xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัสพยัคฆ์ร้าย 007 เมืองไทย “วิกรม กรมดิษฐ์” ก่อนสตาร์ทคาราวานสู่ไซบีเรีย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>หลังจากการเดินทางรอนแรมกว่า 6 เดือนไปกับคณะคาราวานเพิ่งสิ้นสุดไปไม่นาน และในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “วิกรม กรมดิษฐ์” ได้ออกเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวความรู้อีกครั้ง แต่ก่อนการเดินทางครั้งใหม่ของเขาจะเริ่มต้นขึ้นเรามีโอกาสไปสัมภาษณ์เขาที่ “ดงกุฎาคาร” ถึงคาถาในการใช้ชีวิตให้ประสบความสำเร็จเช่นทุกวันนี้ และนั่งคุยกันถึง 10 สิ่งที่จะทำให้คุณต้องนึกถึงผู้ชายที่ชื่อ “วิกรม กรมดิษฐ์” แน่นอน....

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราย่างกรายเข้าไปในเขต “ดงกุฎาคาร” อันเป็นบ้านพักที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ของ “คุณวิกรม กรมดิษฐ์” ด่านแรกที่เราพบก็คือเจ้าหมาร็อตไวเรอร์ขนาดใหญ่ 2 ตัวนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้าน แค่เห็นจากมุมไกลเราก็เริ่มที่จะหวาดๆ กับเจ้าสองตัวนี่ซะแล้ว! ก็แหม...ตัวบิ๊กซะขนาดนั้น!? แต่อาศัยความใจกล้าของทีมงานเราที่ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างเจตนาบริสุทธิ์ ก็พบว่าเจ้าร็อตไวเรอร์สองตัวนั้นเริ่มกระดิกหาง ส่งท่าทีถึงความเป็นมิตร ทำให้เราใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย ก่อนที่คุณวิกรมเจ้าของบ้านจะมาต้อนรับเราพร้อมแนะนำเจ้าสองตัวนั้นว่า “เจ้าดำกับเจ้าแดงเป็นหมาพีอาร์ หน้าตาหล่อ ใจดีด้วย ไม่ต้องกลัว” ก่อนที่จะพาเราชมอาณาจักรดงกุฎาคารของเขา

“ดงกุฎาคาร” มาจากคำว่า กุฏิ+อาคาร มีลักษณะเป็นอาคารยอดเรือนแหลม มีขนาด 9.9 x 9.9 เมตร ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ประตูและหน้าต่างเปิดโล่งได้ทั้ง 4 ทิศ ลมพัดเย็นสบาย เพราะตั้งอยู่กลางบึงน้ำขนาดใหญ่ ดงกุฎาคารแห่งนี้ใช้เวลาสร้างเป็นเวลา 1 ปีกับ 2 เดือน เพื่อเนรมิตผืนน้ำ เนินเขาและพืชพรรณต่างๆ ขึ้นมา จุดเริ่มต้นของที่นี่มาจากความชอบที่คุณวิกรมเคยมาใช้เวลาพักผ่อนและเขียนหนังสืออยู่ในบริเวณใกล้ๆ นี้ และติดใจเข้ากับความสงบของธรรมชาติบนเขาลูกช้าง เขาจึงก่อร่างสร้างเป็นดงกุฎาคารขึ้นมา

“ผมอยู่ที่นี่มา 12 ปีแล้ว จำได้ว่าตอนที่อายุครบ 48 ปี ผมออกจากการบริหารงานประจำวัน เพราะเราคิดว่าเงินที่เรามีตอนอายุ 48 ก็พอกินพอใช้ อยากจะเอาเวลาไปพักผ่อนและทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของเงินๆ ทองๆ บ้าง เราไม่ใช่คนที่ใช้เงินฟุ่มเฟือย น่าจะพออยู่ได้ แต่จะฟุ่มเฟือยก็เรื่องรถเท่านั้นเอง (หัวเราะ)

