xs
xsm
sm
md
lg

ปัทมน (อดิเรกสาร) สุริยะ เปิดอกคุยถึงวันนี้ที่ชีวิตสมบูรณ์ กับลูก 3 และผู้ชายที่พร้อมจะเคียงข้างเธอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ไม่รู้ว่าจะกล่าวถึงเธอให้คุ้นกับชื่อ นามสกุลไหนดี? ปัทมน อดิเรกสาร!? หรือปัทมน ภิรมย์ภักดี!? แต่ที่แน่ๆ วันนี้เธอพร้อมเฉลยอย่างเต็มตัวว่าเธอคือ “ปัทมน สุริยะ” คุณแม่ลูกสาม ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ผ่านอะไรมามากมาย ครั้งหนึ่งเราเคยพูดคุยกับเธอในช่วงเวลาที่เธอเพิ่งหย่าขาดจากสามีคนก่อน ทำให้เธอได้กลับมามีชีวิตอยู่กับครอบครัว เดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนกับคุณพ่อ (ปองพล อดิเรกสาร) และทำงานให้กับธุรกิจของครอบครัวคือธุรกิจส่งออกกระเบื้องอาร์ซีไอ ซึ่งจากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้วที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ ครั้งนี้เราจะไปเคาะประตู คลุกคลีกับชีวิตวันนี้ของ “บัว-ปัทมน สุริยะ” กัน

เสียงเจื้อยแจ้วต้อนรับเราตั้งแต่กดกริ่ง เดินเข้าไปในบ้านพักหลังใหญ่ย่านสุขุมวิท ทันทีที่เข้าไปก็พบกับเด็กผู้หญิงสามคน ที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันไปหมด วิ่งเข้ามาทักทายสวัสดี ตามคำแนะนำของคุณแม่ จนเราต้องกระซิบถามเจ้าของบ้านว่า “พี่บัวคะ...นี่แฝด 3 หรือเปล่าคะ”

ในฐานะคุณแม่เธอจึงแนะนำให้เรารู้จักกับลูกสาวทั้ง 3 คนของเธอทีละคนว่าประกอบด้วย ฝาแฝด วัย 4 ขวบ น้องเทต-ปณิธิ และน้องเธมส์-ปณิดา และลูกสาวคนสุดท้องวัย 2 ขวบ 8 เดือน น้องไทน์-ปัณฑิตา สุริยะ ก่อนที่จะมีชายร่างใหญ่ ดูท่าทางอบอุ่นเข้ามาช่วยอุ้มสกัดเสียงเจื้อยแจ้วของสาวน้อย นั่นคือ “คุณตู-นิธิพงศ์ สุริยะ” สามีของเธอนั่นเอง จากนั้นเธอก็เริ่มพูดคุยอัพเดตเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเธอให้เราฟัง

“ตอนนี้ไม่ได้ทำงานฟูลไทม์มาพักใหญ่แล้วตั้งแต่มีลูก 3 คน เดิมทำบริษัทส่วนตัวของคุณตา คือบริษัทรอยัลเซรามิก ตอนนั้นทำมา 14 ปี ที่จริงเป็นงานที่ชอบนะเพราะเป็นงานการตลาดแล้วเป็นบริษัทของเราเอง แต่พอมีลูกคนที่ 3 คิดว่าเราน่าจะออกมาดูลูกเองดีกว่า ซึ่งชีวิตเปลี่ยนเยอะมาก เมื่อก่อนเราเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนจริงๆ แต่พอมีลูกเราเปลี่ยนไปเลย หันมาสนใจธุรกิจที่เกี่ยวกับแม่และเด็ก ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่เคยสนใจเลย สมัยก่อนบัวไม่เคยชอบเด็ก เป็นคนขี้รำคาญ เวลาไปนั่งร้านอาหารก็จะรำคาญเสียงเด็ก พอมีลูกเป็นของตัวเองกลายเป็นนางงามรักเด็กเลย (หัวเราะ)

