By Lady Manager
เบื้องหน้าสวยหรูได้รับคำชื่นชมล้นหลาม แต่บางคนบางกระแสกลับสับบล็อกเกอร์ความงามคนดัง โมเม ซะเละ!
“อย่าโกรธนะ ถ้าเราจะบอกว่าโมเมยังแต่งหน้าไม่เป็นเลย คือ ไม่ได้รู้จริงๆ อย่างที่พยายามพรีเซนต์ตัวเองอ่ะ สิ่งที่โมเมพูด สามารถหาอ่านได้จากแม็กกาซีนหรือเวปทั่วๆ ไปไม่ได้เกิดจากประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญจริงๆ” ตัวอย่างความคิดเห็นวิจารณ์เธอเชิงลบ
โมเม-นภัสสรณ์ บูรณศิริ กูรูผู้ให้ความรู้ด้านการแต่งหน้าในรายการ “โมเมพาเพลิน” จนโด่งดังบนโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ก นอกจากเธอจะได้รับการชื่นชม มีแฟนคลับมากมายติดตามเธอในทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊กมากมาย แต่บางเสียงกลับกระแนะกระแหนโขกสับเธอซะเละเทะ
ด้วยความที่นางดูแรง กล้าพูด สอดแทรกภาษาอังกฤษตลอดเวลา แถมสำเนียงเป๊ะ! ทักษะการพูดเป็นเลิศสามารถพูดเจื้อยแจ้วคนเดียวได้อย่างสนุกสนาน
“จริงๆ แล้ว เราทำงานพิธีกร งานดีเจ มาก่อนนานมาก ที่พูดได้เจื้อยแจ้วจ้อยๆ skill ของการเป็นดีเจและการทำพิธีกร เราอยู่กับรายการสดมา 8-9 ปี สดทุกวันมีปัญหาให้แก้ทุกวัน
ภาษาที่เราพูดมันไม่ใช่ภาษาแบบประดิษฐ์ แอ๊บให้สวย ส่วนหนึ่งคนดูอาจจะดูเพราะสนุก ฟังแล้วเปิดทิ้งไว้ได้ อาจจะฟังเราเม้าท์ไปเรื่อยๆ เพราะเราแต่งไปเม้าท์ไป เดี่ยวนี้ผู้ชายเริ่มเข้าใจ อาจไม่ฟังเรื่องแต่งหน้า แต่ฟังเราเม้าท์ อีนี่ตลกดี” โมเมเผยสาเหตุที่นางพูดเก่ง แถมสนุก เข้าใจง่าย บวกไม่แอ๊บ
ทว่านางรีวิวแต่งหน้าเยอะขนาดนี้ หาประเด็น ไอเดียมาจากไหนกันนะ และกับกระแสเม้าท์แรง โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เห็นจะเก่ง จากนี้ นางมีคำตอบ!
ไอเดียตีบตัน หมดมุกแต่งหน้า!?
“นอกจากจะคิดเองแล้วประเด็นแต่งหน้ามักจะถูก request ด้วย ผู้หญิงสาวไทยอยากได้การแต่งหน้าทุกสถานการณ์ บางครั้งเค้าจะคิดสถานการณ์มาให้-พี่คะ หนูอยากแต่งหน้าแบบนี้ เช่น แต่งหน้าออกเดท และเจอแฟนเก่า เพราะอาจจะมีทรัพย์สินต้องเคลียร์ แต่สภาพหน้าเราไม่ไหว โทรม ควรแต่งหน้ายังไง จริงๆ มาจากสถานการณ์รอบข้าง การสนทนากันกับเพื่อน เราดูเยอะ อ่านเยอะด้วย จึงมีไอเดียตลอด
แต่บางทีไอเดียก็ตันนะ แต่งไปหมดแล้ว แต่บางทีก็ปิ๊งขึ้นมา บางอย่างทำไปแล้วแต่งไปแล้ว แต่พอมีผลิตภัณฑ์ใหม่นวัตกรรมดีขึ้น ก็ทำได้อีก สองปีผ่านไป อาจเจอวิธีที่ดีกว่าในการทำ ก็ทำอีก ผลิตภัณฑ์ความงามมีนวัตกรรมตลอดเวลา บางอันก็จริง บางอันก็ไม่จริง แต่งหน้าเหมือนไม่แต่งหน้า ผลิตภัณฑ์นี้แต่งแล้วเหมือนธรรมชาติมากขึ้น ก็ทำใหม่อัพเดทได้
ลักษณะการทำงานในเรื่องของการรีวิวสินค้ามันเป็นที่รู้กันในวงการความงามว่า ถ้าโมเมใช้แล้วไม่ชอบจะขอไม่พูดถึงเลย คือ ไม่รับถือๆ แล้วรับตังค์
ด้วยรายการมันไม่ใช่สคริปต์ เป็นรายการที่เรานึกอยากจะพูดอะไรก็พูด เพราะฉะนั้นพอมันไม่จริงปั้บ มันจะดูแล้วรู้ มันจะชัดมากเพราะคนดูพาเพลินจะรู้ว่า พอมาเป็นสคริปต์จ๋าๆ คนจะรู้สึกได้ทันทีว่ามันไม่จริง และเราอยากอยู่ยาวๆ มากกว่า เราไม่อยากรับตังค์และบอกว่าดี เราได้มาฟรี แต่เค้าเสียเงินไง