หลังจากที่ผมเริ่มวางมือจากการบริหารงานประจำวัน ผมก็มาเขียนหนังสือซึ่งผมดีใจที่ได้แบ่งปันเรื่องของเราทั้งดีและไม่ดีให้กับคนอ่าน แต่จุดหนึ่งที่เริ่มนิ่ง ผมกลับรู้สึกว่าผมยังมีอีกความฝันหนึ่งนี่นาที่ผมอยากทำ นั่นคือการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ที่ยังไม่เคยไป และคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีโอกาสจะได้ไปด้วยเพื่อนำมาเป็นวัตุดิบในการเขียนหนังสือและเผยแพร่ความรู้ นั่นทำให้ผมจัดคาราวานทริปแรกของผมเมื่อปีที่แล้ว ใช้เวลาเดินทาง 6 เดือน ไปเมืองจีนและเข้าไปในมองโกเลีย และวันที่ 17 มีนาคมนี้ ผมจะออกเดินทางอีกครั้งแล้ว!” เขาเล่า

กองคาราวานออกสตาร์ท!!

เมื่อการเดินทางเป็นสิ่งที่เขาฝันมาตลอดชีวิต จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง และในความฝันนั้นของเขายังแฝงไปด้วยประโยชน์ที่อยากจะแบ่งปันเรื่องราวกับผู้อื่น

“ผมได้ทำตามความฝันแล้ว ผมวางแผนชีวิตอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนตามสภาพกำลังทรัพย์ กำลังกายที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะฝัน “ความฝันไม่เสียสตางค์” ...จริงๆ การเริ่มอยากออกเดินทางของผมเพราะต้องการ “หนี(อากาศ) ร้อนไปพึ่ง (อากาศ) เย็น” (หัวเราะ) ประเทศไทยตั้งแต่เดือนมีนาคมนั้นก้าวเข้าสู่ฤดูร้อน ผมเลยอยากใช้ช่วงหน้าร้อนไปอยู่ในที่เย็นๆ จะได้ทำงาน เขียนหนังสือ เดินทางท่องเที่ยว ไปทำประโยชน์ในสิ่งที่เราอยากทำ ในขณะที่เรายังมีความพร้อมด้านสุขภาพเอื้ออำนวย เพราะถ้าขืนอายุมากกว่านี้คงเดินทางแบบสมบุกสมบันไม่ไหว แต่ด้วยเหตุผลนี้ก็ดูกระไรอยู่ ไหนๆ เดินทางเสียสตางค์ทั้งทีก็ต้องทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วย

ผมจึงเริ่มต้นคุยกับหน่วยงานองค์กรต่างๆ เพื่อชักชวนให้ทำงานร่วมกัน เช่น กระทรวงการต่างประเทศที่มีสถานทูตและทีมงานของไทยทำงานร่วมกัน, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, กระทรวงพาณิชย์ และอีกหลายองค์กร เพราะเราก็อยากให้มีนักท่องเที่ยว นักลงทุนเข้ามาประเทศเรามากขึ้น ทำงานเชื่อมโยงกันเป็นระบบ ร่วมมือกัน ซึ่งผ่านมาสองปีก็ได้ผลดีมาก เปิดตลาดประเทศใหม่ๆ เช่นมองโกเลียที่กำลังเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวและนักลงทุน ไม่นับจีนที่มีตลาดขนาดใหญ่ที่น่าสนใจและมีกำลังซื้อมากอยู่แล้ว”

สำหรับการเดินทางครั้งใหม่ที่เขาจะออกเดินทางในวันที่ 17 มีนาคม 2556 นั้นสถานที่ที่เขาไปคือ 6 ประเทศ เริ่มจากออกไปลาว-จีน-เกาหลีเหนือ-ไซบีเรีย (รัสเซีย)-คาซัคสถาน-กลับเข้ามาจีน-เมียนมาร์ และกลับเข้าไทย ประมาณวันที่ 10 ตุลาคม 2556 รวมระยะเวลาแล้วเกือบ 7 เดือนด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วเขายังเดินทางพร้อมกับทีมงานเพื่อถ่ายทำสารคดีอีกด้วย

