>>เคยมีประโยคเท่ๆ ให้ความหมายของคำว่า Family ว่าสามารถให้ความหมายนอกจากคำว่า “ครอบครัว” คือ “Father And Mother I Love You” และนั่นก็คือสิ่งที่ลูกๆ ทั้ง 4 คนของ"บ้านเลาหพงศ์ชนะ" อันประกอบด้วย เปิล-อภิชา, ป็อป-วราวุธ, ปุ๊ก-กฤตยา และปอนด์-สราวุธ เลาหพงศ์ชนะ อยากบอกกับคุณพ่อวิบูลย์และคุณแม่ยุพินว่าเขารักท่านทั้งสองมากที่สุด!
วันนี้เราได้รับเกียรติอย่างมากที่ครอบครัวเลาหพงศ์ชนะตอบรับคำเชิญจาก Celeb Online เพื่อสัมภาษณ์ครอบครัวที่อบอุ่นสุขสันต์ครอบครัวนี้ เราจึงมีโอกาสเข้ามาเยือนครอบครัว สถานที่ซึ่งมีรั้วสูงใหญ่และภายในประกอบด้วยบ้านของพี่น้องครอบครัวเลาหพงศ์ชนะที่อยู่รวมกันอีก 5 ครอบครัว แม้ด้วยวัยจะล่วงเลยมาหลายปี แต่สำหรับพี่ชายคนโตของตระกูลอย่างคุณวิบูลย์ ก็ยังคงดูแล ใส่ใจ เรียกว่าพี่น้องไม่เคยทิ้งกัน ครอบครัวนี้จึงอบอุ่นสุขสันต์กันตั้งแต่รุ่นคุณพ่อจนถึงรุ่นลูกหลาน
สำหรับครอบครัวของคุณพ่อวิบูลย์ เลาหพงศ์ชนะ ท่านเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับคุณแม่ยุพินด้วยการจัดตั้งบริษัทกรุงไทยอิมพอร์ต-เอ็กซ์พอร์ตขึ้น เมื่อปี 2509 จากนั้นประมาณปี 2520 ก็จัดตั้งบริษัท กรุงไทยแทรคเตอร์ จำกัด ขึ้นอีก
“เมื่อก่อนเรานำเข้ารถปิกอัพ รถแทรกเตอร์ ที่เป็นรถใช้แล้วจากญี่ปุ่น แล้วก็มาทำธุรกิจเกี่ยวกับรถแทรกเตอร์อย่างเต็มตัว ธุรกิจส่วนใหญ่เกี่ยวกับเครื่องจักรกลหนัก ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำมา 30 กว่าปีแล้ว”
ผู้บ่มเพาะความเป็นเลาหพงศ์ชนะ
จะว่าไปแล้วบ้านเลาหพงศ์ชนะเป็นครอบครัวใหญ่และเป็นที่รู้จักพอสมควร ซึ่งทั้งคุณเปิล-อภิชา พี่สาวคนโตของบ้าน, คุณป็อป-วราวุธ ลูกคนที่ 2, คุณปุ๊ก-กฤติยา น้องสาวคนที่ 3 และคุณปอนด์-สราวุธ เลาหพงศ์ชนะ น้องชายคนสุดท้อง ทุกคนต่างก็ได้รับการเลี้ยงดูอบรมที่ดีจากคุณพ่อวิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงไทย แทรคเตอร์ จำกัด และคุณแม่ยุพิน ที่ทั้งสองตั้งใจบ่มเพาะลูกทั้ง 4 ให้ออกมาเป็นคนดีของสังคม ไม่โอ้อวดและเป็นคนรู้จักประมาณตน โดยคุณพ่อวิบูลย์เล่าให้เราฟังถึงการเลี้ยงดูลูกๆ ของท่านว่า “เราอย่าให้ลูกโอ้อวด การถ่อมตัวถือเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เราอยู่ในสังคมได้ง่าย ถ้าเราโอหังว่าเรามี วันหนึ่งเราอาจจะเหลิง ผมจะเลี้ยงให้เขาถ่อมตัวตั้งแต่เด็กๆ ให้ลูกๆ ติดดิน ไม่ฟุ้งเฟื้อ”
ด้วยความที่ครอบครัวเป็นคนจีนจึงสอนให้ลูกมีความรับผิดชอบตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะเรื่องการเรียนรู้และหลักคำสอนต่างๆ ซึ่งทำให้สมาชิกของบ้านนี้เป็นคนที่ดูมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีความรับผิดชอบสูง ซึ่งลูกๆ ทุกคนจึงยึดคำสอนนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ
“ที่บ้านสอนเสมอว่าคนเราทุกคนมีคุณค่าในตัวเองไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งอะไร ฐานะอะไร คนเรามีความถนัดและความเก่งไม่เหมือนกัน คนเราทุกคนมีคุณค่าที่เท่ากัน อย่างคนทำความสะอาดเราไปดูถูกเขาก็ไม่ได้ เพราะวิธีทำความสะอาด เรายังทำไม่เป็นเลย
ตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่สอนตลอดว่าเวลาไปไหน เราต้องไหว้คนอื่น เราเป็นเด็กเราต้องไหว้ ก็เลยติดเป็นนิสัยเจอใครไหว้ไว้ก่อนทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า ค่อยมาเทียบอายุทีหลัง เราโตขึ้นมาด้วยการขัดเกลาจากพ่อแม่ว่าบ้านเราเป็นเพียงครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดาที่พอกินพอใช้ ซึ่งเวลาที่พ่อแม่ให้เงินใช้ก็ไม่ได้มากมายเลย ถ้าหากไปเทียบกับลูกเศรษฐีจริงๆ จะรู้ว่าเราไม่รวยเลย ตอนเป็นเด็กเคยขึ้นเครื่องบินก็ต้องนั่งชั้นประหยัด ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปนั่งเฟิสต์คลาส ทำให้รู้สึกว่าเราต้องเจียมตัว ถ่อมตัวระลึกตัวว่าเราเป็นคนธรรมดา จะไปหรูหราอย่างคนอื่นเขาไม่ได้ ก็เลยทำให้เป็นคนรู้จักความพอดี ประมาณตน ถ่อมตนมั้งครับ” คุณป็อป-วราวุธ ลูกชายคนที่ 2 ของบ้านเล่าถึงคำสอนของคุณพ่อคุณแม่ให้เราฟังเป็นฉากๆ
ในขณะที่พี่สาวคนโตอย่างคุณเปิล-อภิชา บอกว่าสิ่งที่อยู่ในใจตนตลอดก็คือความกตัญญูรู้คุณคน ที่คุณพ่อคุณแม่มักจะย้ำพร่ำสอนเสมอ “เราต้องกตัญญูรู้คุณคน ต้องไม่ลืมว่าใครช่วยเหลือเราไว้ ซึ่งตรงนี้เปิลก็จะบอกน้องๆ เสมอว่าอย่าลืม เรามีทุกวันนี้ได้เพราะบรรพบุรุษ ทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย หรืออย่างเรื่องการงานเรามีวันนี้ได้เพราะผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ที่ให้โอกาสให้ความเมตตา ให้เรามีพื้นที่ได้ทำงาน เมื่อไหร่ที่ท่านเหล่านั้นต้องการให้เราทำอะไร เราจะปฏิเสธไม่ได้เลย”
“ความรับผิดชอบ หนักเอาเบาสู้ การทำงานไม่มีอะไรง่าย ถ้าเรามีความรับผิดชอบ พร้อมที่จะศึกษาเรียนรู้ ทำไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นการพัฒนาศักยภาพเรา ฉะนั้น เราก็ต้องกัดฟันสู้งาน แล้วก็ต้องประหยัดอดออม รู้จักพอด้วย” คุณปอนด์ น้องชายคนเล็กของบ้านกล่าวเสริมถึงคำสอนที่ได้จากคุณพ่อและคุณแม่
บ้านนี้ไม่มีคำว่า “สปอยล์”
แม้ว่าจะเป็นครอบครัวที่มีธุรกิจของตัวเองและมีศักยภาพพอที่จะเลี้ยงลูกอย่างคุณหนู แต่เมื่อเราถามคุณพ่อว่า มีการสปอยล์ลูกบ้างมั้ย? คุณพ่อตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ไม่มีครับ”
คุณพ่อ :: “ตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ท่านจะสอนให้เราประหยัด อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ถ้าตอนเด็กเขาสบายก็จริงแต่โตขึ้นเขาจะลำบาก แต่ถ้าตอนเด็กเขาลำบากโตขึ้นเขาก็จะสบาย ตรงนี้เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันนะ เพราะถ้าเขาไม่รู้จักความลำบาก พอเจออะไรที่ลำบากหน่อยเขาก็ทำอะไรไม่เป็น หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ฉะนั้นเราต้องฝึกให้เขาสู้กับทุกสภาวะได้”
