xs
xsm
sm
md
lg

“เรารักในหลวง” ความภาคภูมิใจของ ณพอาภา เทวกุล ณ อยุธยา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
แผ่นดินสยาม จะยืนหยัดเป็นปึกแผ่นเช่นนี้ไม่ได้ หากชาวไทยไม่มีศูนย์รวมจิตใจอันสูงสุด คือ “พ่อหลวงของแผ่นดิน” ฉะนั้น การแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน จึงเป็นสิ่งที่ชาวไทยทุกคนล้วนประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เฉกเช่น ยุ้ย-ณพอาภา เทวกุล ณ อยุธยา เจ้าของลายมือยุกยิกบนสติกเกอร์ “เรารักในหลวง” ที่เห็นคุ้นตากันจนทุกวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจคนไทย ที่ภักดีต่อองค์พ่อหลวง

 
ในวันที่แดดอุ่นๆ ของฤดูหนาว น้องยุ้ย บุตรีของ พล.ท.ม.ล. ทศนวอมร เทวกุล กับ รัตนาภา เทวกุล ณ อยุธยา มาพบและพูดคุยกับเราด้วยรอยยิ้มอันสดใส พร้อมเล่าถึงจุดเริ่มต้นของคำว่า “เรารักในหลวง” ว่า มีมานานประมาณ 10 ปีแล้ว เมื่อครั้งศิษย์เก่านักเรียนจิตรลดา รุ่น 5 ที่จัดทำเสื้อเพื่อหารายได้สร้างอาคารเรียนหลังใหม่ให้กับโรงเรียนจิตรลดา

 

 
 
“ตอนทำเสื้อยืด คุณพ่อคุณแม่กับเพื่อนๆ จิตรลดารุ่น 5 ก็คิดว่าจะทำแบบไหน บังเอิญคุณพ่อไปเห็นคำว่า เรารักในหลวง จากร้านค้าแห่งหนึ่ง ก็นำมาเสนอและทุกคนชอบเลยเลือกใช้คำนี้ แต่ก็มาติดปัญหาเรื่องการออกแบบ คุณพ่อเห็นยุ้ยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ เลยให้เป็นผู้ออกแบบค่ะ” ยุ้ยอธิบายถึงเหตุผลและที่มาของคำ

ตัวอักษร “เรารักในหลวง” ที่โย้เย้อาจดูเหมือนง่าย แต่ยุ้ยบอกว่าคิดนานเหมือนกัน เพราะในยุคนั้น Front ตัวหนังสือภาษาไทยยังมีไม่มาก เธอจึงลองใช้เม้าท์ลากเป็นตัวอักษรลายมือของเธอเอง บนโปรแกรม Photoshop จนได้แบบที่พอใจ และเมื่อนำใส่ในเสื้อ ปรากฏว่าผู้ใหญ่หลายคนชอบ และอยากให้ประโยคนี้กระจายไปในวงกว้าง จึงมีการจัดพิมพ์เป็นสติกเกอร์ โดยการสนับสนุนของหน่วยงานต่างๆ ในเวลาต่อมา

 
 
 
จากวันนั้นถึงวันนี้ แม้มีการนำคำพูดนี้ไปใช้อย่างแพร่หลาย สติกเกอร์ “เรารักในหลวง” ถูกนำไปพิมพ์ให้ต่างไปจากรูปแบบเดิม เธอก็ยังรู้สึกดีใจและภูมิใจ เพราะแม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ได้ทำถวายพระองค์ท่าน แต่ก็รู้สึกมีความสุขและภูมิใจที่ได้ทำ
 
“ยุ้ยดีใจนะ เพราะทุกคนที่ทำล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน "เรารักในหลวง” เหมือนกันค่ะ ดีเสียอีกที่ทุกคนได้ช่วยกันทำให้คำคำนี้เป็นที่รู้จักและช่วยกันกระจายออกไปในวงที่กว้างมากขึ้น" แต่ถ้าเป็นของ "ออริจินัล" จริงๆ น้องยุ้ยบอกว่า ไม่ได้ทำเพื่อจำหน่าย แต่เป็นการทำเพื่อแจก โดยตัวหนังสือจะมีแค่สามสีเท่านั้น คือ น้ำเงิน เหลือง และขาว”

 
 
ความรักและเทิดทูนสถาบันมีมากเพียงไร คงไม่อาจบรรยายได้ เพราะนับตั้งแต่รุ่นคุณตา (แก้วขวัญ วัชโรทัย) เรื่อยมาถึงคุณพ่อ-คุณแม่ ได้มีโอกาสถวายงานและรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิด ขณะที่ ยุ้ยเองมีโอกาสเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงสามครั้ง ตื้นตันใจในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ยังตราตรึง จึงได้สร้างแรงบันดาลใจให้น้องยุ้ยยึดมั่นในสิ่งหนึ่งเสมอมา
 
“ในหลวงเป็นทั้งแบบอย่างและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของยุ้ยค่ะ ยุ้ยเองมีบทพระบรมราโชวาทบทหนึ่ง ที่ยึดถือปฏิบัติมาอยู่ในใจตลอด ในพระบรมราโชวาทนั้น มีใจความว่า คนเรา ณ วันนี้มีหน้าที่อะไรก็ให้ทำอย่างนั้น แม้มีหน้าที่อย่างเด็กก็ให้ทำหน้าที่อย่างเด็ก คือ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และเป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ เพื่อที่วันหนึ่งโตขึ้น จะได้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติต่อไป ยุ้ยรู้สึกว่า พระบรมราโชวาทนี้ เป็นอะไรที่เราสามารถทำได้จริงค่ะ ก็เลยยึดถือปฏิบัติมาตลอด ยุ้ยรู้สึกว่า พระองค์ท่านทำอะไรเพื่อพวกเรามากมาย มากจนไม่รู้ว่า ลูกอย่างเราจะทำอย่างไรเพื่อทดแทนคุณของพ่อหลวง อย่างพระองค์ท่านได้ ดังนั้น อะไรที่สองมือของประชาชนตัวเล็กๆ อย่างเราพอจะทำได้ ก็ยินดีทำด้วยความเต็มใจค่ะ”

 
ปัจจุบัน ยุ้ยเป็นอาจารย์พิเศษสอนเรื่องการดนตรี ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเธอบอกว่า ส่วนหนึ่งที่สนใจในเรื่องดนตรีก็มาจากการที่ได้เห็นพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่าน ด้านดนตรี ทำให้เธอมุมะมานะสามารถร้องและแต่งเพลงเอง จนได้เป็นศิลปินสังกัดอาร์เอส สำหรับอนาคต หากมีโอกาส "ยุ้ยอาจจะเข้าไปเป็นอาจารย์พิเศษ สอนดนตรีที่โรงเรียนจิตรลดา เพื่อทดแทนพระมหากรุณาธิคุณพระองค์ท่านที่มีต่อพสกนิกรคนไทย"

 
การตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณต่อองค์พ่อหลวงนั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงออกให้ใครรับรู้เสมอไป เพราะไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง จะมีคนเห็นหรือไม่เห็น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสักวันความดีจะปรากฎให้เห็นเป็นพยาน เปรียบได้กับ “ผู้ปิดทองหลังพระ” ที่ครั้งหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราโชวาทไว้ว่า

การทำงานด้วยน้ำใจรัก ต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้น จะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับ สอนให้ปิดทองหลังพระ การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่า ไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้
กำลังโหลดความคิดเห็น