skincare ส่วนใหญ่จะไม่พยายามรีวิว เพราะผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันค่อนข้างจะลำบากในการบอกนิดนึง ส่วนใหญ่ถ้าจะรีวิวสกินแคร์เรามักจะเป็น scientific facts ของสินค้าชิ้นนั้นมากกว่าจะใช้แล้วหน้าใส ต้องมีการทดลอง ครีมอุ้มน้ำได้ดีกว่า ทางสินค้าเค้าต้องก็ทดลองให้เราดู ถ้าเราเห็นว่า resource มันจริง แล้วเราใช้แล้วรู้สึกว่าโอเคนะ มันน่าสนับสนุนอยู่ เราก็ทำการทดลองนี้ให้คนที่บ้านดูเพื่อให้ตัดสินใจเอาเองว่ามันเหมาะกับสภาพผิวเราเองไหม
แต่เมกอัพจะง่ายตรงที่ว่าผลิตภัณฑ์แต่งหน้า พอทาเป็นสีปั้บดีไม่ดีมันเห็นในกล้องว่าดีหรือไม่ เนื้อสีดีมั้ย คุณภาพโอเคหรือเปล่า ลักษณะ texture เป็นอย่างไร เพราะตอนนี้เราก็ HD กันแล้วเนอะ มันก็จะชัดมาก”
บอกต่อสินค้าดี ขอข้ามของแย่ ไม่อยากมาเร็ว เคลมเร็ว
“หากใช้ไปใช้มาถ้าเกิดอาการแพ้ เราก็จะบอกเลยว่าใช้แล้วแพ้ แต่ไม่เอ่ยสินค้า ใช้ก่อนคุยกันเองก่อน พอทดลองแล้วไม่ชอบนะ ตัวนี้ขออนุญาต ไม่พูด ไม่ถือ ไม่เชียร์ ไม่พูดถึง ข้ามไป
เราก็ไม่อยากให้คนเชื่อไปซะหมดว่าชั้นบอกว่ามันแย่ก็คิดว่าแย่ ของบางอย่างบางยี่ห้อก็ดี มันไม่มีเครื่องสำอางยี่ห้อไหน หรือสกินแคร์ยี่ห้อไหนที่ดีไปเสียทุกอย่าง มันต้องมีของดี และของที่ไม่เวิร์กบ้าง บางอย่างเคลมซะเกินจริงมาก เหรอ! ทำได้เหรอ ใช้แล้วไม่เห็นผล เราก็จะคุยกันเองก่อน ถ้าเกิดชอบอย่างไร ชอบตรงไหน บางทีไม่ได้ชอบกันตรงกับสิ่งที่เค้าเคลมมาด้วย แต่ชอบที่เค้าสามารถทำอย่างอื่นได้ในมุมของเรา
เราก็จะขอเลือกพูดในสิ่งที่เรารู้สึกกับ product นั้นจริงๆ สบายใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะมาเร็วไปเร็ว มาแว้บไปแว้บ คนก็จะเชื่อสักพักแล้วก็จะไม่เชื่อแล้ว เพราะว่าเอาไปใช้ตามแล้วไม่เห็นจะดีเลย แต่เรารวยนะ เรารับตังค์ แต่มันก็ทำให้อายุงานในการที่จะทำตรงนี้มันสั้นลงซึ่งเราไม่อยากให้เป็นอย่างนี้
ไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนมาบังคับค่ะ ถ้ายุ่งมากๆ ก็บอกไม่ต้องยุ่งกัน คือ ไม่ชอบ ก็ไม่ใช้ จบ เจ้าของรายการเยอะ เพราะงั้นอย่ามาเยอะกว่า
ส่วนผลิตภัณฑ์ราคาแพง-ถูกนั้น เราจะใช้ผสมกัน ถ้าบางอย่างเป็นของแพงที่มีตัวตายตัวแทนได้ เราจะบอกเลยว่าถ้าทำสิ่งนี้ไม่ได้ ไปทำสิ่งนั้น แต่ถ้าไหว อยากซื้อสิ่งนี้ก็ซื้อ กำลังทรัพย์แล้วแต่ บอกเสมอว่า ดูเอาเป็นแนวทาง มันมีสีในระดับที่คุณซื้อได้
ไม่ใช่บอกว่า ‘แป้งตัวนี้สีนี้ไม่มีแล้ว หาซื้อที่ไหนไม่ได้แล้ว' ไม่เคยยัดเยียดให้ซื้อของ
แต่ถามว่าทำไมคนซื้อตาม เพราะคนเห็นเราใช้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเราที่ไปโดนใจเขา เขาก็จะซื้อตาม ซึ่งนั่นเป็นวิจารณญาณของเขาเองมากกว่า”
อ่านเยอะ ข้อมูลทะลัก ทักษะเพียบ
โมเมบอกเสมอว่า ความรู้ และทักษะการแต่งหน้านั้นมิได้ร่ำเรียนมา แต่เป็นเพราะ “อ่านเยอะ”