คุณแม่ :: “ครอบครัวเราไม่สปอยล์ลูก อย่างมากก็เพียงแค่ส่งไปเรียนพิเศษช่วงปิดเทอมซัมเมอร์นิดหน่อย แม่พยายามเลี้ยงเขาแบบไม่คาดหวังเลย เพราะไม่อย่างนั้นจะเหมือนการกดดันลูก แม่กลัวลูกจะเก็บกด ฉะนั้น เราจะเลี้ยงลูกแบบเสรีประชาธิปไตย ใครอยากทำอะไรก็ทำ แต่ก็อยู่ในกรอบที่ไม่ผิดครรลองคลองธรรม”
คุณป็อป :: “คุณพ่อคุณแม่สอนเสมอว่าครอบครัวเราเป็นคนชั้นกลาง ฉะนั้น ไม่สามารถใช้เงินฟุ่มเฟือยได้ แต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัด ในการใช้ชีวิตเราต้องรู้ว่าทุกบาททุกสตางค์ที่เราได้มา เราได้มาด้วยความลำบาก ฉะนั้น ถ้าจะใช้เงินอะไรก็ต้องใช้อย่างรู้คุณค่า ต้องคิดต้องระวัง ซึ่งทุกวันนี้ก็รู้ซึ้งนะว่าเงินได้มาด้วยความยากลำบากจริงๆ” (หัวเราะ)
คุณเปิล :: “ท่านเลี้ยงเรามาอย่างง่ายๆ สอนเสมอว่าเรามีไม่มาก คนอื่นมีมากกว่าเรา สอนให้เราไม่ต้องอยากมี อยากได้ แค่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี จริงๆ ท่านไม่ได้สอนให้เราถ่อมตัวนะ ท่านสอนให้เรารู้จักเจียมตัวมากกว่า ไม่ใช่เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง หรือไปทำอะไรที่เกินกำลังเรา ให้เรารู้ตัว รู้ว่าเรามีอยู่แค่นี้ก็ใช้แค่นี้”
วิธีการฝึกง่ายๆ ที่คุณพ่อเล่าให้เราฟังก็คือให้ลูกๆ รู้จักบริหารเงินค่าขนมของตัวเอง เช่น ช่วงมัธยมต้นจะให้เงินค่าขนมเป็นรายอาทิตย์ พอโตขึ้นมาในระดับมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยก็ให้เป็นรายเดือน โดยทุกสิ่งทุกอย่างต้องรู้จักจัดสรรให้พอ เพราะจะไม่มีการมาร้องขอมากไปกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งข้อนี้พี่น้องทุกคนต่างยืนยันกับเราเป็นเสียงเดียวกัน
คุณปุ๊ก :: “ท่านไม่ได้ให้เยอะนะ แต่ทุกคนจะมีประปุกออมสินของตัวเอง เหมือนคำโบราณที่ว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท เดี๋ยวนี้เด็กสมัยใหม่อาจจะไม่รู้จักคำนี้แล้ว สมัยเราสลึงยังมีค่ามาก ท่านจะให้ค่าขนมมาเป็นก้อน ฉะนั้น เราต้องแบ่งสรรว่าจะเก็บเท่าไหร่ ใช้เท่าไหร่ ถ้าเราอยากได้อะไรเป็นพิเศษ ต้องเก็บออมจากเงินค่าขนมที่ได้นั่นแหละ ทำให้เราทุกคนตระหนักอยู่เสมอเรื่องการใช้เงิน เราไม่เคยได้ใช้เงินมือเติบเลย เพราะเราใช้ได้เท่านี้ แล้วเงินเดือนที่ได้มาหรือรายวันก็ไม่ได้เยอะกว่าเพื่อนๆ คนอื่นเลย แต่ก็ไม่เคยไม่พอนะ”
คุณปอนด์ :: “เรื่องรถหรือเรื่องการไปเรียนต่างประเทศ จะเป็นลักษณะว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมมากกว่า เช่น คุณพ่อจะตั้งกฎว่าถ้าเรียนจบปริญญาตรีก็จะส่งไปศึกษาต่อต่างประเทศ เรื่องการศึกษาท่านทุ่มเต็มที่ ท่านถือว่าท่านให้การศึกษาแล้ว ซึ่งการศึกษาถือเป็นอาวุธติดตัวที่ดีที่สุด ที่เหลือก็ต้องไปหาเอาเอง แต่ท่านไม่เคยให้เราใช้ชีวิตที่ลำบาก ท่านจะสอนเราเสมอว่าเราไม่ต้องไปใช้ชีวิตแข่งขันโอ้อวดแข่งกับใคร ท่านให้เราอยู่อย่างสบายตามอัตภาพที่เราพอจะมีได้ ไม่มีคำว่า “อู้ฟู่”
วีรกรรมลูกแต่ละคน!