“คนเดินทางร่วมกับผมคือทีมงานที่มาจากมูลนิธิอมตะ, ทีมงานถ่ายทำจากพาโนรามา เวิลด์ไวด์ ประกอบด้วยโปรดิวเซเอร์ ช่างภาพ ผู้ช่วยช่างภาพ เพื่อถ่ายทำรายการ “มองโลกแบบวิกรม” ด้วย และครั้งนี้จะมีทีมงานถ่ายสารคดีจากประเทศแคนาดาที่ทำเรื่อง “Asia Rising” และภาพยนตร์สารคดี “The Driven” เดินทางไปกับเราด้วย เป็นการเดินทางที่ทำงานไปด้วย เพราะฉะนั้นเน้นเรื่อง “ทีมงาน” ที่มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่ประกอบกันเป็นทีมทั้งหมด 18 คน ในแต่ละประเทศเราจะมี “ผู้ประสานงานท้องถิ่น” ที่พูดสื่อสารแต่ละภาษาของประเทศนั้นได้ช่วยเรา โดยรวมก็น่าจะประมาณ 18-20 คน

ส่วนเพื่อนๆ ก็มีบ้างที่อยากจะร่วมการเดินทางไปกับผม แต่เขาก็ดูเป็นช่วงๆ ไป เพราะหากไปทั้ง 7 เดือนคงลำบากเหมือนกัน ตอนนี้มีติดต่อประสานเข้ามาบ้าง”

บุกลุยหูดับตับไหม้

การเดินทางผ่านทวีปฟังดูเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่เอาเข้าจริงแล้ว การเดินทางนั้นเป็นการเดินทางที่แสนจะทรหด ต้องผ่านเรื่องราว พบเจอกับปัญหาต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คุณวิกรมรู้สึกเบื่อหน่ายหรือย่อท้อ เขากลับรู้สึกว่าการเดินทางนี้จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับโลกและเมืองไทย

“ปัญหาในการเดินทางก็มีเยอะแยะมากมาย ทั้งสภาพถนน สภาพความเป็นอยู่ ทางที่เราวิ่งไปมันไม่มีถนนนะ ที่นั่นคือท้องทุ่ง เราก็วิ่งกันไป ลุยไปตามทาง เราเคยรถติดหล่มอยู่ 3 วัน รถคว่ำด้วย บางครั้งก็น้ำมันหมด ซึ่งทุกอย่างเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม แต่ก็ยังมีสารพัดปัญหาให้เราแก้ตลอด

อย่างการเดินทางครั้งที่แล้วของผมที่ประเทศมองโกเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าเรา 3 เท่า แต่มีประชากรน้อยกว่าเรา 20 เท่า เขาเพิ่งเปิดประเทศ เขายังไม่พร้อมที่จะสร้างถนนหนทาง อีกอย่างพื้นที่ประเทศเขาก็ใหญ่มากไม่คุ้มที่จะสร้างถนน เราก็ต้องตะลุยกันไป”

สำหรับการเดินทางครั้งใหม่ก็ดูท่าว่าจะเป็นการเดินทางที่หินเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะประเทศไซบีเรียเป็นเมืองที่ไปยาก และการเดินทางในไซบีเรียนั้นเป็นที่เลื่องลือกันอยู่แล้วว่าเต็มไปด้วยผู้มีอิทธิพลและมาเฟีย ค่อนข้างอันตรายทีเดียว!