“เราเก็บข้อมูลมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นิตยสาร คอลัมน์ความงาม ตั้งแต่ยังไม่มีสื่ออินเตอร์เน็ตแพร่หลาย ก่อนหน้านี้เราก็อ่านมาตลอด สิ่งที่เรารู้หลายๆ อย่างไม่ได้เกิดจากการที่เราแค่เปิดผ่านแล้วดูรูป มันเกิดจากการอ่านและสะสมข้อมูล มันเหมือนการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เราก็รู้ว่าอ๋อ โอเค ถ้าผิวเราเป็นลักษณะอย่างนี้ แปลว่า ชั้นเป็นคนผิวมันซินะ แล้วชั้นต้องใช้อะไร เพื่อทำอะไร
เราก็ไม่ได้รู้มากถึงขั้น รู้ในเรื่องทั่วๆ ไปที่เราจะสามารถดูแลตัวเองได้ แล้วเราก็ลองผิดลองถูก เคยแต่งหน้าพลาดมาก่อน เคยแต่งหน้าแล้วเหมือนโดนต่อยมาก่อน หรือทำไงก็ไม่หายตาบวม มันก็เป็นการลองผิดลองถูก
เรายอมรับเลยนะ ว่าเราไม่ค่อยมีโอกาสอ่านบล็อกที่เป็นภาษาไทยเท่าไหร่ อย่างแรกที่หาเลย คือ นิตยสาร เพราะมันง่าย มันใกล้ และอย่างที่บอก ตอนแรกๆ เทคโนโลยีทางอินเตอร์เน็ตมันยังไม่ได้ขนาดนั้น แล้วเราไม่ใช่คนที่เข้าพันทิพย์ เอาง่ายๆ ไม่ค่อยมีเวลาในการอ่านบล็อก และคอมเม้นท์ดีกว่า แต่นิตยสารมันเป็นสิ่งที่สามารถพกไปไหนก็ได้
หนังสือแรกๆ ที่ซื้อของ Kevyn Aucoin เสียชีวิตแล้ว เขาเป็นเมคอัพอาร์ตติสที่แต่งให้ดาราเยอะๆ และออกหนังสือชื่อ Making Faces of Mind เขามีไลน์เครื่องสำอางของตัวเองที่ยังขายอยู่ทุกวันนี้ และอีกคนที่มีอิทธิพลการแต่งหน้าของโมเมอีกคนคือ บ๊อบบี้ บราวน์ เพราะว่าเขาก็เริ่มจากการทดลองเล่นกับข้าวของของตัวเอง ก่อนที่จะมี makeup brand เป็นของตัวเอง และมีโอกาสไปเจอมาเมื่อปีที่แล้ว ได้คุยด้วยแป๊บนึง เรายิ่งรู้สึกเออนะเราถึงชอบเขา วิธีใช้ชีวิต วิธีเขียนหนังสือ
นอกเหนือจากนั้น ถ้าจะเป็นงานแฟนซีๆ หน่อย ก็จะเป็น Pat McGrath เขาเคยทำงานกับ MAC โมเมไม่แน่ใจตำแหน่งของเขา เป็นเหมือน creative director ให้กับ MAC อยู่พักนึง คนนี้จะแต่งหน้ามาทางสนุกสนาน แฟนซี แฟชั่นจ๋าๆ
Scott Barnes มีแบรนด์ของตัวเองเหมือนกัน แต่ค่อนข้างเล็กหน่อย ออกหนังสือเหมือนกัน คนนี้เก่งเรื่อง contour เปลี่ยนรูปหน้า ไฮไลท์
คือ เราชอบดู มันเหมือนการเรียนหนังสือ เหมือนทีวีแชมเปี้ยน เราชอบอะไร เราขวนขวาย ไม่ใช่ว่าพอเป็นโมเมพาเพลิน คนรู้จักแล้ว ก็นั่งสวยๆ แต่ซ้ำๆ เดิมๆ ถามว่าบางทีบางอย่างก็ไม่มีอะไรมากกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ เพราะรูปหน้าแต่ละคน อย่างโมเม มีวิธีแต่งหน้าของมัน วิธีคัดเบ้าของโมเมที่ชั้นรู้ว่าชั้นทำชั้นสวยแน่ล่ะ ซึ่งหลายคนบอกวิธีเดิมอีกแล้วแค่เปลี่ยนสี เอ้า แต่งแบบนี้แล้วรอด
นึกออกไหม บางทีการแต่งหน้ามันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่า ถ้าหน้าเราเพอร์เฟ็คมาก ทำอะไรก็สวย อย่างนั้นก็ดีไป แต่หน้าเรามันไม่ใช่ไง เราไม่ได้เกิดมาเพอร์เฟ็คอย่างนั้น เราอาจต้องมีวิธีการบางวิธีเฉพาะที่อาจต้องใช้ซ้ำๆ แต่ใช้แล้วเวิร์คอ่ะ เราก็แนะนำให้ทุกคนไปหาวิธีของตัวเองนะ ไปหาวิธีที่เป็น signature ของยู ที่ยูทำแล้วสบายใจ แฮปปี้
ก็เป็นลักษณะนั้นมากกว่า แต่ก็ยังอ่านเยอะ ดูเยอะ เหมือนเดิม ไม่ได้ว่าน้อยลง just เพราะว่าเป็นพาเพลิน”
จับลุคดาราแล้วเปรี้ยง!