นั่งคุยถึงคำสอนที่ทำให้ลูกๆ ทั้ง 4 เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีแล้ว ก็ถึงเวลานั่งเมาท์ถึงลูกๆ แต่ละคนแบบเรียงตัวว่าใครเป็นอย่างไร? ในสายตาพ่อและแม่กันบ้าง! แม้ว่าจะเติบโตขึ้นมาจากคำสอนเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่ความสนใจและประสบการณ์ชีวิตที่แต่ละคนออกไปเจอ ทำให้แต่ละคนก็มีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทุกอย่างก็อยู่ในสายตาพ่อแม่เสมอ
คุณพ่อ :: “ป็อปเรียนเก่งไม่ต้องไปเคี่ยวเข็น เขาเป็นเด็กดี สุดยอดเลย เรียบร้อย ส่วนปุ๊กก็ว่านอนสอนง่าย เรียนดีตลอด เขาโชคดีหลายอย่างแล้วเขาก็ดูแลตัวเองได้ดี ไม่ซ่าเท่าไหร่”
คุณแม่ :: “ปอนด์กับเปิลน่ะซ่า! ปอนด์เคยเล่นจนหัวแตกต้องเย็บแผลยังไม่ทันหาย แตกอีกแผลแล้ว โอ๊ยยย (เสียงสูง) อย่างว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายชอบเล่นแบบลุยๆ”
แล้วอย่างนี้คุณพ่อดุมัhย??
คุณพ่อ :: “ดุนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการเรียน ต้องไม่ให้ต่ำกว่าที่กำหนดไว้”
คุณป็อป :: “ไม่เรียกว่า “ดุ” ดีกว่า...เรียกว่าท่าน “เข้มงวด” ก็แล้วกัน
คุณแม่ :: “เข้มงวดในเรื่องการเรียน ส่วนเรื่องอื่นๆ เราก็เลี้ยงเขาแบบเสรี เขาเลยไม่รู้สึกว่าเก็บกด แล้วก็คอยแนะแนวทางให้ คุยกันเหมือนเพื่อน ปรึกษากันได้ทุกเรื่องใครอยากจะทำอะไรพ่อแม่ก็สนับสนุนหมด”
คุณปุ๊ก :: “บ้านเราให้อิสระในการที่เราจะไปประกอบสัมมาอาชีพ ที่เหลือจะทำได้มาก น้อย เล็กใหญ่ ก็ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของเราแล้ว ถ้าจะให้ไปทำธุรกิจร้อยล้าน พันล้านก็คงไม่ได้เพราะเราก็คงไม่ได้เก่งและรวยเวอร์ขนาดนั้น แต่ถ้าเราทำทุกอย่างภายใต้กรอบศักยภาพที่เราทำไหว ทั้งด้วยเรื่องเวลา ทุนทรัพย์ ท่านก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร”
ความผูกพันของครอบครัว
จัดว่าครอบครัวเลาหพงศ์ชนะครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่เพราะมีลูกถึง 4 คนด้วยกัน แต่แม้ว่าสมาชิกในครอบครัวจะมีจำนวนมากแต่ทุกคนก็มีความสนิทสนมกัน ซึ่งน่าจะเป็นข้อดีของการมีลูกหลายคนเพราะว่าทุกคนไม่เหงาเพราะมีพี่น้องหลายคนให้คุยและปรึกษาในเรื่องที่แตกต่างกันออกไป
คุณพ่อ :: “สมัยเด็กๆ พ่อเป็นคนไปส่งลูกที่โรงเรียนก็นั่งรถคันเดียวกันไป เจี๊ยวจ๊าวกันเลย ถ้าไม่เล่นกันก็หลับ”
คุณปอนด์ :: “แม้จะเรียนกันคนละโรงเรียนแต่ก็ไปพร้อมกันเพราะโรงเรียนอยู่ใกล้กัน...เด็กๆ ก็ตีกันบ้างตามประสาเด็กเล็กๆ น้อยๆ และนอกจากคุณพ่อคุณแม่แล้วพี่ป็อป พี่เปิล พี่ปุ๊กก็สอนปอนด์ด้วย ก็สนุกดีที่เราเป็นน้องคนสุดท้อง”
