็มือตบอันนี้อันเดียว (หยิบโชว์) ซื้อตอนชุมนุมครั้งก่อนก็ใช้มาตลอด เราเหนื่อยนะคะ แต่ก็ต้องสู้เพราะทนเห็นให้ระบอบสามานย์มาแทะกินบ้านเมืองไม่ไหวแล้ว กำลังคิดกับพี่ๆ น้องๆ ที่รู้สึกเหมือนกันว่า ต้องขึ้นเวทีชี้แจง ปกป้องศักดิ์ศรีของตระกูล ณ ระนอง ที่ผ่านมา ครอบครัวเราไม่เคยมีใครยอมลดตัวเป็นทาสรับใช้นักการเมืองโกงชาติ ยกเว้น ณ ระนอง บางคนที่มีสมองแต่ไม่รู้จักคิด"
เมื่อถามถึงมุมมองทางการเมือง เธอยอมรับว่า หมดศรัทธากับนักการเมืองไทย เพราะหลายครั้งที่เลือกตั้งไปแล้ว ไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรดีขึ้นเลย อีกทั้งยังเสียความรู้สึกกับประชาธิปัตย์มาก เสียดายที่โอกาสอยู่ในมือแล้วกลับไม่ทำอะไรให้เด็ดขาด ปล่อยให้เรื่องบานปลายถึงขั้นนี้ ทำให้ต้องมานั่งเหนื่อยกันอีกในขณะนี้
ก่อนจากการในวันนั้น เธอยืนยันว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เธอก็ไม่กลัว เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ได้ทำ แม้จะเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองเล็กๆ ก็ดีใจที่ได้มีส่วนร่วมในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ของไทย