“การเดินทางครั้งใหม่น่าจะเหนื่อยหน่อยหละ เพราะไซบีเรียมีเรื่องของมาเฟียและอาชญากรรมเยอะ แต่ที่เลือกไปไซบีเรีย เพราะอย่างแรกเป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีคนไทยไป อย่างที่สองไซบีเรียเป็นเมืองหนาว ไม่ค่อยมีผู้คนพากันอพยพไปอยู่ที่อื่น ซึ่งการที่ไม่มีคนอยู่ทำให้ทรัพยากรไม่ได้ถูกใช้ เป็นช่วงที่เราน่าจะไปสำรวจดูว่าเขามีอะไรบ้าง เพราะสิ่งสำคัญที่มนุษย์ต้องการก็คือทรัพยากรธรรมชาติ และสาม ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไซบีเรียยังมีไม่เยอะ จึงอยากจะไปเก็บข้อมูลมานำเสนอ ให้คนไทยได้รู้ ได้เห็น ได้เปิดโลกเพื่อจะสนใจอยากไปเที่ยวศึกษาบ้าง”

ชีวิตโบยบินราวผีเสื้อ

ประโยคหนึ่งที่คุณวิกรมมักจะพูดอยู่เสมอคือ “ชีวิตผมเป็น “ผีเสื้อ” แต่ก่อนเป็นหนอนดักแด้ ตอนนี้ถึงเวลาออกโบยบินไปในโลกกว้างตามความฝันของตัวเอง” จากผู้ชายที่ทำงานมาทั้งชีวิต เขาตัดสินใจที่จะวางตำแหน่งของตัวเองใหม่ ใช้ชีวิตให้มีความสุขราวกับผีเสื้อที่กำลังโบยบินชมโลกกว้าง

“ตอนนี้ถึงเวลาที่จะให้คนอื่นๆ ในทีมอมตะแสดงฝีมือ ในขณะที่ผมเป็นผู้ช่วยแก้ไขปัญหาอยู่เบื้องหลัง เคียงข้างไป ผมไม่ได้ทิ้งอมตะ เพียงแต่การก้าวไปสู่การดูอยู่นอกสนามนั้นทำให้ผมเห็นภาพของการแก้ไขปัญหาชัดเจนขึ้น และในขณะเดียวกัน การเดินทางเป็นการเปิดโลก เปิดวิสัยทัศน์ได้มุมมองใหม่ๆ ที่เอามาปรับใช้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี

เปรียบเหมือนเราอยู่ในสนามฟุตบอล ถ้าเราเป็นทั้งโค้ช เป็นทั้งกัปตันทีม เป็นทั้งนักเตะ มันไม่ไหวนะ เลยเปลี่ยนตัวเองมาเป็นโค้ชที่ขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์ นั่งดูคนเตะ แล้วมาวางแผนดีกว่า เราจะได้มีเวลาไปดูฝ่ายตรงข้ามบ้าง ตอนนี้ผมเลยทำอยู่แค่ 3 อย่างคือ บอกเป้าหมาย บอกนโยบาย ถ้าลูกทีมมีปัญหาผมก็ช่วย จะว่าไปแล้วคนหนุ่มๆ สาวๆ แต่เก่งกว่าผมอีกนะ แต่เขาอาจจะมีประสบการณ์น้อยกว่า ซึ่งตรงนี้เราก็คอยสอนเขา ฉะนั้นคนรุ่นใหม่ช่วยผมได้เยอะเลย

เชื่อไหมว่าผมไม่อยู่ประเทศไทย ผลประกอบการดีกว่าที่ผมอยู่เสียอีก แล้วอย่างนี้ผมจะไปกังวลทำไม ผมเอาเวลาไปเดินทางทำในเรื่องอื่นๆ ที่ผมสนใจดีกว่า ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียวเสียเมื่อไหร่ เงินที่มีหากไม่ได้ใช้ก็ไม่ใช่ของผม ดังนั้น ผมคิดว่าคนเราเมื่อหาเงินมาได้ก็ต้องใช้เงินเป็นด้วย มิเช่นนั้นก็น่าเสียดาย”