คุณปุ๊ก :: “เราเป็นพี่น้องกันความคิดความอ่านก็จะคล้ายกัน พี่น้องทุกคนสนิทกันแต่คนละแบบ อย่างตอนเด็กๆ จะชอบเล่นแบบบู๊ๆ กับปอนด์เพราะวัยเราใกล้กัน แต่จริงๆ แล้วพี่เปิลห้าวกว่าปุ๊กนะ (หัวเราะ)”
คุณป็อป :: “ถ้าเรื่องความซ่าจะมีอยู่ 2 คนคือพี่เปิลกับปอนด์ แล้วพราวเป็นลูกปอนด์ก็เลยสนิทกับพี่เปิล” (หัวเราะกันครืนเมื่อย้อนอดีตของความซ่าในวัยเด็ก)
คุณเปิล :: “ตั้งแต่เด็กเราแชร์ทุกเรื่องกัน เราจะรู้จักกลุ่มเพื่อนของกันและกัน วีรกรรมของพี่น้องทุกคนจะรู้กันหมด เราสนิทกันต่างแบบอย่างกับป็อปด้วยวัยใกล้กันก็จะสื่อสารกันง่าย อย่างปุ๊กเราเป็นผู้หญิงเหมือนกันเสื้อผ้าเราใส่กันได้ก็จะเมาท์กันเรื่องกุ๊กกิ๊กของผู้หญิง ส่วนปอนด์จะคุยเรื่องการงานเพราะว่าเขาทำงานให้คุณพ่อ เรื่องตัวเลขและเรื่องการลงทุนเนี่ยเขาจะหัวไวมาก”
แม้ทุกวันนี้ลูกโตกันหมดแล้วและต่างคนต่างมีภารกิจ จึงมักจะมีเวลาว่างไม่ตรงกัน แต่เมื่อถามคุณพ่อคุณแม่ว่าเจอใครบอกที่สุด ถึงกับตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ป็อป”
คุณป็อป :: “เพราะว่าเป็นคนไม่ค่อยออกไปไหน อยู่กับที่บ้านก็สนุกดี เย็นก็ทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่หรือเสาร์-อาทิตย์ก็อยากอยู่บ้าน ทุกวันนี้เราออกไปเจอโลกภายนอก เจอคนเยอะแล้ว กลับมาพักอยู่ที่บ้านบ้าง ช่วงหลังออกงานน้อยมาก นอกจากมีนัดสำคัญถึงจะไป”
อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ยังไม่ขาดหายไปไหนเพราะอย่างน้อยๆ ก็มีกิจกรรมรวมตัวเป็นประจำ เช่นวันเกิดคุณพ่อ คุณแม่ วันตรุษจีน ไหว้เจ้า ที่จะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา และบางครั้งก็ไปเที่ยวต่างประเทศกันด้วย
คุณพ่อ :: “ถ้าอาทิตย์ไหนว่างก็มาเจอกัน แล้วแต่ว่าวันไหนใครว่าง แต่วันตรุษจีน ไหว้เจ้าเป็นวันที่แน่นอนเลยว่าเราจะต้องเจอกัน ถ้าไปเที่ยวกับครอบครัวก็ไปฮ่องกง ญี่ปุ่น ไปกันประจำ
คุณป็อป :: “ต่างคนต่างก็มีภารกิจ เปิล ปุ๊ก เขาก็มีกิจกรรมของเขา ปอนด์เขาก็มีครอบครัวแล้ว มุมที่ใช้เวลาด้วยกันบ่อยที่สุดก็จะเป็นห้องทานข้าว เพราะเราสามารถทานข้าวพูดคุยกัน”
คุณปุ๊ก :: “กินข้าวที่ศูนย์การค้านี่เป็นอาณาจักรของคุณแม่เลย (หัวเราะ) เพราะคุณแม่ชอบอยู่ที่นั่นเพื่อรอลูกๆ แล้วอาณาจักรของคุณแม่ก็คือห้องคาราโอเกะ บางทีพ่อก็ฟัง บางทีเพื่อนๆ คุณแม่ก็มาร้องเพลงด้วย” (ลูกๆ พากันแซวคุณแม่จนถูกคุณแม่ค้อนอยู่บ่อยๆ)....