“รายการมาบูมเนื่องจากว่าเราเริ่มแต่งหน้าตามดารา ในมุมมองของตัวเราเองคิดว่าจุดเปลี่ยนเลยเนี้ย มาจากการที่สาวไทยเรา อยากสวยเหมือนดารา content เริ่มเปลี่ยน เราเป็นคนพูดจาตรงๆ อยู่แล้ว แล้วเราไม่ได้มองว่า เรื่องบิวตี้เป็นเรื่องที่จะต้องมาแอ๊บสวย ว่าปัดสีนี้ซิคะ แล้วมันจะสวยนะ คือ ชีวิตมันเร็วกว่านั้น ทุกคนต้องการความจริง ไม่ได้ต้องการแบบว่า มโนภาพเอาว่าสวย
จุดแรกเลยที่เราบอกว่าเราต่าง คือ เราเปลือยหน้าให้ดู คนเห็นหน้าเราเต็มมาตลอดอยู่แล้วตั้งแต่แรก คนไม่ค่อยเห็นเราเปลือยหน้า อยู่ดีๆ เราจะมาเปลือยหน้าใส่กล้องทำไม เพราะเราไม่ใช่คนที่สุขภาพผิวดีที่สุดในโลก เรามีปัญหาผิวเหมือนผู้หญิงทั่วไป เรารู้สึกว่าการที่เราทำจริงในขณะนั้น คนเห็นความจริงใจว่า นี่เราปัญหาเหมือนกันเลย ฉันก็มี ฉันก็เป็นสิวแบบนี้ เป็นกระแบบนี้ ชั้นจะทำอย่างไรดี เค้าเห็นว่ามันสามารถทำได้จริง ไม่ได้เห็นภาพที่สำเร็จแล้ว แต่ไม่สามารถทำตามได้ ฉะนั้นมันเลยเป็นจุดที่ โห หน้าสด ทำไมหน้าสดอ่ะ
จากนั้นเราก็เปลี่ยนให้ดูว่า เราสามารถทำได้จริง แล้วมันไม่ได้เกินเอื้อมสำหรับคนอื่น ทำตามได้
นอกเหนือจากนั้น พอคนเริ่มรู้สึกตรงนี้ แต่งตามดาราที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น ละครหรืออะไรที่ออกมาในช่วงนั้น เริ่มมีคนดูแล้ว request ว่าขอลุคพี่ชมพู่เรยา, พี่พลอย หวานหวาน ในละคร 'ระบำดวงดาว', พี่อั้ม, ญาญ่า เราก็สนุกดี แต่งให้ บางทีถึงขั้นต้องถามเจ้าตัวเองเลยว่า ตกลงทำอะไรบ้างถึงแต่งได้แบบนี้ โชคดีว่า พอเรามี connection เราถาม ซึ่งก็เลยทำให้มันไปโดนใจคนที่อยากจะสวยในลักษณะนี้ ที่มีไอดอล อยากจะสวยเหมือนไอดอลของตัวเอง เขาก็เลยหันมาดู”
เม้าท์แรง โมเมมั่ว จับแปรงยังไม่เป็นเลย แต่งหน้าไม่เห็นจะเก่ง!
