จากคำว่า “ขอบคุณ” ที่แขกคนหนึ่งกล่าวแล้วยิ้มตอบแทนการบริการอันดีของ เมย์-อิทธิพล วิทจิตสมบูรณ์ เมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เพียงคำพูดสั้น ๆ ในวันนั้นสร้างจุดเปลี่ยนชีวิตของเขาได้อย่างมหาศาล ถ้าไม่มีคำนั้น วันนี้คงไม่มีเมย์-อิทธิพล วิทจิตสมบูรณ์ F&B Director ซึ่งถือเป็นคนไทยคนแรกในรอบ 136 ปีของโรงแรมห้าดาวระดับโลก
“ คนทำงานโรงแรม” อาจจะดูโก้หรู แต่งตัวเนี๊ยบ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรา แต่แท้ที่จริงแล้วหัวใจของการทำงานคือ “ บริการ” เพื่อให้ได้ใจของลูกค้า แน่นอนว่าต้องใช้ทั้งทักษะและประสบการณ์สูง หากใจไม่รักหรือไม่เกิดมาเพื่องานบริการก็ยากจะอยู่ได้ เพราะลูกค้ามีสารพัดรูปแบบ แต่สำหรับ เมย์-อิทธิพล วิทจิตสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดมาเพื่อทำงานบริการนี้โดยเฉพาะ เพราะทุกท่วงท่ากิริยาในเวลาที่ได้พบปะกับผู้คน เขาสามารถสร้างรอยยิ้มและความพึงพอใจให้คนรอบข้างได้อย่างสบายใจ และมีความสุข ด้วยวัยเพียง 40 ปีต้นๆ เมย์-อิทธิพล ก็สามารถก้าวมาสู่จุดสูงสุดของอาชีพในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม (F&B : Food&Beverage Director) โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ และถือว่าเป็นคนไทยคนแรกที่ก้าวขึ้นมาสู่ระดับบริหารนี้ได้
เมย์-อิทธิพล เล่าย้อนถึงเส้นทางชีวิตเขาว่า เมื่อครั้งเรียนปริญญาตรี ได้มีโอกาสทำงานโรงแรมดุสิตธานี ตอนนั้นยังไม่รู้ว่างานโรงแรมคืออะไร คิดเพียงว่าเรียนจบแล้วอยากเป็นดีเจ หรือ ไกด์ทัวร์ เพราะชอบเที่ยวและรู้สึกว่าการคุยกับผู้คนเป็นงานที่ทำให้เขามีความสุข
จนวันหนึ่งกลายมาเป็นจุดพลิกผันที่กำหนดเส้นทางชีวิตของเขา เมื่อเมย์ได้เสิร์ฟอาหารแขกฝรั่ง และแขกคนนั้นหันมามองหน้าเขาพร้อมรอยยิ้มพร้อมกล่าวสั้นๆว่า “ขอบคุณ”
“คำนี้เรียบง่ายที่สุดแต่ก็มีพลังมากที่สุด “ขอบคุณ” คำเดียวเปลี่ยนชีวิตผมมา 20 ปี คือฟังแล้วมีความสุข เหมือนเราค้นพบเสียงตัวเองเจอ ทำให้รู้สึกว่างานบริการที่ทำอยู่ก็เป็นงานที่สร้างความสุขให้คนได้ ที่คิดอยากเป็นดีเจเป็นไกด์ก็ไม่เอาแล้ว มุ่งมั่นมาทางนี้เลย ” เมย์กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะตามแบบฉบับผู้ชายอารมณ์ดี
เมย์เข้ามาร่วมงานกับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เมื่อ 16 ปีก่อนด้วยตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยง เขาวนเวียนอยู่ในสายงานอาหาร เครื่องดื่ม และจัดเลี้ยงมาตลอด ด้วยความที่เป็นคนเอาใจใส่และทุ่มเทในการทำงาน พยายามศึกษาหาความรู้ในสายงานอาหารเครื่องดื่มและการบริหารโรงแรมอยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นเมย์ได้รับความไว้วางมากขึ้น โดย 6 ปีก่อนหน้าเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม
เมย์เล่าว่า F&B นับเป็นงานที่ท้าทายมาก เป็นการทำงานแบบทีมทึ่ต้องแข่งกับเวลา สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ ที่สำคัญต้องนำข้อผิดพลาดมาเป็นบทเรียนเพื่อให้งานในครั้งต่อไปสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
การใส่ใจต่องานมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญคือบุคคลิกที่อ่อนน้อมเรียนรู้วัฒนธรรมของแต่ละเชื้อชาติ กลายมาเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ “อแมนด้า ไฮนด์แมน” จีเอ็มหญิงคนแรกที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ซึ่งมีแนวคิดสมัยใหม่ มองเห็นการทำงานและศักยภาพผู้ชายที่ชื่อเมย์-อิทธิพล จึงมอบตำแหน่ง F&B Director ให้กับเมย์ โดยเห็นว่าตำแหน่งนี้ไม่จำเป็นต้องให้ชาวต่างชาติเหมือนที่ผ่านมา
สำหรับวันแรกที่รับตำแหน่ง เมย์เล่าว่า “ผมรู้สึกว่าฝันเป็นจริง แน่นอนว่าเป็นความภาคภูมิใจ แต่ตรงนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียว แต่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ เพราะตลอด 136 ปีมานี้ ตำแหน่งนี้เป็นของต่างชาติมาตลอด พอโอกาสเปิดกว้างให้ ผมดีใจเพราะคนไทยหัวใจบริการอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าต่างชาติจะได้เห็นว่าคนไทยก็มีความรู้ความสามารถที่จะช่วยพัฒนาองค์กรระดับโลกได้”
นอกจากตำแหน่งใหม่ที่ทำให้เขาภาคภูมิใจแล้ว ประสบการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตที่สร้างความภาคภูมิใจอีกครั้งหนึ่งคือการได้ถวายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งที่สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ แห่งสวีเดน ทรงจัดงานเลี้ยงพระราชทานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯและพระบรมศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ซึ่งครั้งนั้นเมย์ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เสิร์ฟถวายพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน ซึ่งเขาถือเป็นวาสนาสูงสุดในชีวิตทีเดียว
การก้าวเข้ารับตำแหน่งใหม่ของเมย์ครั้งนี้ นอกจากพิสูจน์ให้ต่างชาติเห็นผลงานและยอมรับในความสามารถแล้ว อีกหนึ่งความความท้าทายที่เขาละเลยไม่ได้คือ การเป็นคนกลางคอยประสานความเข้าใจระหว่าง ลูกค้า พนักงาน และคู่แข่งทางการค้า และภาระที่หนักเพิ่มขึ้นคือต้องวางโครงงานในปีถัดไปเพื่อเพิ่มศักยภาพ สร้างรายได้ และความประทับใจให้กับองค์กรและลูกค้า