2 สมาชิกใหม่กับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
เมื่อลูกๆ โตขึ้นการขยายครอบครัวจึงเป็นอีกเรื่องที่ทุกครอบครัวต้องปรับตัวตาม แต่สำหรับครอบครัวเลาหพงศ์ชนะเป็นเรื่องที่ชิลชิลสบายๆ เพราะ 2 สมาชิกใหม่ที่เข้ามาอยู่ในครอบครัวนั้นก็เปรียบเสมือนคนคุ้นเคยที่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอยู่แล้ว
คุณแม่ :: “กับลูกสะใภ้ (เหมี่ยว-พราวพรรณ) เราสนิทกัน คุ้นเคยกันมานาน เพราะว่าเหมี่ยวเป็นเพื่อนของปุ๊ก ซึ่งเราคุ้นเคยกับครอบครัวเขาด้วย พอมาดองกันก็ไม่รู้สึกแปลกหรือต้องปรับตัวอะไรเลย เหมือนเป็นลูกคนหนึ่งของแม่เลย แม่จะให้ความรักเท่าๆ กัน มีอะไรก็นึกถึงเขาตลอด เวลาซื้อของก็ซื้อให้ลูกสาว 3 คน (หัวเราะ)”
ซึ่งทั้ง 3 สาวก็สนิทกันดี เพราะคุณปุ๊กกับคุณเหมี่ยวเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เมื่อเรียนระดับปริญญาตรีแม้ว่าจะคนละคณะเพราะคุณปุ๊กเรียนคณะนิติศาสตร์ ส่วนคุณเหมี่ยวเรียนคณะรัฐศาสตร์ แต่ก็อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน สายสัมพันธ์จึงไม่ขาดไปไหน
คุณปุ๊ก :: “รู้จักตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยม ไปเรียนซัมเมอร์ก็ไปด้วยกัน ไปเรียนอังกฤษก็ไปด้วยกัน คลุกคลีกันมานานมาก พอเหมี่ยวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวก็ไม่รู้สึกว่าต้องปรับตัวอะไร เพราะเราก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้อยู่แล้ว”
คุณเหมี่ยว :: “ทุกคนน่ารัก พี่น้องทุกคนรู้จักกันตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ถือว่าโชคดีที่เราก็ยังเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ คุณพ่อคุณแม่ น่ารัก นึกถึงเราเสมอ ไม่อยากให้เราลำบากเลย ท่านจะคอยเป็นห่วงดูแลเราตลอด ซึ่งเราก็ไม่เคยมีปัญหามารบกวนท่าน คุณแม่ก็เลยสบายใจ ส่วนใหญ่ก็จะไปไหนมาไหนกับครอบครัวท่านตลอด”
และอีกหนึ่งสมาชิกใหม่ที่ทุกคนใส่ใจเป็นพิเศษก็คือน้องพราว ลูกสาวของคุณปอนด์และคุณเหมี่ยว ที่ช่างเจรจาจนคุณปู่ คุณย่า ลุง ป้าพากันหลงใหล
คุณป็อป :: “น้องพราวสุดซ่าของบ้าน เขาจะสนิทกับพี่เปิล พูดเก่ง เป็นเด็กน่ารัก มีน้ำใจ รักสวยรักงาม มั่นใจในตัวเอง”
คุณเปิล :: “พราวเป็นเด็กอารมณ์ดี ใกล้ชิดเขามาตั้งแต่เด็ก ก็จะรู้วิธีที่จะคุยกับเขา ต้องค่อยๆ เรียเขาชอบอะไรไม่ชอบอะไรแล้วจะเข้าใจเขา ซึ่งเวลาเล่นกับหลานเขาอยากให้เราเล่นเป็นอะไร เราก็เล่น จนบางครั้งดูติงต๊องไปหน่อย (หัวเราะ) ถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับหลานเปิลพร้อมที่จะมาดูแล ขนาดว่าสามารถยกเลิกนัดได้ เพื่อหลาน!! ประหนึ่งเป็นแม่เขาเลย (หัวเราะ)
คุณพ่อ :: “ที่จริงอยากให้เขามีหลานชายอีกสักคน จะได้มาเป็นเพื่อนกัน” คุณพ่อกล่าวเสริม
ความเป็นห่วงของพ่อแม่
แม้ว่าลูกๆ จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด ความอ่านกันหมดแล้ว อย่างไรก็ดี คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังคงมีความเป็นห่วงและปรารถนาดีกับลูกๆ เสมออย่างเท่าเทียม ประกอบกับทางบ้านเองก็มีธุรกิจที่น่าจะมีคนสานต่อ คุณพ่อคุณแม่จึงทิ้งท้ายถึงอนาคตและแอบส่งผ่านความเป็นห่วงเป็นใยเบาเบาถึงลูกทุกคน