“มันจะมีวิจารณ์ในทางไม่ดีเสียงแว่วๆ มามากกว่า แต่ไม่เคยเจอกับตัว มันเป็นมาตั้งแต่สมัยร้องเพลงแล้วนะ การทำอาชีพในวงการบันเทิงมาก่อนหน้านี้ทำให้แข็งแรง ทำให้เรารู้สึกว่า คือ ก่อนหน้านี้คนพูดมาตลอดว่า เราเป็นนักร้องเพราะแม่ เพราะพี่ เรียนร้องเพลงหรือเปล่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ กับทุกวงการ เป็นเรื่องปกติ
แต่ครอบครัวเราสอนให้เราแข็งแรง และรู้ว่าถ้าเรารู้ในสิ่งทีเราทำแล้วเรารู้สึกว่า เราไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน และเราขยันในสิ่งที่เราอยากทำ เราหาข้อมูลนะ เราพยายามทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นก็เชื่อไป แล้วทำ
คนเกลียดมีอยู่แล้ว ไม่มีใครชอบให้ใครเด่นมาก ดังมาก มันจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่า มันไม่โอเค มันไม่ใช่กับทุกอาชีพ แต่เราอยู่ในที่แจ้งเท่านั้นเอง ฉะนั้นจิตใจมันแข็งแรงมาตั้งแต่สมัยร้องเพลงแล้ว ว่า
เราไม่ได้มองข้ามคอมเม้นท์นะ บางอย่างโอเค เราอาจจะเกินไปจริงๆ อาจจะทำไม่เป็นจริงๆ เราก็กลับไปย้อนดูมันแล้วปรับปรุงซิ ทำไมจะไปนั่งเครียดกับมัน ระทมทุกข์ทำไม คนไม่ชอบ
โอเคบางทีอาจจะมีบ้าง ว่าทำไมต้องพูดแรงขนาดนั้น หรือบางทีทำไมไม่รู้จักเราเลย ทำไมด่วนตัดสินใจ แต่มันก็ทำให้คิดได้ว่า คนที่ทุกข์และเครียดคือเค้านะ ไม่ใช่เรา
ถ้าเราเอามาใส่ใจ ถ้าเราเอามาเครียดตลอดเวลา เราทำงานไม่ได้เลยนะ แล้วเราจะยอมแบบไม่ทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่ทำในสิ่งทีเรารัก และเป็นประโยชน์ต่อไปเพียงเพราะว่า เราถูกคอมเม้นท์เหรอ มันก็ไม่ใช่ไง ไม่งั้นมันก็ไม่ไปไหนกันสักที ก็อยู่ในที่เดิมๆ
คุณนั่งอยู่หลังคีย์บอร์ดจะทำอะไรก็ได้ไง ไม่มีใครเห็นหน้านี่ เราก็ไม่ได้ว่า ว่าคนที่ทำเหล่านั้นไม่ดี เขาอาจจะมีอะไรในใจที่เค้าอยากจะพูดแต่เขาไม่มีพื้นที่ให้พูด ถ้านี่คือพื้นที่ของคุณ ทำแล้วสบายใจ คุณทำเลย
แต่เราบอกตรงๆ ว่า เราไม่ค่อยอ่าน เพราะเราไม่มีเวลา แค่ที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบันนี้มันก็เยอะมากแล้ว 16-17 ชั่วโมงในวันหนึ่งแล้ว มันพอแล้ว บางทีเราก็อยากจะอยู่เงียบๆ ของเราบ้าง โดยไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์"
โมเมลั่น! ไม่ทับทางช่าง แค่สอนให้แต่งหน้าตัวเองเป็น
“หูย หนูแต่งคนอื่นไม่เป็นเลยจริงๆ นะ ให้มานั่ง แล้วบอกว่า หมวยมาก แก้ไขให้หน่อย เออ จะทำยังไงนะ ทำยังไงเนี้ย ในชีวิตนี้ก็ตาสองชั้นมาตั้งแต่แรก ก็แค่บอกว่า โอเค เคยเห็นช่างติดสติ๊กเกอร์กลายเป็นตาสองชั้น แล้วก็แต่งตาทับลงไป พี่คิดว่าน่าจะได้ แนะนำส่งต่อไปอีก เออ ไปดูพี่ช่างคนนี้เค้าทำนะ เค้ามีคลิป ดังนั้น ดังนี้
แต่เราก็จะบอกตลอดว่า ทุกคนที่ถ้าดูโมเมพาเพลินจริงๆ จะรู้ เราจะพูดตลอดว่า เราไม่ใช่ช่าง เราไม่เคยอยากจะทับทางช่าง และไม่เคยบอกว่า ชั้นเป็นเมกอัพอาร์ททิสมือหนึ่ง
โมเมพาเพลินคือ การที่อยากจะให้สาวๆ ทุกคนสวยได้ทุกวันด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ ทำตามได้จริง ไม่ได้สอนให้ไปเป็นช่างแต่งหน้า เปล่าเลย ถ้าอยากเรียนจริงๆ เราแนะนำให้ไปเรียนที่นั่น ที่นี่ นั่นเป็นสถาบัน ดูพี่เอาไว้สนุกๆ ประกอบกับสิ่งที่เรียนมา เพราะบางทีก็เหมือนการว่า สิ่งที่คนอื่นทำให้เรากับเราทำให้ตัวเองนั้นมันก็ไม่เหมือนกัน ทำไมจะต้องรอโอกาสพิเศษถึงจะสวย ทำไมสวยทุกวันไม่ได้ ไม่เคยมองว่า อุ้ย ชั้นเลิศกว่าช่าง บ้า!