ด้วยความที่อยากมีธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองอยู่ ก็เลยมาขายของเกี่ยวกับแม่และเด็ก เริ่มจากทำเฟอร์นิเจอร์ของเด็กที่สามารถปักชื่อลูกได้ โดยรับทำตามออเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นบีนแบ็ก โซฟา ในนาม Lotus-Baby.com หรือในเฟซบุ๊ก Lotus-baby online store เราขายในเว็บไซต์อย่างเดียวไม่ได้ มีหน้าร้าน งานนี้เริ่มมาจากความชอบส่วนตัว และมองว่าที่เมืองไทยยังไม่มี เราเองก็อยากทำให้ลูก เริ่มต้นสั่งทำให้ลูกก่อนแล้วเพื่อนๆ ที่เป็นคุณแม่เหมือนกันเห็นก็ชอบ สั่งทำกันหลายคน ก็เลยทำเป็นธูรกิจเล็กๆ ของเราซะเลย โชคดีที่มีเพื่อนโรงงานเฟอร์นิเจอร์ด้วย ก็เลยทำเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนใหญ่เราดีไซน์เอง เลือกผ้าเอง”

นอกจากจะเป็นคุณแม่คนเก่งที่ใส่ใจการเลี้ยงลูก เชี่ยวชาญกิจกรรมที่เสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้แก่ลูกๆ แล้ว เธอยังเป็นหุ้นส่วนของ Play Time ศูนย์การเรียนรู้และสร้างสรรค์แห่งแรกของประเทศไทย ที่เป็น Family Edutainment - One Stop Service ใจกลางเมืองย่านเอกมัย ตั้งอยู่ที่โครงการ Park Lane โดย Play Time มุ่งเน้นส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งด้านร่างกาย สังคม จิตใจ และความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ จากเครื่องเล่นนานาชนิด ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายและสมองของเด็กอย่างถูกต้องตามช่วงอายุวัย อีกทั้งยังมีกิจกรรมที่ช่วยฝึกทักษะทางด้านวิชาชีพจากบุคคลที่มีชื่อเสียงและผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพสาขานั้นๆ พร้อมด้วยคอร์สสนุกๆเ กี่ยวกับศิลปะ กีฬา และอื่นๆ เพื่อให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้สมาชิกในครอบครัว ไม่ทิ้งคอนเซ็ปต์ความเป็นคุณแม่ของเธอ

ต่อยอดจากงานคุณแม่

สนุกกับการทำธุรกิจเกี่ยวกับแม่และเด็ก เสาะหาสิ่งดีๆ ให้กับลูกตัวเองจนสบโอกาสดีในการทำธุรกิจนำเข้าขวดน้ำจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ผลิตจากสเตนเลส รีไซเคิล เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน ในนาม บริษัท ควินเทต (Quintette) โดยเป็นบริษัทที่เธอร่วมกับสามีก่อตั้งขึ้นมาต่อยอดจากธุรกิจที่เคยทำก่อนหน้านี้

“งานนี้เป็นงานที่ทำเต็มรูปแบบที่สุด มีคนทำบัญชีเป็นเรื่องเป็นราว เป็นธุรกิจที่ช่วยกันกับสามี ส่วนใหญ่สามีจะดูเรื่องการจัดการ การวางแผน การวางกลยุทธ์ การนำเข้า ส่วนบัวทำการตลาดและการขาย ซึ่งสามีเขาก็ช่วยแนะนำบัวได้มาก ซึ่งตอนนี้เรามีขายที่พารากอน เอ็มโพเรียม แอบโซลูทโยคะ เอเชียบุ๊ค และร้านจำหน่ายพวกสินค้า Gadget ทั้งหมดประมาณ 34 สาขา ผลตอบรับค่อนข้างดี

ตอนแรกเราทำของเกี่ยวกับแม่และเด็ก พอดีไปต่างประเทศแล้วเจอซื้อมาใช้ก่อน ปรากฎว่ามีเพื่อนฝากซื้อ ตอนแรกจึงเอาเฉพาะขวดของเด็กมาขาย แต่พอเราศึกษาไปพบว่าแบรนด์นี้ค่อนข้างแข็งแรง เราเลยติดต่อเพื่อขอเป็นผู้จัดจำหน่าย