คุณพ่อ :: “อยากให้ลูกเข้ามาช่วยนะ เคยชวนแต่เขาไม่ค่อยชอบ (หัวเราะ) มีเปิลกับปอนด์มาช่วยแบ่งเบางานไปบ้าง อย่างตอนนี้ให้ปอนด์เขาเป็น MD เลย แต่พ่อก็ยังคอยดูแลอยู่ โดยที่ค่อยๆ โอนงานให้เขา ตอนนี้อายุ 71 ปีแล้วคิดเอาไว้ว่าสักอายุ 75 ปีจะเกษียณแล้ว (หัวเราะ)
คุณแม่ :: “ทุกคนโตหมดแล้วแม่ก็เบาใจ แต่ก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่ อย่างป็อป แม่จะห่วงว่าเขางานเยอะ กลัวว่าเขาจะเครียดเกินไป เหนื่อยเกินไป อยากให้เขาพักผ่อนเยอะๆ ส่วนปุ๊กกับเปิลเขาเก่งเขาสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ก็อยากให้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาจะได้มีคนช่วยดูแล และคนสุดท้องอย่างปอนด์แต่งงานแล้วเราก็สบายใจ กับลูกสะใภ้เราก็รักเหมือนลูกเลย เห็นเขารักใคร่ปรองดองก็สบายใจ”
ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร อายุมากแค่ไหนก็ยังคงเป็นเด็กในสายตาของท่านอยู่ดี ฉะนั้น ทุกวันนี้ท่านก็ยังคงมอบการดูแลอย่างดีที่สุด และคำสอนที่จะให้ลูกๆ ได้นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต ซึ่งข้อคิดทุกย่างที่ท่านสอนได้กลั่นกรองให้ เปิล ป็อป ปุ๊กและปอนด์ ได้ตะกอนทั้งจากการอบรมเลี้ยงดู จากประสบการณ์ชีวิต โดยสิ่งหนึ่งที่ครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้พึงระลึกอยู่เสมอคือ ความกตัญญูรู้คุณคน จดจำอยู่เสมอว่าเป็นใครมาก่อน ที่สำคัญคือต้องประหยัดอดออม รู้จักใช้เงินอย่างรู้คุณค่า...ช่างเหมาะเจาะกับยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวันๆ อย่างนี้ซะจริงๆ
วิบูลย์ เลาหพงศ์ชนะ (คุณพ่อ)
หัวหน้าครอบครัวผู้นำพาครอบครัวเลาหพงศ์ชนะมาถึงทุกวันนี้ ท่านเป็นประธานกรรมการบริหารของบริษัท กรุงไทยแทรคเตอร์ จำกัด แม้วัยของท่านจะ 71 ปีแล้ว แต่ยังดูแข็งแรงและอารมณ์ดี สังเกตุได้จากการพูดคุยและเสื้อผ้าที่ท่านเลือกมาสวมใส่ให้กับการถ่ายสัมภาษณ์กับเราในครั้งนี้ ท่านเลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีสันสดใสกับกางเกงยีนส์ ที่บ่งบอกถึงความวัยรุ่นในหัวใจของคุณพ่อผู้นำครอบครัวยุคใหม่
ยุพิน เลาหพงศ์ชนะ (คุณแม่)
คุณแม่ผู้แสนอารมณ์ดีและห่วงใยความรู้สึกของลูกเป็นที่สุด คุณแม่ทำหน้าที่แม่บ้านคอยดูแลลูกและสามีอย่างดีตลอดระยะเวลา 40 กว่าปี เธอพร้อมรอรับและให้กำลังใจสามีและลูกทุกคนอยู่ที่บ้าน โดยมุมโปรดที่สุดของคุณแม่คือห้องรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนจะได้นั่งพูดคุยสังสรรค์กันในครอบครัว ส่วนกิจกรรมยามว่างของคุณแม่ก็คือการร้องเพลงคาราโอเกะอยู่ในห้องดูทีวีและมีคุณพ่อเป็นผู้ฟังที่ไม่กล้าปริปากบ่น
อภิชา เลาหพงศ์ชนะ (เปิล)
ลูกสาวคนโตสุดซ่า (ตามคำบอกกล่าวของคุณพ่อคุณแม่) ถึงแม้จะเห็นตัวเล็กร่างบางๆ อย่างนี้ เธอรับบทหนักดูแลกิจการนำเข้ารถแทรกเตอร์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว ในฝ่ายต่างประเทศ พร้อมดูแลกิจการของตัวเองอย่างร้านทำเล็บแสนน่ารัก ไอ เนล เดอะ ซาลอน (iNail The Salon) ที่โครงการเอท ทองหล่อ ที่ซึ่งสะท้อนความเป็นตัวเธอได้อย่างเด่นชัด ทั้งในเรื่องความรักสวยรักงามแบบสาวๆ และความรักในเรื่องศิลปะที่เธอนำมาประดับตกแต่งอยู่รอบร้าน นอกจากนั้น เธอยังรับบทเป็น “ป้าเปิล” แม่ทูนหัวของน้องพราวหลานสาวคนเดียวของบ้าน