คนดูพาเพลินจริงๆ จะรู้ว่า เราไม่แต่งหน้าคนอื่น อย่างน้อยคือ ไม่ใช่ตอนนี้ เรารู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม และเรายังไม่เก่งพอ ยังไม่มีความสามารถไปรับผิดชอบชีวิตใครได้ว่า เขาต้องสวยที่สุดในวันนี้ แต่เราบอกได้ว่าใช้สิ่งนี้สิ ประมาณนี้ หรือแนะนำให้ไปเจอคนที่เป็น expert จริงๆ
สำหรับช่างแต่งหน้าในเมืองไทย เราชอบดูทุกคน สมัยแรกๆ ที่ออกอัลบั้มแต่งหน้ากับพี่ต้อ ชลภาคย์ ทุกอัลบั้ม พี่ต้อเป็นคนแต่ง, ป้ามล-กมล ฉัตรเสน, พี่เป็ด-อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์ หรือช่างแต่งหน้ารุ่นใหม่ พี่ป็อก, พี่ป้อม”
เมกอัพทำชีวิตดีขึ้น คนสวยมักได้โอกาส
"ส่วนหลายคนอาจมองว่าเรื่องความงามเป็นเรื่องฉาบฉวยหรือเปล่า มาสอนให้ผู้หญิงฉาบฉวย อาจจะแบบสวยอย่างเดียวหรือเปล่า และไม่มีอะไรเลยหรือเปล่า เราบอกมันไม่ใช่
ที่เราบอกให้สวย เพราะเราไม่รู้ว่าโอกาสในชีวิต หรือคนอื่นมองเราด้วยอะไร เราบอกอยู่แล้วว่า เด็กพาเพลิน เราอยากให้สวย ฉลาด สมาร์ท อดทน อย่าสวยแล้วไม่มีอะไร เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนสวยดาษดื่นมีเยอะ แต่ ณ จุดที่คุณจะได้งานไม่ได้งาน ได้โอกาสหรือไม่ได้โอกาสนั้น มันอยู่ที่กึ๋น มันไม่ได้อยู่ที่สวยอย่างเดียว
แต่แน่นอน ดูคนสวยแล้วมันชื่นใจกว่าก่อนล่ะ สมมุติว่าคุณต้องไปทำงานที่ใช้หน้าตาเป็นหลัก เป็นหน้าตาขององค์กรหรืออะไรก็แล้วแต่ คุณจะบอกว่าชั้นไม่สนใจ ชั้นมีกึ๋น ชั้นจะเปลือยหน้าไปทำงาน มันก็ไม่ใช่ คุณจะไม่ได้โอกาสที่คุณควรจะได้
มีหลายคนนั่งอ่านอยู่ อาจมองว่าเรื่องนี้มันงี่เง่ามาก มันเรื่องฟุ้งเฟ้อ มันต้องมีอยู่แล้ว แต่เราจะบอกจากมุมมองของเราล่ะกันว่า มาจากไหน ทำไมถึงต้องแต่งหน้า ทำไมต้องทำผม เราอยากให้คนที่ไม่เคยดูพาเพลินและตัดสินไปล่วงหน้าแล้วว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุด เสียเวลาที่สุด เปลืองที่สุด มอมเมาผู้หญิง ลองไปดูสักตอน แล้วค่อยตัดสินใจ”
ค่ะ อ่านคำพูดล้วนๆ แล้ว เห็นถึงความมุ่งมั่น และเชื่อมั่น ที่ทำให้เธอยืนหยัดอยู่ในแวดวงความงามได้ถึงทุกวันนี้ นับวันยิ่งมีคนตามเธอทางโชเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้นด้วยซ้ำ เธอไม่แคร์กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แรงๆ เพราะ...
“เราไม่ใช่ช่าง เราไม่เคยอยากจะทับทางช่าง และไม่เคยบอกว่า ชั้นเป็นเมกอัพอาร์ททิสมือหนึ่ง”
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
เบื้องหน้าสวยหรูได้รับคำชื่นชมล้นหลาม แต่บางคนบางกระแสกลับสับบล็อกเกอร์ความงามคนดัง โมเม ซะเละ!
“อย่าโกรธนะ ถ้าเราจะบอกว่าโมเมยังแต่งหน้าไม่เป็นเลย คือ ไม่ได้รู้จริงๆ อย่างที่พยายามพรีเซนต์ตัวเองอ่ะ สิ่งที่โมเมพูด สามารถหาอ่านได้จากแม็กกาซีนหรือเวปทั่วๆ ไปไม่ได้เกิดจากประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญจริงๆ” ตัวอย่างความคิดเห็นวิจารณ์เธอเชิงลบ
โมเม-นภัสสรณ์ บูรณศิริ กูรูผู้ให้ความรู้ด้านการแต่งหน้าในรายการ “โมเมพาเพลิน” จนโด่งดังบนโลกโซเซียลเน็ตเวิร์ก นอกจากเธอจะได้รับการชื่นชม มีแฟนคลับมากมายติดตามเธอในทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊กมากมาย แต่บางเสียงกลับกระแนะกระแหนโขกสับเธอซะเละเทะ
ด้วยความที่นางดูแรง กล้าพูด สอดแทรกภาษาอังกฤษตลอดเวลา แถมสำเนียงเป๊ะ! ทักษะการพูดเป็นเลิศสามารถพูดเจื้อยแจ้วคนเดียวได้อย่างสนุกสนาน
“จริงๆ แล้ว เราทำงานพิธีกร งานดีเจ มาก่อนนานมาก ที่พูดได้เจื้อยแจ้วจ้อยๆ skill ของการเป็นดีเจและการทำพิธีกร เราอยู่กับรายการสดมา 8-9 ปี สดทุกวันมีปัญหาให้แก้ทุกวัน
ภาษาที่เราพูดมันไม่ใช่ภาษาแบบประดิษฐ์ แอ๊บให้สวย ส่วนหนึ่งคนดูอาจจะดูเพราะสนุก ฟังแล้วเปิดทิ้งไว้ได้ อาจจะฟังเราเม้าท์ไปเรื่อยๆ เพราะเราแต่งไปเม้าท์ไป เดี่ยวนี้ผู้ชายเริ่มเข้าใจ อาจไม่ฟังเรื่องแต่งหน้า แต่ฟังเราเม้าท์ อีนี่ตลกดี” โมเมเผยสาเหตุที่นางพูดเก่ง แถมสนุก เข้าใจง่าย บวกไม่แอ๊บ
ทว่านางรีวิวแต่งหน้าเยอะขนาดนี้ หาประเด็น ไอเดียมาจากไหนกันนะ และกับกระแสเม้าท์แรง โมเมมั่ว แต่งหน้าไม่เห็นจะเก่ง จากนี้ นางมีคำตอบ!