วัสดุ 100 เปอร์เซ็นต์รีไซเคิล ไม่มีสารตกค้างที่ก่อให้เกิดมะเร็ง (BPA Free) เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมาก ขวดจะไม่มีรอยต่อ ไม่มีอะไรรั่วซึมได้ เป็นขวดที่ใส่น้ำได้ทุกอย่าง ได้ในเรื่องความแข็งแรงและสวยงาม พกง่าย ทุกอย่างมาจากสวิตเซอร์แลนด์ เราสามารถออกแบบลายเองได้ ซึ่งเราก็มีหลายลายที่เป็นลายลิขสิทธิ์ เช่น คิตตี้ ดิสนีย์ และเรายังร่วมกับแบรนด์ Issue ออกคอลเลกชันพิเศษเพื่อฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วย

ทำงานหลายอย่างบางทีก็เหนื่อยนะ แต่บัวเป็นคนอยู่เฉยๆ ไม่เป็น สามียังบอกเลยว่าบัวอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก แต่ธุรกิจที่ทำก็คล้ายกัน เหมือนเป็นการต่อยอดกันไป”

สนุกกับลูก...Twins+1

เมื่อทุกความสนใจถูกทุ่มไปที่การเลี้ยงลูก จากประสบการณ์จริงทุกสิ่งที่เจอของเธอจึงกลายมาเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่รวบรวมทุกเรื่องราวไม่เล็กอันเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูลูก ผลงานเล่มแรกของเธอในชื่อ “สนุกกับลูก...Twins+1” ที่เธอใช้เวลาถึง 3 ปีในการเขียน

“พอดีมีสำนักพิมพ์มาชวนให้เขียนหนังสือ ตอนแรกจะเขียนหนังสือท่องเที่ยว เพราะเดิมทีเราเป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยวไปกับคุณพ่อ แต่พอดีมีลูกจึงไม่ค่อยได้ไปไหน เลยเปลี่ยนคอนเซ็ปต์มาเขียนเรื่องการเลี้ยงลูกแฝดแทน เพราะเป็นเรื่องที่เรากำลังให้ความสนใจสูงสุดในขณะนั้น เล่มนี้ใช้เวลาเขียนนานมาก มีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะกับพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัยที่เราพบเจอ

หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่คู่มือเลี้ยงลูก แต่เป็นประสบการณ์ที่พบเจอมากับตัว เป็นการเพิ่มทางเลือกเกี่ยวกับกิจกรรมสำหรับเด็กๆ ที่เสริมสร้างพัฒนาการของลูกก่อนก้าวไปสู่วัยเรียน เพื่อเพิ่มความพร้อมและได้เปรียบเด็กคนอื่นเมื่อไปโรงเรียน โดยบัวเริ่มหาข้อมูลตั้งแต่ตอนตั้งท้องเทตกับเธมส์ ทำให้รู้ว่าลูกแฝดอาจเริ่มทำกิจกรรมต่างๆได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป จากประสบการณ์ของการเป็นคุณแม่ลูกสาม แถมสองในสามเป็นลูกแฝด ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเรื่องการเล่น จะเล่นอย่างไรให้ปลอดภัย เล่นแล้วได้ประโยชน์ โดยไม่เกิดการ “วิวาท” อันน่าปวดหัว แต่ถ้ารู้วิธีจัดการให้เหมาะสม ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของคุณพ่อคุณแม่อย่างแน่นอน

การทำกิจกรรมบางอย่างค่อนข้างยาก ไม่ได้ดังใจพ่อแม่ เนื่องจากลูกเล็ก คิดว่าพ่อแม่หลายคนคงเป็นเหมือนบัว คือทนไม่ได้เวลาลูกระบายสีเลอะเทอะ หรือแม้แต่การเล่นทรายที่กลัวมือเลอะ แต่ก็ต้องทำใจ เพราะนั่นคือธรรมชาติของเด็ก แล้วในที่สุดเขาจะพัฒนาทั้งความคิด ความรู้สึก และการกระทำได้ด้วยตัวเองในเวลาที่สมควร กิจกรรมที่พูดถึงในหนังสือเล่มนี้ บางอย่างคุณพ่อคุณแม่อาจนึกไม่ถึง หรือให้ลูกทำโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ล้วนแต่ช่วยพัฒนาการของลูกในแต่ละวัยทั้งสิ้น