วราวุธ เลาหพงศ์ชนะ (ป็อป)
ฉายาของเขาคือ “ป็อป ดิออร์” ที่คนในวงการแฟชั่นและนักข่าวรู้จัก เขาทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และการตลาด ให้กับแบรนด์คริสเตียน ดิออร์ (ประเทศไทย) นอกจากนี้ เขายังมีหน้าที่การงานที่เกี่ยวกับงานด้านบันเทิงด้วยการเป็นผู้ประกาศข่าวบันเทิงในรายการโต๊ะข่าวบันเทิงช่วงข่าวต่างประเทศ และยังเป็นพิธีกรรายการอีก 2 รายการคือรายการเดอะลิสต์ (The List) และรายการเดอะโพล (The Poll) ล่าสุดกับอีก 1 งานใหม่คือการเป็นคนลงเสียงสกู๊ปให้กับคลื่นคูลเซลเซียส 91.5 ที่จะคอยอัปเดตเทรนด์แฟชั่น และให้ความรู้กับผู้ฟัง
กฤตยา เลาหพงศ์ชนะ (ปุ๊ก)
ลูกสาวคนที่ 3 ของบ้านผู้มากความสามารถผ่านประสบการณ์การทำงาน หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านอินเตอร์ บิสซิเนส จากประเทศอังกฤษ เธอกลับมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ ชื่อน่ารักว่า “Coqutte” อยู่พักนึง จากนั้นมีโอกาสได้ร่วมงานด้านการตลาดกับแบรนด์ดังหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นบริเกต์ (Brequet) และกุชชี่ (Gucci)
แต่ปัจจุบันเธอมาเปิดบริษัทของตัวเองในนาม ลั้นลา ครีเอชั่น ผลิตรายการที่ให้ความรู้กับผู้ชมอย่างรายการ “เดอะลิสต์” (The List) และรายการ “เดอะโพล” (The Poll) ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยตัวเธอเองรับหน้าที่ดูแลเรื่องสปอน์เซอร์ และรบกวนให้พี่ชายของเธอ (ป็อป-วราวุธ) มาเป็นพิธีกรรายการให้ ส่วนความสนใจส่วนตัว ถ้ามีเวลาว่างเธอมักใช้เวลาว่างไปกับการปฏิบัติธรรมและศึกษาธรรมะ
ศราวุฒิ เลาหพงศ์ชนะ (ปอนด์)
ลูกชายคนเล็กของบ้านที่คอยช่วงเหลือดูแลธุรกิจของคุณพ่อ โดยเขาดำรงตำแหน่งเป็น Managing Director ที่บริษัท กรุงไทยแทรคเตอร์ รับช่วงการบริหารงานทั้งหมดจากคุณพ่อ แม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านแต่ว่าแซงหน้าพี่ๆ ด้วยการออกเรือนมีครอบครัวก่อนใคร โดยคุณปอนด์ได้แต่งงานกับคุณเหมี่ยว-พราวพรรณ และมีโซ่ทองคล้องใจทั้งครอบครัวเป็นสาวน้อย 1 คน นามว่า น้องพราว-ด.ญ.ชาฎา เลาหพงศ์ชนะ
พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ (เหมี่ยว)
สะใภ้เล็กของบ้านเลาหพงศ์ชนะ เธอเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์สำหรับคนที่รักดีไซน์ในชื่อ Quattro Design Flagship store อยู่ที่ซอยทองหล่อ บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 300 ตร.ม. เน้นคอนเซ็ปต์การสรรหาเฟอร์นิเจอร์แปลกๆ สวยๆ มาผนวกเข้ากับการบริการ สำหรับบทบาทคุณแม่เธอเป็นคนเลี้ยงลูกและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด นอกจากเวลางานแล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็ใช้คลุกคลีอยู่กับน้องพราวลูกสาวคนเดียว
ด.ญ.ชาฎา เลาหพงศ์ชนะ (น้องพราว)
สาวน้อยอารมณ์ดีวัย 4 ขวบ ลูกสาวของคุณปอนด์-ศราวุฒิ และคุณเหมี่ยว-พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ น้องพราวเป็นหลานสาวคนแรกของบ้าน ฉะนั้น ทุกคนจึงรุมให้ความรักกับเธออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอจะสนิทสนมพูดคุยกุ๊กกิ๊กกับป้าเปิลตลอดเวลา ::Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/