สกัดจากจิตวิญญาณผู้ชายวัย 60

เพราะชีวิตคือความเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ เราต้องมีสติ ปัญญา รู้เท่าทัน และไม่ต้องกลัวอุปสรรค เพราะต้องมองว่า “หากปัญหาเกิดด้วยตัวเรา ต้องแก้ที่ตัวเรา” เราจะเป็นผู้ที่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีที่สุด และข้อสำคัญที่ผมตระหนักรู้อยู่เสมอคือ “พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้” บทสรุปสั้นๆ ของผู้ชายวัย 60 ที่ผ่านการใช้ชีวิตมามากมาย ซึ่งเขาสามารถจัดสรรตัวเองทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวให้ชีวิตเดินไปอย่างราบรื่น

“ถ้าในเรื่องการทำงานผมชอบคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน “Put the right man in the right job” ใช้คนให้ถูกกับงาน ให้อำนาจเขาและติดตาม เพราะคนเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะไว้ใจคนที่เราทำงานด้วยเพื่อให้เขามีความมั่นใจไปตัดสินใจแทนเรา ไม่ใช่อะไรๆ ก็ทำตัวเป็น “เถ้าแก่” ต้องตัดสินใจเองไปเสียทุกเรื่อง แบบนี้ผมไม่เห็นด้วย มิเช่นนั้นองค์กรคงเติบโตลำบาก

หากเป็นเรื่องส่วนตัวนั้น ผมเป็นคนจริงจังแต่ไม่เคร่งเครียด เพราะผมเชื่อว่าทุกเรื่องเราแก้ไขได้ เพียงแต่ใช้เวลามาก-น้อยแตกต่างกัน เราต้องฝึกความอดทน มีประโยคหนึ่งในหนังสือ “คาถาชีวิต” ที่ผมชอบมากคือ “เรียนก่อนที่จะรู้ รู้ก่อนที่จะทำ” หากเราคิดจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เราจะต้องศึกษา ต้องวางแผน ต้องฝึกฝน ต้องเข้าใจในสิ่งนั้นอย่างถ่องแท้และถูกต้องก่อนจึงค่อยลงมือทำ มีใครบ้างที่ทำแบบไม่รู้แล้วประสบความสำเร็จ เจ๊งก็เยอะแยะไป แล้วเราก็ไปโทษดวง โทษโชคชะตา มันไม่ใช่ เป็นเพราะความไม่รู้ต่างหาก เราต้องรู้จักวางแผนแล้วจะมีโอกาสสำเร็จ”

จัดระเบียบโลกเริ่มที่ตัวเรา

กับโลกที่วุ่นวายและสังคมเมืองที่ยุ่งเหยิงของทุกวันนี้ แม้ว่าในฐานะคนคนหนึ่งที่ไม่ได้มีอำนาจในการบริหารบ้านเมืองแต่อย่างใด ก็ได้แต่มองสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่เขาก็ขอเป็นคนหนึ่งที่จะเริ่มจัดระเบียบตัวเองให้ดี เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นต่อไปของสังคม

“ความวุ่นวายของสังคมทุกวันนี้เป็นเรื่องของความไม่เข้าใจตัวเอง ความโลภ กิเลสของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด น่าเห็นใจ เพราะพื้นฐานการศึกษาของประเทศไทยเรานั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เราเห็นแก่ตัวกันเกินไป เราไม่ค่อยคิดถึงสังคม เราเอาตัวเองเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลง ผมไม่ได้หมดหวังนะ ผมมีความหวังเสมอ ไม่ใช่เอาแต่ก่นด่าแล้วไม่ทำอะไร เราต้องเริ่มต้นแก้ไข-ปฏิบัติจากตัวเอง เพราะเราเป็นหนึ่งหน่วยของสังคม”