ความสำคัญของการเล่นกับลูก เริ่มตั้งแต่ลูกคลอดออกมาจากท้อง ทุกวินาทีที่เขาเติบโตขึ้น สมองของเขาจะพัฒนาตลอดเวลา เพียงแค่ขยับกล้ามเนื้อนิ้วมัดเล็กๆ ก็ช่วยให้พัฒนาการของเขาก้าวไปอีกขั้น หรือไม่ว่าจะเป็นจ๊ะเอ๋ เล่นเครื่องบิน ร้องเพลงแมงมุม ละเลงสีลงบนกระดาษ ทุกอย่างล้วนมีส่วนช่วยพัฒนาสมอง รวมถึงส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกายได้ทั้งสิ้น”

ทุกสิ่งที่เธอถ่ายทอดออกมานั้นล้วนมาจากประสบการณ์จริงในการเสริมพัฒนาการให้ลูกอย่างง่ายๆ ซึ่งเธอบอกกับเราว่ากิจกรรมเล็กๆ เหล่านี้แหละจะเป็นตัวช่วยส่งเสริมความผูกพันในครอบครัวได้เป็นอย่างดี

บทเรียนในอดีตแค่ไม่แคร์แล้วเดินหน้า

แต่กว่าที่เธอจะมาเป็นคุณแม่ของลูกน้อยที่น่ารักทั้ง 3...เป็นภรรยาที่เป็นเพื่อนคู่คิดของสามีและมีครอบครัวที่อบอุ่นเช่นในปัจจุบันนั้น เธอเองเคยผ่านเรื่องราวที่ปวดร้าวที่สุดในชีวิตมาแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นการล้มเหลวในการใช้ชีวิตคู่ การต้องตกเป็นประเด็นนินทาของคนทั่วไป มันคงเป็นเรื่องยากที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องเผชิญ แต่เธอก็ผ่านมันมาได้ และเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นบทเรียนที่ทิ้งไว้เบื้องหลังเท่านั้น

“ทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่มีค่ามาก ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รอบครอบขึ้น ตอนนั้นบัวว่าตัวเองเด็กมาก บัวแต่งงานตอนอายุ 26 อยู่กัน 7 ปีเต็ม ซึ่งตอนนั้นสามีเก่า (จุ๊บ-วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี) เขามีลูกติด บัวก็ช่วยเขาเลี้ยงลูก โดยที่ตอนนั้นไม่เคยคิดอยากจะมีลูกเป็นของตัวเองเลย จนในที่สุดรู้สึกว่าไปกันไม่ได้ ตอนนั้นบัวตัดสินใจอยู่นานนะว่าเราจะทำอย่างไรกับชีวิตดี คิดมากไปหมด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจแยกทางดีกว่า

ไม่เสียใจกับสิ่งที่เราพบเจอนะ รู้สึกดีใจมากกว่าที่เหตุการณ์นั้นผ่านไปได้ การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของเราถือเป็นการบ่งบอกถึงความเข้มแข็งของเราอย่างนึง หลายคนก็เจอเหมือนเราเขาก็ผ่านมาได้ ขอเรียกว่ามันคือบทเรียนที่ดีมาก ตอนนี้มองกลับไปกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปเลย”

การก้าวผ่านเรื่องราวเหล่านั้น คงไม่ง่ายเลยถ้าปราศจากกำลังใจจากคนรอบข้าง และเธอโชคดีที่มีที่ปรึกษาคอยให้กำลังใจ ปลุกให้สู้และฮึกเหิม ใช้ชีวิตเชิดๆ ไม่ต้องไปแคร์ใคร ซึ่งผู้ที่คอยให้กำลังใจเธอในครั้งนั้นก็คือคนที่เคียงข้างกับเธอในทุกวันนี้ คุณตู-นิธิพงศ์ สุริยะ เจ้าหน้าที่ไอทีโปรเจกต์แห่งบริษัท เอ็กซอนโมบิล ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิท พี่ชาย ที่ปรึกษาและสามีของเธอ