ไอเดียตีบตัน หมดมุกแต่งหน้า!?
“นอกจากจะคิดเองแล้วประเด็นแต่งหน้ามักจะถูก request ด้วย ผู้หญิงสาวไทยอยากได้การแต่งหน้าทุกสถานการณ์ บางครั้งเค้าจะคิดสถานการณ์มาให้-พี่คะ หนูอยากแต่งหน้าแบบนี้ เช่น แต่งหน้าออกเดท และเจอแฟนเก่า เพราะอาจจะมีทรัพย์สินต้องเคลียร์ แต่สภาพหน้าเราไม่ไหว โทรม ควรแต่งหน้ายังไง จริงๆ มาจากสถานการณ์รอบข้าง การสนทนากันกับเพื่อน เราดูเยอะ อ่านเยอะด้วย จึงมีไอเดียตลอด
แต่บางทีไอเดียก็ตันนะ แต่งไปหมดแล้ว แต่บางทีก็ปิ๊งขึ้นมา บางอย่างทำไปแล้วแต่งไปแล้ว แต่พอมีผลิตภัณฑ์ใหม่นวัตกรรมดีขึ้น ก็ทำได้อีก สองปีผ่านไป อาจเจอวิธีที่ดีกว่าในการทำ ก็ทำอีก ผลิตภัณฑ์ความงามมีนวัตกรรมตลอดเวลา บางอันก็จริง บางอันก็ไม่จริง แต่งหน้าเหมือนไม่แต่งหน้า ผลิตภัณฑ์นี้แต่งแล้วเหมือนธรรมชาติมากขึ้น ก็ทำใหม่อัพเดทได้
ลักษณะการทำงานในเรื่องของการรีวิวสินค้ามันเป็นที่รู้กันในวงการความงามว่า ถ้าโมเมใช้แล้วไม่ชอบจะขอไม่พูดถึงเลย คือ ไม่รับถือๆ แล้วรับตังค์
ด้วยรายการมันไม่ใช่สคริปต์ เป็นรายการที่เรานึกอยากจะพูดอะไรก็พูด เพราะฉะนั้นพอมันไม่จริงปั้บ มันจะดูแล้วรู้ มันจะชัดมากเพราะคนดูพาเพลินจะรู้ว่า พอมาเป็นสคริปต์จ๋าๆ คนจะรู้สึกได้ทันทีว่ามันไม่จริง และเราอยากอยู่ยาวๆ มากกว่า เราไม่อยากรับตังค์และบอกว่าดี เราได้มาฟรี แต่เค้าเสียเงินไง
skincare ส่วนใหญ่จะไม่พยายามรีวิว เพราะผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันค่อนข้างจะลำบากในการบอกนิดนึง ส่วนใหญ่ถ้าจะรีวิวสกินแคร์เรามักจะเป็น scientific facts ของสินค้าชิ้นนั้นมากกว่าจะใช้แล้วหน้าใส ต้องมีการทดลอง ครีมอุ้มน้ำได้ดีกว่า ทางสินค้าเค้าต้องก็ทดลองให้เราดู ถ้าเราเห็นว่า resource มันจริง แล้วเราใช้แล้วรู้สึกว่าโอเคนะ มันน่าสนับสนุนอยู่ เราก็ทำการทดลองนี้ให้คนที่บ้านดูเพื่อให้ตัดสินใจเอาเองว่ามันเหมาะกับสภาพผิวเราเองไหม
แต่เมกอัพจะง่ายตรงที่ว่าผลิตภัณฑ์แต่งหน้า พอทาเป็นสีปั้บดีไม่ดีมันเห็นในกล้องว่าดีหรือไม่ เนื้อสีดีมั้ย คุณภาพโอเคหรือเปล่า ลักษณะ texture เป็นอย่างไร เพราะตอนนี้เราก็ HD กันแล้วเนอะ มันก็จะชัดมาก”
บอกต่อสินค้าดี ขอข้ามของแย่ ไม่อยากมาเร็ว เคลมเร็ว
“หากใช้ไปใช้มาถ้าเกิดอาการแพ้ เราก็จะบอกเลยว่าใช้แล้วแพ้ แต่ไม่เอ่ยสินค้า ใช้ก่อนคุยกันเองก่อน พอทดลองแล้วไม่ชอบนะ ตัวนี้ขออนุญาต ไม่พูด ไม่ถือ ไม่เชียร์ ไม่พูดถึง ข้ามไป