หลายครั้งที่การแสดงความคิดเห็นของเขาอย่างตรงไปตรงมาก็ย้อนกลับมาที่ตัวเขา เป็นเสียงเมาท์ไปในทางที่ไม่ดี แต่ไม่เป็นไร ขอแค่เรารู้ตัวของเราเองก็พอ เขากล่าวเช่นนั้น

“เป็นธรรมดาของมนุษย์ มีคนรักก็ต้องมีคนชัง เราก็ต้องมั่นใจว่าเราทำความดี อย่างผมทำหนังสือนี่ก็มีคนว่าว่าไปทำลายตลาดหนังสือ แล้วแต่จะคิดกันไป แต่เราต้องมาดูที่เหตุผลว่าเราทำสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมหรือเปล่า? ถ้าใช่...คุณทำไมต้องแคร์ ไม่อย่างนั้นสิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้

สังคมไทยเราเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก (ศรีธนญชัย) เราปากว่าตาขยิบ ไม่ค่อยยอมรับความจริง

ผมเป็นคนจริง ผมเคยบอกว่าถ้าผมเป็นหมา ผมก็เป็นหมา ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นสิงโต เราต้องยอมรับสิ่งที่เราเป็น การวิพากษ์วิจารณ์เป็นเรื่องปกติ ต้องเปิดใจ ไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องเก็บมาคิด เรารู้ดีว่าตัวเองทำอะไร...”

คุยเพลินๆ ตามประสาผู้ชาย

อย่างที่บอกไปแล้วว่าทุกวันนี้ชีวิตเขาเริ่มโบยบิน สนุกกับสิ่งต่างๆ รอบตัว แต่ก็มีสิ่งที่เขารู้สึกผูกพันอยู่หลายสิ่งในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่เขาใหญ่ รถยนต์สปอร์ตคันหรู และสุนัขร็อตไวเรอวร์ 2 ตัวที่เลี้ยงไว้ ซึ่งเขาได้เล่าไลฟ์สไตล์ตามประสาผู้ชายสบายๆ ให้เราฟังถึงสิ่งที่ผูกพัน

“ดำ-แดงเป็นหมาพี่น้องที่ได้รับมาจากพระอาจารย์ติ๊ก แห่งวัดป่าบ้านห้วยลาด จังหวัดเลย สองตัวนี้มันติดตามผมไปทุกแห่งเวลาที่ผมอยู่ที่บ้านเขาใหญ่ ตอนกลางคืนนอนอยู่ด้วยกัน กลางวันมันก็นอนเฝ้าไม่ค่อยออกไปไหน มีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนก็ดีอยู่แล้วทำให้เราจิตใจอ่อนโยน ผูกพันกับมันนะ เวลาผมไม่อยู่หลายๆ เดือนก็คิดถึงเหมือนกัน แต่เรามีคนดูแลที่ดีก็ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ ตอนนี้มันเริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ขาหลังไม่ค่อยดี (ตามประสาหมาตัวใหญ่) ให้ไปตรวจเช็ก ค่าใช้จ่ายเอาเรื่องอยู่ (หัวเราะ) แต่ก็อยากให้มันอยู่กับผมนานๆ เป็นเพื่อนกัน มันซื่อสัตย์และอ่อนโยน”

บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนที่ทำงานตลอดเวลา คงจะไม่มีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ แต่ความจริงแล้วเขามีกิจกรรมหนึ่งที่กำลังอินเทรนด์อยู่ในตอนนี้ก็คือ การปั่นจักรยานเพื่อผ่อนคลายตัวเองและออกกำลังกายไปในตัว หรือการขับรถสปอร์ตคันหรูเพื่อปลดปล่อยสมองให้สมาธิจดจ่ออยู่ที่การขับรถ