“ตอนนั้นที่บัวมีปัญหาชีวิต บัวได้กำลังใจจากครอบครัว และได้คำปรึกษาที่ดีจากตู ตูเป็นเพื่อนผู้ชายที่สนิทที่สุดเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ 11 ขวบ เราไม่เคยขาดการติดต่อกันเลย เวลามีเรื่องไม่สบายใจบัวจะนึกถึงเขาเป็นคนแรก เขาจะมีมุมมองในการแก้ปัญหาได้ดี ซึ่งเขาเองก็เคยผ่านการแต่งงานได้ 3 ปีแล้วก็แยกทาง แต่ในระหว่างที่ต่างคนต่างแต่งงาน เราก็ไม่ก้าวก่ายกัน แต่พอบัวมีปัญหาบัวกลับไปปรึกษาเขา บัวเองยังเคยคิดเลยว่าเราไม่เคยได้ช่วยเหลืออะไรเขาเลย เวลาที่เขาเดือดร้อนหรือมีความทุกข์

ช่วงที่เขาไม่มีครอบครัวแล้ว เขาก็คอยดูแลบัว คอยรับฟังเรื่องเวิ่นเว้อของผู้หญิง คอยเป็นที่ปรึกษา บัวจำคำเขาได้เลย เขาบอกกับบัวว่า “ไม่ต้องสนใจคนอื่น มีแค่เรากับครอบครัวเราเท่านั้นที่ต้องแคร์ คนอื่นไม่มีผลกับชีวิต” ซึ่งทำให้สมองบัวโล่งเลย เพราะเมื่อก่อนบัวคิดมาก แคร์ทุกอย่าง แคร์แม้กระทั่งคนที่ไม่รู้จัก ซึ่งไม่รู้จะแคร์ทำไม (หัวเราะ) เราเข้าใจเลย

พอบัวหย่าแล้ว ก็ค่อยๆ ทำตัวให้เข้มแข็งขึ้น ทำให้บัวมีโอกาสคุยกับตูมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น จนตกลงคบกันเป็นแฟนอยู่ประมาณปีครึ่งก็แต่งงาน อย่างที่บอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยอยากมีลูก แต่พอแต่งงานกับตู เรารู้สึกถึงความพร้อมและความมั่นใจในตัวเขา ก็อยากจะมีลูก ทุกวันนี้แฮปปี้ลงตัว ครอบครัวอบอุ่นสมบูรณ์แบบ แค่นี้บัวก็มีความสุขแล้ว”

จากเพื่อนรักเปลี่ยนสถานะเป็นคู่ชีวิต

แม้จะรู้จักกันมาเป็นสิบๆ ปี แต่ทั้งสองก็มอบเพียงความรู้สึกที่ดีให้แก่กันในแบบเพื่อน ไม่ได้มีความคิดที่จะเกินเลย จนกระทั่งเวลาผ่านไป ประกอบกับสถานการณ์ชีวิตของแต่ละคนที่เปลี่ยนแปลง ความสนิทสนมไว้ใจ ก่อตัวเป็นความผูกพัน โดยคุณตูเริ่มย้อนความหลังสมัยยังเป็นเด็กให้กับเราฟังว่า

“ตอนสมัยเรียนเราคงลืมปิ๊งกัน เพราะเราสนิทกันมาก คุยกันได้ทุกเรื่อง คุยกันได้ทุกคืน ผมคิดว่าเราอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กัน แต่ว่าไม่กล้า คิดว่าเรายังไม่พร้อมที่จะดูแลเขา ตอนนั้นผมคงยังดูแลเขาไม่ไหว เพราะว่าชอปปิ้งหนักมาก(หัวเราะ) ช่วงชีวิตนั้นผมก็อยากเตะบอล อยากว่ายน้ำ อยากเล่นกีฬา อยากใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ของผู้ชายสนุกๆ”

