xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตที่ลงตัวของม.ล.อรจิตรา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงงานอย่างหนักเพื่อให้พสกนิกรของพระองค์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นดุจพลังสำคัญให้ ม.ล.อรจิตรา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันสิริกิติ์ ซึ่งดูแลโครงการพิพิธภัณฑ์ ศิลป์แผ่นดิน ณ พระที้นั่งอนันตสมาคม ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและไม่ท้อแท้แม้หลายครั้งต้องจากลูกๆเพื่อตามถวายงานพระองค์ท่านนานนับแรมเดือน ขณะที่ลูกทั้งสามก็ไม่เคยเสียใจหรือน้อยใจที่แม่มีเวลาให้ลูกได้เพียงน้อยนิด หากแต่กลับภูมิใจในตัวผู้เป็นแม่ที่ได้ทำงานใต้เบื้องยุคลบาทและแม่ยังให้ความรักความอบอุ่นพวกเขาได้อย่างเต็มที่

ม.ล.อรจิตรา สมรสกับ พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา มีบุตร 3 คนคือ เม่น- สุทธิพันธ์, มาศ-สุภมาศ และหมุงหมิง-สุวรา ม.ล.อรจิตราติดตามถวายงานสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถมาตั้งแต่ปี2521 จนถึงวันที่ได้เป็นคุณแม่ลูกสามก็ยังคงทำงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เธอบอกว่าการได้ทำงานตรงนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจ แม้จะเป็นเพียงฟันเฟืองตัวเล็กๆที่ได้มีส่วนช่วยเพื่อนมนุษย์ในเรื่องการฝึกวิชาชีพตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จนทำให้ไม่มีเวลาได้อยู่ใกล้ชิดลูกเหมือนแม่คนคนอื่นๆก็ตาม
“ทุกครั้งที่พี่ตามเสด็จหากทรงแปรพระราชฐานปีหนึ่ง 4 ภาค เหนือ กลาง อีสาน ใต้ ก็ต้องตามเสด็จที่ละหลายเดือน แต่มีการสลับกันไป”
ม.ล.อรจิตรา ยอมรับว่างานที่ต้องตามเสด็จฯนั้นทำให้แทบไม่มีเวลาอยู่กับลูกมาตั้งแต่เล็ก ช่วงนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เหมือนลูกไม่มี“แม่”
“ แต่พี่โชคดีที่ครอบครัวเราทำงานรับใช้เจ้านายหลายพระองค์ก็จะเข้าใจกัน ปู่,ย่า,ตา,ยาย มาช่วยเลี้ยงหลานให้ ตอนลูกยังเล็กก็มีงอแงบ้างเป็นธรรมดา ครั้งหนึ่งที่พี่จำได้คือเราต้องไปทำงานตามเสด็จฯ แล้วให้ลูกนั่งรถไปส่ง พอพี่ลงจากรถเริ่มได้ยินเสียงลูกร้องไห้แล้ว ก็ต้องตัดใจแต่พอหันกลับไปดูเห็นลูก 3 คนที่นั่งหลังรถจะมาเกาะกระจกร้องไห้ พอเห็นภาพนั้นแล้วพี่รับไม่ได้ คือทำใจไม่ได้” ม.ล.อรจิตราสะท้อนความรู้สึกด้วยสีหน้าสดใสแต่ดวงตาคงมีน้ำตาคลอเบ้า แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจเดินหน้าต่อไปคือภาพของสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงงานเพื่อประชาชนอย่างไม่ทรงย่อท้อเพื่อประชาชนที่ยังลำบากอยู่ ทำให้นึกถึงว่ายังมีคนที่ลำบากรอความช่วยเหลืออีกมาก


เมื่อถามว่ารู้สึกท้อแท้และสงสารลูกหรือไม่ ม.ล.อรจิตร าบอกว่า  งานอะไรก็แล้วแต่ถ้าทำแล้วบ้านมีปัญหาเธอจะไม่ทำ แต่การได้รับใช้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเป็นสิ่งที่เธอเต็มใจไม่ได้ถูกบังคับยิ่งพอได้ลงพื้นที่เห็นชาวบ้านที่เขาลำบาก เห็นสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงงานซึ่งหนักมากกว่าเราหลายเท่าจึงทำให้เธอรู้สึกว่ามีความสุขและเลือกที่จะทำต่อไป โดยปรับวิธีการออกจากบ้านไปทำงานด้วยวิธีธรรมดา
  “พี่จะบอกลูกๆว่าแม่ไปทำงานนะ เดี๋ยวซื้อของมาฝาก อีกอย่างคือคุณครูที่โรงเรียนจิตรลดาที่ลูกๆเรียนอยู่ก็จะสอนเด็กว่าการที่ในหลวงกับพระราชินีเสด็จต่างจังหวัดท่านไปทรงงานหนักเพื่อประชาชนอย่างไรลูกๆก็จะเข้าใจไม่ร้องไห้ พี่ถือว่าโชคดีที่ลูกเข้มแข็งไม่ร้องไห้และก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น”

อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นลูกสาวติดแม่ ดังนั้นทุกครั้งที่รู้ว่าแม่ต้องตามเสด็จน้องมาศ-ศุภมาศ และ หมุงหมิง-สุวรา ยอมรับว่าตอนเด็ก ๆ จะร้องไห้ ไม่เช่นนั้นก็จะออกอาการป่วย “ไม่รู้ว่าเป็นอะไรค่ะ ป่วยจริงๆไม่ได้ป่วยการเมือง พี่มาศจะป่วยบ่อยมาก”  หมุงหมิงกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะที่คุณแม่อรจิตรากล่าวเสริมว่า “ต้องเรียกอาการทางจิต (หัวเราะ)แม่ไปก็เป็นห่วงแต่พอโทรกลับมาถามคุณปู่คุณย่าก็จะบอกปกติดี วิ่งเล่นกันสนุกสนานเลย”
  แม้จะแทบไม่มีเวลาให้ลูก แต่ ม.ล.อรจิตรา ก็บอกว่าเธอก็เหมือนแม่คนอื่นๆทั่วไป คือถ้ามีเวลาก็พยายามสอนลูกโดยเน้นเรื่องการมองโลกในแง่ดี ให้อภัยคน ปัจจุบัน “โทรศัพท์” กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สะดวกที่สุดระหว่างแม่ลูกที่สามารถพูดคุยติดต่อกันได้ตลอดเวลาที่ลูกมีปัญหาก็จะโทรมาปรึกษา ส่วนลูกชายจะคุยกับคุณพ่อ 
  “ทุกครั้งเวลาลูกมีกังวล แม่จะบอกเลยอะไรที่มันผ่านไปแล้วเราไม่ต้องไปคิดถึง เราต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุดอีกอย่างคือเวลาที่เขาเห็นใครมองคนในแง่ไม่ดี แม่จะบอกเลยว่าไม่ใครอยากเป็นคนไม่ดีการที่เขาทำอะไรสักอย่างให้ลูกรู้สึกไม่ดี หรือทำผิดกับลูกนั้นเขาอาจทำเพราะจำเป็น   ตรงนี้พี่ยอมรับว่าซึมซับและรับได้จากพระราชินี พระองค์ไม่เคยตำหนิใครเลยทรงให้โอกาสคนตลอดและทรงมองโลกในแง่ดี  ซึ่งเราก็นำตรงนี้มาสอนลูก”
  ส่วนความหวังที่จะให้ลูกๆเดินตามรอยหรือไม่นั้น ม.ล.อรจิตราบอกว่าไม่ได้บังคับจะปล่อยอิสระให้ลูกมากกว่า ปัจจุบันลูกของเธอทั้ง 3 คน จะมีแนวทางชีวิตเป็นของตัวเองอย่างลูกชายคนโตชอบเรื่องไฟแนนซ์  มาศชอบศิลปะ และ น้องหมิงชอบเป็นเภสัช

ม.ล.อรจิตรา บอกว่า ลูกๆจะมีความสุขกับงานของเขา ส่วนงานเพื่อสังคม ไม่ว่าจะเพื่อสิ่งแวดล้อมหรือการช่วยเหลือคน เธอเชื่อว่าถ้ามีโอกาสพวกเขาจะทำทันทีโดยไม่แม่ไม่ต้องพูด “อย่างลูกชายคนโต (สิทธิพันธ์) เวลาไปดำน้ำลึกไปเจอขยะถุงพลาสติกใต้ทะเล เขาจะเก็บขยะทุกครั้ง คือไม่จำเป็นต้องบอก ทุกอย่างพี่คิดว่าหากเราสร้างสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาให้ดีให้เขาซึมซับตั้งแต่เล็กๆแล้ว เราไม่ต้องไปกำหนดว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพราะเขาจะรู้ได้และเลือกทำด้วยตัวเอง”  
  วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีซึ่งถือเป็นวันแม่ แต่สำหรับน้องมาศ (ลูกสาวคนโต) บอกว่า ที่บ้านไม่มีอะไรพิเศษ เพราะทุกปีคุณแม่ต้องเข้าวัง ดังนั้นทุกๆวันเราจะมีความรักให้กันตลอด “คุณแม่จะทวงของขวัญด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เราไม่มีของขวัญให้ แต่ในวันนั้นจะพิเศษนิดนึงก็ตรงที่พวกเราอาจตื่นเช้ามากอดคุณแม่  ถึงวันนี้มาศดีใจและภูมิใจมากที่สุดที่ได้เกิดเป็นลูกคุณแม่”
  ขณะที่น้องหมิงบอกว่า “หมิงก็ดีใจที่เกิดเป็นลูกแม่แม้แม่จะไม่ได้เลี้ยงหมิงกับพี่ๆแบบชนิดที่เป็นแม่สุดๆ แต่แม่จะให้คำปรึกษาที่ดีหมิงกับพี่มาศจะสบายใจที่ได้คุยกับแม่ แต่สิ่งที่ภูมิใจมากคือหมิงได้คุณแม่ที่เป็นแบบนี้ ได้คุณแม่ที่ทำงานให้พระราชินีหมิงว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ตื้นตันทุกครั้งที่เห็นพระราชกรณียกิจของทั้งสองพระองค์แม้แต่ตอนไปดูหนังได้ยินเพลงสรรเสริญพระบารมีทีไรน้ำตาไหลทุกครั้ง”  หมิงกล่าวน้ำตาคลอเบ้า


ม.ล.อรจิตรา ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงเด็กๆ ในฐานะคนเป็นแม่ว่า แม่ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน มีเวลาให้ลูกมากน้อยแค่ไหนแต่ทุกคนรักลูกเหมือนกันหมด ลูกเป็นความหวังของพ่อแม่ “พี่เองแม้จะมีเวลาให้ลูกน้อยแต่จะทำทุกทางให้เราได้ใกล้ชิดกัน จะพยามสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้เขาและพวกเขาก็ไม่ทำให้แม่ผิดหวังหรือเสียใจ” 

ขอบคุณสถานที่ ร้านไอศกรีม ORI ชั้น 7 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ล

พลภัทร วรรณดี ถ่ายภาพ

Text by : ASTV ผู้จัดการรายวัน: สังคม-สตรี

 
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น