>>“จระเข้” สัตว์ร้ายที่ได้สมญานามว่าเป็นเพชฌฆาตนักฆ่าผู้สร้างความหวาดกลัวให้คนมากมาย แต่สำหรับ "ฝน-ชวมณฑ์ ปวโรดม” ทายาทสาววัย 25 ปีแห่งฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ ที่ถือว่าเป็นฟาร์มเลี้ยงและเพาะพันธุ์จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เธอกลับมองว่าจระเข้คือสัตว์อันน่าทึ่ง ที่ถึงแม้ว่ามันจะน่ากลัวสักเพียงใด แต่คนกลับอยากได้หนังอันสวยงามและมีเอกลักษณ์ของมันมาถือ เธอจึงสานฝันไอเดีย “S'uvimol” ให้กลายเป็นแบรนด์กระเป๋าหนังฝีมือคนไทยที่ได้คุณภาพระดับโลก
“ชื่อแบรนด์ S'uvimol (สุวิมล) มีที่มาจากชื่อของคุณยายค่ะ คุณแม่เลยใช้มาเป็นชื่อตั้งแต่ตอนเริ่มทำแบรนด์เมื่อ 2 ปีก่อน แต่ตอนนี้ฝนเข้ามารีแบรนดิ้งได้สักปีนึงแล้ว เมื่อก่อนเรามีร้านทำกระเป๋าจระเข้แบบ made-to-order อยู่แถวทองหล่อค่ะ แต่ว่าตอนนั้นจะเน้นเป็นลูกค้าที่เป็นเพื่อนสนิทกับคุณแม่มากกว่า แต่พอฝนกลับมาก็อยากจะขยายแบรนด์ให้ขึ้นห้าง มีสาขา แตกไลน์ มีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้นจะได้ใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และวัยทำงาน วัยรุ่น ตอนช่วงแรกๆ คุณแม่จะเน้นแต่หนังจระเข้ ซึ่งหนังนี้ลูกค้าก็จะมีเฉพาะผู้ที่มีกำลังซื้อจริงๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้เราก็มาแตกไลน์เป็นหนังงู หนังกระต่าย แล้วก็มีผ้าพิมพ์ลายเพื่อรองรับลูกค้าฐานอื่นๆ บ้างค่ะ” ฝนเล่าให้เราฟังแบบสบายๆ แสดงให้เห็นถึงความผูกพันของเธอที่มีต่อแบรนด์นี้
เมื่อเราถามฝนว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอตัดสินใจเข้ามาสานต่อแบรนด์ของครอบครัว เธอตอบว่า “อย่างแรกเลยคือฝนเห็นว่าเรามีวัตถุดิบเอง เพราะฉะนั้นเราสามารถจะผลิตกระเป๋าในราคาที่ย่อมเยากว่าแบรนด์อื่น แต่คุณภาพเทียบเท่าได้ เนื่องจากเราไม่ต้องไปซื้อวัตถุดิบขึ้นมาใหม่ อย่างที่สองคือ ตอนที่ฝนกลับมาจากอเมริกา ฝนมองว่าคุณแม่เริ่มไว้แล้วเลยอยากจะต่อยอดธุรกิจให้มันใหญ่ขึ้น ฝนมีเพื่อนหลายคนที่ชอบและอยากใช้กระเป๋าหนังจระเข้ แต่มันราคาสูง เราเลยคิดอยากจะทำแบบที่ให้คนวัยทำงาน หรือวัยเริ่มทำงานใช้ได้ หน้าที่ของฝนเลยคิดดีไซน์ออกมาว่าแบบไหนจะใช้จระเข้แค่ตัวเดียว เพื่อที่ราคาจะได้ย่อมเยาลงมา เพราะว่ากระเป๋าส่วนใหญ่ที่แพงเนี่ย คือต้องใช้จระเข้ 2 ตัวที่มีลายเหมือนกัน”
สาวฝน-ชวมณฑ์ คนนี้มีดีกรีปริญญาตรีทางด้าน Industrial Design จาก Rhode Island School of Design ปรเทศสหรัฐอเมริกา “คือที่ฝนเรียนมาเนี่ยไม่ค่อยเกี่ยวกับกระเป๋าเท่าไหร่หรอกนะคะ (หัวเราะ) เป็นการดีไซน์สินค้าที่แมสมากกว่า เช่น ช้อน ส้อม เฟอร์นิเจอร์ เซรามิก หรืออะไรที่คนใช้เยอะๆ คือเราเน้นว่าผู้ใช้จะต้องใช้ได้สะดวก และผลิตภัณฑ์ตัวนั้นๆ สามารถทำเป็น mass production ที่ผลิตได้จำนวนมากๆ ค่ะ”