และคุณบัวกล่าวเสริมถึงความไว้วางใจที่มีต่อผู้ชายคนนี้ “สนิทกันมากจริงๆ คุณแม่ของบัวก็ไว้ใจเขาด้วย สมัยก่อนเวลาจะไปเที่ยวกลางคืน คุณแม่จะเป็นห่วง แต่ถ้าบอกว่าไปกับตู คุณแม่ก็จะอนุญาต เพราะตูจะคอยดูแล บัวเองก็ไว้ใจเขาด้วย ฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็จะโทรศัพท์ไปหาเขา”

ผ่านเรื่องราวกันมามาก รู้และเข้าใจทุกความรู้สึกของกันและกัน เมื่อมาใช้ชีวิตคู่กันอาจไม่ต้องปรับจูนในเรื่องของนิสัยพื้นฐานของกันมากเพราะรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว ที่เหลือเพียงจูนในเรื่องของการใช้ชีวิตครอบครัวมากกว่า

“นิสัยเรารู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ตูเป็นคนบ้าทำงาน และงานเขาจะไม่เหมือนชาวบ้านเพราะบางทีต้องติดต่องานกับต่างประเทศ บางทีเราจะนอนแล้ว แต่เขาเพิ่งจะเริ่มประชุมกับอีกซีกโลกหนึ่ง งั้นบัวไปนอนก่อนนะ (หัวเราะ) นอกจากงานของเขาแล้ว เขาก็ยังช่วยบัวทำบริษัทนำเข้าขวดน้ำจากสวิสด้วย ที่จริงบัวไม่อยากทำธุรกิจกับคู่ชีวิตนะ เพราะกลับมาบ้านเราไม่อยากพูดเรื่องงาน อยากให้รีแลกซ์ แต่ก็ไม่เป็นไร ธุรกิจตรงนี้เป็นธุรกิจที่เราวางแผนไว้ให้ลูก แต่บางทีเราก็อยากจะพักบ้าง อยากไปเดินเล่นตอนกลางคืนกันสองคน อยากมีเวลาไปสวีตกันบ้าง”

“เรื่องธรรมดาครับ เราทำธุรกิจด้วยกันก็คือการวางแผนอนาคต บางทีเลยไม่ค่อยมีเวลา การทำธุรกิจด้วยกันก็มีความคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่เราไม่ได้ทะเลาะกัน เราช่วยกันแก้ปัญหามากกว่า” คุณตูกล่าวถึงมุมมองของการใช้ชีวิตคู่ที่เป็นหุ้นส่วนชีวิต

คนที่รักกันจะอยู่กันได้ อาจมีรสนิยม ความชอบ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน ซึ่งครั้งหนึ่งคุณบัวเองก็เป็นคนที่รักการเดินทาง มักจะเดินทางไปในที่ต่างๆ กับคุณพ่ออยู่เสมอ เช่นเดียวกับทางคุณตูที่ในบางครั้งก็ต้องเดินทางควบคู่ไปกับการทำงาน จนกลายเป็นความทรงจำที่ดีของทั้งสองคน

“ที่จริงผมชอบอยู่ไม่กี่ประเทศแล้วพอดีเป็นประเทศที่บัวเขาก็ประทับใจ เราคงคล้ายกัน ผมชอบญี่ปุ่นชอบอังกฤษ และฮังการี”

“เราสองคนชอบเที่ยว แต่ตอนนี้มีลูกก็ไม่ค่อยมีเวลา มีอยู่ครั้งนึงตูไปทำงานที่บูดาเปสต์ อังการี บัวตามไปเที่ยวด้วย เป็นเมืองที่สงบมาก รู้สึกสบายเหมือนเป็นคุณนาย สบายที่สุด (หัวเราะ)” คุณบัวกล่าวเสริม