“ระหว่างเดินทางผมชอบขี่จักรยาน เวลาไปพักตามเมืองต่างๆ ตกเย็นหากไม่มีงานเลี้ยงหรือมีนัดใดๆ ก็จะไปขี่จักรยานเรียกเหงื่อ เป็นการออกกำลังกาย ชมเมือง ชมวิถีชีวิตผู้คน ทำให้กลับไปเหมือนตอนเป็นหนุ่มๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซอกแซกไปตามตรอกซอกซอย ถ้าอยู่ประเทศไทยที่เขาใหญ่ก็จะขี่จักรยานด้วย เลาะตามป่าด้านหลังบ้าน พาหมา 2 ตัว (ดำ-แดง) ไปออกกำลังกายด้วย ผ่อนคลายดีหรือไม่ก็จะขับรถสปอร์ต เป็นจังหวะที่สมองโล่งไปอีกแบบ ผมชอบรถสปอร์ตนะ เริ่มซื้อสะสมมาประมาณ 10 ปีแล้ว ค่อยๆ เก็บ ผมว่ารถสปอร์ตขับสบาย การเร่งและจังหวะการขับขี่สั่งได้ดั่งใจเรา ที่จริงแล้วรถสปอร์ตไม่กินน้ำมันนะ อย่างเวลาเดินทางไกลจะกินน้ำมันน้อยมาก อย่างคันปอร์เช่ ใช้น้ำมันประมาณ 11 กิโลเมตรต่อลิตร รถสปอร์ตอีกคันที่ผมชอบมากคือลัมบอร์กินี ที่มีสมรรถนะในการเกาะถนนที่ยอดมาก ถ้าสังเกตดูล้อที่ใช้จะเป็นล้อที่ถูกใช้ในสนามแข่ง F1 เหมือนกัน”

รหัสลับเลข 7

สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือภายในโรงรถที่มีรถจอดเรียงรายอยู่ 6 คันภายในบ้านที่เขาใหญ่นั้น ไม่ว่าจะเป็นรถสปอร์ตคันโก้ หรือรถคลาสสิกคันหรู ทุกคันล้วนแต่มีทะเบียนรถเหมือนกันคือเลข “7” รวมไปถึงเบอร์โทรศัพท์ของตัวเขาเองและคนใกล้ชิดก็ลงท้ายด้วย 007 ทั้งสิ้น! เราจึงเกิดความสงสัยว่า เขามีความผูกพันอะไรกับเลข “7” หรือเปล่า?? หรือว่าเขาอยากจะเป็นพยัคฆ์ร้าย 007!?

“เมื่อก่อนเรามีทะเบียนรถ 007 อยู่เยอะมาก ประมาณ 50 กว่าทะเบียน เนื่องจากว่ารถในบริษัทมีหลายคัน เวลาเห็นที่ไหนจะได้รู้ว่าเป็นรถของบริษัทเรา อย่างเวลาส่งรถไปรับลูกค้า เราก็บอกเขาง่ายๆ ว่ารถทะเบียน 007 นะ เราก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะขึ้นรถถูกมั้ย แล้วเราจะส่งคันไหนไปก็ได้เพราะทุกคันเป็น 007 หมด

ส่วนที่มาของเลข 7 นั้นจากวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ชีวิตคนเริ่มต้นมาจาก 24 ชั่วโมง แล้วก็มาเป็น 7 วัน มาเป็นเดือน แล้วก็ปี นอกจากนั้น “เลข 7” ในไบเบิลของคริสต์เปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่ใน 1 อาทิตย์ และอีกอย่างผมเกิดวันที่ 17 เวลา 00.00 น. ผมจึงชอบเลข 007 แต่ชอบมีคนแซวว่าผมเป็นเจมส์ บอนด์”

10 สิ่งที่คุณต้องนึกถึง “วิกรม กรมดิษฐ์”

1. “อมตะ” คือองค์กรที่คุณวิกรมเป็นผู้ก่อร่างสร้างขึ้น “อมตะ คอร์ปอเรชัน” เป็นบริษัทพัฒนาและจัดการด้านนิคมอุตสาหกรรม สร้างนิคมอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิดเมืองสมบูรณ์แบบ เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและดำเนินชีวิต มีทั้งอมตะนคร จังหวัดชลบุรี อมตะซิตี้ จังหวัดระยอง และอมตะยังมีนิคมอุตสาหกรรมที่ประเทศเวียดนาม ภายใต้ชื่อ อมตะซิตี้ (เบียนหัว) จังหวัดดองไน ใกล้เมืองโฮจิมินห์

2. หนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” ที่ออกเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ทำให้คนรู้จักชีวิตคุณวิกรมในมุมกว้างมากกว่าการเป็นนักธุรกิจ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

3. “คาถาชีวิต” ผลงานหนังสือเล่มล่าสุดของคุณวิกรมที่ทำสถิติยอดขายสูงสุด 150,000 เล่มต่อวัน จนตอนนี้ยอดขายใกล้จะ 2 ล้านเล่มแล้ว ซึ่งเนื้อหาจะเป็นการรวบรวมข้อคิดต่างๆ ที่เขาค้นพบด้วยตัวเองว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์ในการดำรงชีวิต


4. “คาราวาน” การเดินทางของคุณวิกรมไปยังที่ต่างๆ ด้วยรถบ้าน เป็นเรื่องแปลกเพราะไม่มีเศรษฐีคนไหนบ้าทำเรื่องแบบนี้ ซึ่งจุดนี้อาจทำให้เรานึกถึงความบ้าบิ่นของเขาก็เป็นได้


5. “มองโลกแบบวิกรม” รายการ ความคิด บทความ การที่เขาจัดรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์เพื่อเผยแพร่ความคิดเห็นและเล่าเรื่องการเดินทางรอนแรมในคาราวานของเขา


6. “มูลนิธิอมตะ” องค์กรสาธารณกุศลที่คุณวิกรมก่อตั้งขึ้นมาเกือบ 20 ปีแล้ว จุดประสงค์เพื่อสร้างสรรค์การศึกษาให้กับเยาวชนของชาติ รวมทั้งกิจกรรมทางด้านกีฬา การจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าหายาก ส่งเสริม อนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรม รวมถึงช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มีโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคม


7. “เขาใหญ่” อย่างที่ทราบกันว่าที่พักหลักของเขาอยู่ที่เขาใหญ่ เพราะเป็นที่ที่เงียบสงบ และเขาสามารถนั่งทบทวนกับความคิดของตัวเองและที่นี่เป็นที่ที่ก่อให้เกิดไอเดียบรรเจิดในการใช้ชีวิตของเขามากมาย


8. “คนที่ขับรถเร็ว” คงเป็นเพราะเป็นคนที่รักความเร็ว และรักการขับรถสปอร์ตเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเคยมีสถิติว่าเขาเคยขับรถด้วยความเร็วถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมาแล้ว!


9. “ความเป็นคนพูดตรงไปตรงมา” เขาบอกกับเราว่าระยะหลังๆ เวลาที่เขาแสดงความคิดเห็น เขาจะไม่อ้อมค้อม เพราะไม่อยากให้เสียเวลา เนื่องจากเขาคิดว่าชีวิตนั้นสั้นจริงๆ สังคมต้องการการปรับปรุงแก้ไข ฉะนั้นเมื่อมีอะไรที่เขาเห็นว่าไม่ชอบธรรมเขาจะพูดแบบตรงไปตรงมา


10. “เพลย์บอย” อาจเป็นเพราะผู้ชายวัย 60 คนนี้ ไม่ได้มีภรรยาที่ไปไหนมาไหนด้วยอย่างชัดเจน นั่นอาจเป็นเพราะหลังจากที่เขาหย่ากับภรรยา (คุณเคลลี่) เขาก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่กลับมีผู้หญิงมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ซึ่งเขาเองไม่ได้คิดที่จะจริงจังกับใคร ทำให้ภาพลักษณ์หนึ่งที่เราคิดถึงเขาคือ เขาเป็นเพลย์บอย :: Text by FLASH


>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น