“อันที่จริงตอนแรกฝนอยากเรียนอินทีเรียร์ ดีไซน์ แต่ว่าฝนเป็นคนชอบประดิดประดอย ถ้าเรียนอินทีเรียร์ดีไซน์ เราก็จะไม่ได้สร้างเองแค่ออกแบบเฉยๆ แต่การเรียนอินดัสเตรียล ดีไซน์ ฝนจะได้ทั้งออกแบบเอง ได้ทำโมเดลหรือผลิตภัณฑ์ต้นแบบเองด้วย พอได้เห็นโปรดักต์ของเราเป็นชิ้นเป็นอันมันภูมิใจมากค่ะ ว่าเอ้ย เราทำเองนะ เหมือนกับกระเป๋า เราออกแบบให้ช่างทำออกมาเสร็จ เราจับต้องได้ แล้วแบบเราแฮปปี้มาก ฝนอาจจะเป็นคนใจร้อนด้วยคือถ้าเรียนอินทีเรียร์ก็ต้องรอกว่าช่างรับเหมาก่อสร้างจะทำเสร็จอีกตั้งนานค่ะ (หัวเราะ)"
สมัยเป็นนักเรียนนั้นสาวฝนจัดว่าเป็นนักเรียนเกรดเอของสถาบัน สร้างผลงานเข้าตากรรมการจนได้ไปเรียนที่ประเทศอิตาลีหนึ่งเทอม และมีโอกาสฝึกงานกับแฟชั่นเฮาส์ระดับท็อปอย่าง Salvatore Ferragamo เลยทีเดียว “โรงเรียนที่ฝนเรียนอยู่เขาจะมีการคัดนักเรียนที่ได้เกรดดีที่อเมริกา ถ้าผ่านการคัดเลือกก็จะได้ไปเรียนที่อิตาลีเทอมนึง เพราะมีสาขาของโรงเรียนที่นั่น ฝนก็ได้รับเลือกค่ะ แล้วระหว่างที่ฝนเรียนอยู่ที่อิตาลี คุณแม่ก็ไปเยี่ยมค่ะ ท่านเอกอัครราชทูตสมศักดิ์ สุริยวงศ์ ท่านชวนคุณแม่กับฝนไปร่วมงานครบรอบร้อยปีความสัมพันธ์ไทย-อิตาลีที่นั่น แล้วพอดีมาดามวันด้า เฟอร์รากาโม่ มาร่วมงานด้วย ท่านทูตเลยแนะนำให้รู้จัก ฝนก็บอกกับคุณแม่ว่า ฝนอยากฝึกงานกับมาดามจังเลย มาดามดูใจดี ถ้าได้ฝึกคงจะเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลย”
“คุณแม่บอกว่า ถ้าฝนไม่ถามความพยายามจะกลายเป็นศูนย์ แต่ถ้าถามก็ 50/50 คือได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ก็ยังดีกว่าถ้าเราไม่ได้ถามเลย ฝนก็เลยไปถามมาดาม บอกเขาว่าเราเรียนอาร์ตอยู่และอยากฝึกงานด้วยมากๆ มาดามก็บอกได้เลย หลังจากนั้นฝนส่งพอร์ตโฟลิโอ้ไปให้เขา เขาก็ถามว่าอยากทำอะไร ฝนบอกมาดามว่าฝนสนใจเรื่องลายผ้า เพราะรู้ว่าอิตาลีเขาเด่นเรื่องผ้าไหม ลายผ้า ก็เลยได้ไปฝึกงานที่บริษัทชื่อเมนเตโร่ เซตต้า (Mantero Seta) ที่เมืองโคโม ประเทศอิตาลีค่ะ บริษัทนี้เป็นบริษัทผ้าที่ทำให้ทุกแบรนด์ เช่น แอร์เมส หลุยส์ วิตตอง ชาดนล ดิออร์ คือแบรนด์ดังๆ จะสั่งผ้าจากที่นี่หมดเลย ตอนนั้นฝนอยู่แผนกผู้ชาย ดีไซน์เนกไท ได้ลองทำสีผ้าให้กับเฟอร์รากาโมด้วย”
“คนอิตาลีเขาจะไนซ์มาก ตอนแรกเขาจะเปิดโอกาสให้เราลองเต็มที่ก่อนแล้วค่อยๆ ปรับเรา สอนเรา ตอนแรกฝนก็ดีไซน์หวือหวามาก เขาก็บอกว่าฝนต้องดร็อปลงหน่อยนะ เขาสอนเราว่าต้องคอมไบน์ระหว่างอาร์ตกับคอมเมอร์เชียลเข้าด้วยกัน เพราะบางอย่างที่อาร์ตเกินไปบางทีคนไม่กล้าใส่ ตอนนั้นฝนก็ได้เรียนรู้วิธีค่ะว่าเราจะทำอย่างไรให้อาร์ตกลายเป็นของที่ขายได้และคนใช้ได้ในชีวิตประจำวัน” ฝนเล่าสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากวงการแฟชั่นระดับโลก