3 ดรุณี...สิ่งมีค่าที่ร่วมสร้างและเฝ้าฟูมฟัก

“ลูก” คือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่ทั้งชีวิตของคนทั้งสองยอมเหนื่อย ยอมสู้เพื่อเลี้ยงดูทะนุถนอม มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นลูกที่เกิดมาจากความรัก ความยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ในบ้าน และสำหรับครอบครัว “สุริยะ” วันนี้เราขอแนะนำ 3 สาววัยจี๊ดที่กว่าช่างภาพของเราจะเก็บภาพน่ารักๆ ได้ก็เหนื่อยเอาการ เพราะเหมือนจับปูใส่กระด้ง!! แต่ภาพที่ได้ออกมานั้น น่ารักจนใครๆ ต้องพากันยิ้ม ได้เวลาไล่เรียงแนะนำตัว 3 สาวน้อยจากคำบอกเล่าของคุณพ่อตูและคุณแม่บัวกันแล้ว

>> เทต-ปณิธิ สุริยะ แฝดคนพี่ชื่อของน้องเทตมาจาก “เทตโมเดิร์นมิวเซียม” ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับแม่น้ำเทมส์ สิ่งที่พ่อแม่สังเกตเห็นคือน้องเทตเป็นเด็กที่มีความสนใจในศิลปะ รักแฟชั่น ฉะนั้น เธอจะเป็นคนเลือกเสื้อผ้าชุดสวยใส่เองในทุกๆ วัน ตามประสาเด็กผู้หญิงช่างแต่งตัว

>> เธมส์-ปณิดา สุริยะ แฝดคนน้องที่ชื่อมีที่มาจากแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอน อันเป็นสถานที่ฉลองครบรอบแต่งงานของพ่อตูและแม่บัว น้องเธมส์สนใจสัตว์ ช่างสังเกต ชอบในเรื่องของวิทยาศาสตร์ ความจำดีมาก ใครสัญญาอะไรกับเธอไว้ไม่มีทางลืมแน่นอน!

>> ไทน์-ปัณฑิตา สุริยะ น้องสาวคนสุดท้องที่มาเดี่ยวๆ ด้วยความที่น้องไทน์เกิดมาเป็นน้อง เธอจึงเกิดพฤติกรรมการเลียนแบบพี่สาวฝาแฝด เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของคู่หู บัดดี้ของพี่ๆ พัฒนาการของเธอจึงเร็ว ฉลาด และสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี

“อยากให้ลูกชื่อตัว T เหมือน “ตู” จึงกลายเป็น “เทต-เธมส์-ไทน์” ช่วงเตรียมอนุบาลเราให้ลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ จากนั้นเราตั้งใจให้ลูกเรียนโรงเรียนไทย อยากให้มีมารยาทแบบคนไทย เพราะยังไงเขาต้องใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย ส่วนเรื่องของภาษาอังกฤษบัวคิดว่าเราสามารถฝึกกันได้ ส่วนใหญ่เวลาเขาดูการ์ตูนก็เป็นภาษาอังกฤษบ้าง หรือเวลาพ่อเขาเล่านิทานก็มีการสอดแทรกภาษาอังกฤษให้ ซึ่งตอนนี้สองฝาแฝดเข้าเรียนที่โรงเรียนจิตรลดาแล้ว ขอแค่เขาทำสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่เราอยากให้เขาคือ เรียน ป.1-6 ให้มีภาษาไทยแข็งแรง ไม่บังคับ ไม่เปรียบเทียบลูก แต่เราจะคอยไกด์เขา ซึ่งคุณพ่อมีส่วนช่วยไกด์ลูกได้มาก” คุณแม่บัวเล่าถึงแผนเริ่มต้นในการมอบพื้นฐานที่ดีให้กับลูก

โดยคุณพ่อตูเองก็เผยแผนการเลี้ยงลูกด้วยเช่นกัน “เคยคุยกับคุณหมอคนหนึ่งเขาบอกว่าไม่ต้องห่วงว่าเด็กจะเรียนโรงเรียนอินเตอร์ หรือโรงเรียนไทย เพราะเด็กจะไปทันกันตอนประมาณ 6-7 ขวบ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นความรู้ในระดับประถมที่เขาจะเริ่มต้นพร้อมกันใหม่ แต่ช่วงเวลาที่สมองพัฒนาที่สุดคือตั้งแต่เกิดจนถึง 3-4 ขวบ เป็นช่วงที่เราไม่ได้คาดหวัง เพียงแต่อยากพัฒนาสมอง พัฒนาทักษะ ปลูกฝังเรื่องต่างๆ ให้กับเขา ส่วนเขาจะชอบอะไรค่อยว่ากัน”

ไม่ใช่แค่การวางแผนการมอบพื้นฐานชีวิตให้กับลูกๆ แล้ว แต่การให้ความรักความอบอุ่น ทั้งสองต่างก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยคุณแม่จะเป็นคนไปรับไปส่งลูกไปโรงเรียนเอง ส่วนคุณพ่อจะทำหน้าที่อ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอนทุกวัน

“บัวชอบไปส่งลูกเอง แล้วก็กลับมาทำงานต่อ เวลางานของบัวค่อนข้างลงตัว เราจะรู้อยู่แล้วว่าต้องประชุมวันไหน ส่วนคุณพ่อมีหน้าที่อ่านนิทานให้ลูกฟัง บางวันคืนละ 2 เรื่องเลยนะ เขาหลงลูกสาวมาก (เสียงยาว)”

“ผมพยายามปลูกฝังให้เขาเป็นเด็กรักการอ่าน ด้วยการอ่านนิทานให้เขาฟังทุกวัน นิทานเรื่องโปรดของเขาถ้าเขาชอบฟังเรื่องไหน ก็จะขอให้อ่านซ้ำอยู่นั่นแหละ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนิทานอีสป แล้วก็นิทานของคุณหนิง-ศรัยฉัตร เช่นเรื่องเบลล่าตักบาตร เบลล่าเข้าวัด ผมว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย การที่ทำงานด้านไอทีทำให้รู้เลยว่า เด็กสมัยใหม่อยู่กับเทคโนโลยีมาก แต่อ่านหนังสือน้อย ผมอยากให้ลูกอ่านหนังสือที่เป็นเล่มๆ จริงๆ ไม่ใช่อีบุ๊ก ไม่ใช่การเข้าแอปพลิเคชัน เพราะการอ่านหนังสือเป็นการฝึกเรื่องสมาธิอย่างหนึ่งด้วย

พวกเทคโนโลยีของพวกนี้เปลี่ยนเร็วไม่อยากให้เขาติดมากเกินไป เด็กควรจะมีเพื่อน มีการปฏิสัมพันธ์ เพื่อให้รู้จักอยู่กับคนอื่นได้ ซึ่งการเข้าเรียนอนุบาล 1-3 ทำให้เขารู้จักเข้าสังคมและช่วยเหลือตัวเองได้” คุณพ่อตูเล่าวิธีการเลี้ยงลูกแบบส่วนตัวเป็นฉากๆ

จากบรรยากาศที่เราได้ไปสัมผัสในการถ่ายภาพและพูดคุยกับครอบครัวนี้ ถึงแม้จะดูสบายๆ ครื้นเครงตามประสาสาวน้อยตัวจี๊ด 3 คน แต่แม่บัวมากระซิบกับเราว่าเห็นวิ่งกันไม่หยุดอย่างนี้แต่ก็มีกฎเล็กๆ ของบ้านเหมือนกัน คือ เวลาทานข้าวทุกคนจะต้องอยู่ด้วยกัน ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีมือถือ ไม่มีการเปิดทีวี แต่ทุกคนจะนั่งทานข้าวพร้อมกัน นั่งคุยกัน ไม่มีการวิ่งป้อนข้าวรอบบ้านเด็ดขาด! ซึ่งเราก็ได้เห็นบรรยากาศแห่งความน่ารักในการเทกแคร์ลูก อย่างคนรุ่นใหม่ที่มีความหวังที่จะสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพให้กับบ้านเมือง นี่แหละครอบครัวจริงๆ พร้อมชีวิตที่สมบูรณ์ของ บัว-ปัทมน (อดิเรกสาร) สุริยะ :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น