ปัจจุบันฝนเข้ามารับหน้าที่ทำงานกับ S'uvimol อย่างเต็มตัว ทั้งด้านการดีไซน์ ดูแลการผลิต รวมไปถึงดูแลเรื่องการตลาด โดยมีคุณแม่-พัชรพิมล ยังประภากร และน้องสาวของฝนช่วยงานด้วยอีกแรงหนึ่ง เมื่อเราแซวเธอว่าเธอทำทุกอย่างเลยจริงๆ ฝนตอบแบบติดตลกว่า “ทำหลายอย่างค่ะ นี่ถ้าฝนยืนขายได้ก็ยืนไปแล้วค่ะ (หัวเราะ)”
ถึงแม้ว่าเธอจะอายุเพียง 25 ปี หลายคนอาจมองว่าฝนยังเด็กพอสมควรกับการทำธุรกิจ ซึ่งเธอให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ฝนถือว่าเป็นความโชคดีมากกว่า ที่เราอายุน้อยแล้วได้เริ่มต้นเร็ว หนึ่งคือเราได้ทำงานกับครอบครัว สมัยก่อนเนี่ยถึงแม้เราจะเกิดมาในครอบครัวฟาร์มจระเข้แต่เราก็ไม่เคยลงลึกรู้ลึกอะไรมาก แต่ตั้งแต่มาทำงานทำให้เราได้รู้เรื่องจระเข้มากขึ้น ทำให้เราเห็นคุณค่ามันมากขึ้น จระเข้ตัวนึงทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เนื้อก็ทำได้ หนังก็ทำได้ มันอะเมซิ่งมากค่ะว่า ถึงมันจะเป็นสัตว์ที่น่ากลัว แต่คนจำนวนไม่น้อยเลยอยากได้หนังมันมาถือ ตั้งแต่ทำงานมาฝนเคยตัดสินใจผิดพลาดหลายอย่าง แต่เราก็เก็บประสบการณ์มาเป็นบทเรียนค่ะ อย่างที่ฝนบอกคือพอเราได้เริ่มเร็ว เราก็จะได้รู้เร็วว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่สำหรับเราด้วยค่ะ”
เธอคือ “Miss S'uvimol”
สำหรับคอลเลกชันใหม่ล่าสุดประจำซัมเมอร์ 2013 ของ S'uvimol นั้นมีชื่อว่า “Miss S'uvimol in The Dotta Land” ซึ่งมิสสุวิมลจะเป็นตัวแทนของสาวที่มีความเป็นเฟมินิสต์สูงพอสมควร สดใสร่าเริงรับฤดูร้อน คอลเลกชันนี้จึงใช้สีสันสดใส และพิมพ์ลายเริ่ดๆ ดูแปลกตา เรียกว่าถอดแบบมาจากมิสสุวิมลตัวจริง เช่นเดียวกับสาวฝน-ชวมณฑ์ ผู้ออกแบบคอลเลกชันนั่นเอง
ล่าสุด คุณฝนบอกกับเราว่าแบรนด์ S'uvimol กำลังขยายตัวไปตลาดต่างประเทศถึงแดนอาทิตย์อุทัยในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะนำไปจัดจำหน่ายในย่านชอปปิ้งกินซ่า รวมไปถึงร้านบาร์นีย์ส นิวยอร์ก สาขาญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้สาวฝนได้นำกระเป๋าคอลเลกชันพิเศษ S'uvimol for SORAPOL ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเส้นทางสายไหมหรือ Silk Road ไปร่วมเดินแฟชั่นโชว์ที่กรุงลอนดอนกับแบรนด์ SORAPOL เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ทิปส์ดูแลกระเป๋าจากตัวแม่!
“จริงๆ กระเป๋าทุกประเภทเลยนะคะ ไม่ใช่แค่หนังจระเข้ เราควรจะหลีกเลี่ยงในการถือออกแดดจัด ไม่ใช่ถือไปเชงเม้งอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) และถ้าโดนน้ำควรหาผ้าแห้งซับทันที บางคนเข้าใจผิดรีบนำไดร์มาเป่า ขอบอกว่าห้ามทำเด็ดขาดนะคะ นอกจากนี้อุณหภูมิเย็นจัดก็ไม่ควรเช่นกัน เพราะจะทำให้กระเป๋าหนังหดตัวเสียทรงได้” :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/