เราก็ไม่อยากให้คนเชื่อไปซะหมดว่าชั้นบอกว่ามันแย่ก็คิดว่าแย่ ของบางอย่างบางยี่ห้อก็ดี มันไม่มีเครื่องสำอางยี่ห้อไหน หรือสกินแคร์ยี่ห้อไหนที่ดีไปเสียทุกอย่าง มันต้องมีของดี และของที่ไม่เวิร์กบ้าง บางอย่างเคลมซะเกินจริงมาก เหรอ! ทำได้เหรอ ใช้แล้วไม่เห็นผล เราก็จะคุยกันเองก่อน ถ้าเกิดชอบอย่างไร ชอบตรงไหน บางทีไม่ได้ชอบกันตรงกับสิ่งที่เค้าเคลมมาด้วย แต่ชอบที่เค้าสามารถทำอย่างอื่นได้ในมุมของเรา
เราก็จะขอเลือกพูดในสิ่งที่เรารู้สึกกับ product นั้นจริงๆ สบายใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะมาเร็วไปเร็ว มาแว้บไปแว้บ คนก็จะเชื่อสักพักแล้วก็จะไม่เชื่อแล้ว เพราะว่าเอาไปใช้ตามแล้วไม่เห็นจะดีเลย แต่เรารวยนะ เรารับตังค์ แต่มันก็ทำให้อายุงานในการที่จะทำตรงนี้มันสั้นลงซึ่งเราไม่อยากให้เป็นอย่างนี้
ไม่มีผลิตภัณฑ์ไหนมาบังคับค่ะ ถ้ายุ่งมากๆ ก็บอกไม่ต้องยุ่งกัน คือ ไม่ชอบ ก็ไม่ใช้ จบ เจ้าของรายการเยอะ เพราะงั้นอย่ามาเยอะกว่า
ส่วนผลิตภัณฑ์ราคาแพง-ถูกนั้น เราจะใช้ผสมกัน ถ้าบางอย่างเป็นของแพงที่มีตัวตายตัวแทนได้ เราจะบอกเลยว่าถ้าทำสิ่งนี้ไม่ได้ ไปทำสิ่งนั้น แต่ถ้าไหว อยากซื้อสิ่งนี้ก็ซื้อ กำลังทรัพย์แล้วแต่ บอกเสมอว่า ดูเอาเป็นแนวทาง มันมีสีในระดับที่คุณซื้อได้
ไม่ใช่บอกว่า ‘แป้งตัวนี้สีนี้ไม่มีแล้ว หาซื้อที่ไหนไม่ได้แล้ว' ไม่เคยยัดเยียดให้ซื้อของ
แต่ถามว่าทำไมคนซื้อตาม เพราะคนเห็นเราใช้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเราที่ไปโดนใจเขา เขาก็จะซื้อตาม ซึ่งนั่นเป็นวิจารณญาณของเขาเองมากกว่า”
อ่านเยอะ ข้อมูลทะลัก ทักษะเพียบ
โมเมบอกเสมอว่า ความรู้ และทักษะการแต่งหน้านั้นมิได้ร่ำเรียนมา แต่เป็นเพราะ “อ่านเยอะ”
“เราเก็บข้อมูลมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นิตยสาร คอลัมน์ความงาม ตั้งแต่ยังไม่มีสื่ออินเตอร์เน็ตแพร่หลาย ก่อนหน้านี้เราก็อ่านมาตลอด สิ่งที่เรารู้หลายๆ อย่างไม่ได้เกิดจากการที่เราแค่เปิดผ่านแล้วดูรูป มันเกิดจากการอ่านและสะสมข้อมูล มันเหมือนการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เราก็รู้ว่าอ๋อ โอเค ถ้าผิวเราเป็นลักษณะอย่างนี้ แปลว่า ชั้นเป็นคนผิวมันซินะ แล้วชั้นต้องใช้อะไร เพื่อทำอะไร
เราก็ไม่ได้รู้มากถึงขั้น รู้ในเรื่องทั่วๆ ไปที่เราจะสามารถดูแลตัวเองได้ แล้วเราก็ลองผิดลองถูก เคยแต่งหน้าพลาดมาก่อน เคยแต่งหน้าแล้วเหมือนโดนต่อยมาก่อน หรือทำไงก็ไม่หายตาบวม มันก็เป็นการลองผิดลองถูก
เรายอมรับเลยนะ ว่าเราไม่ค่อยมีโอกาสอ่านบล็อกที่เป็นภาษาไทยเท่าไหร่ อย่างแรกที่หาเลย คือ นิตยสาร เพราะมันง่าย มันใกล้ และอย่างที่บอก ตอนแรกๆ เทคโนโลยีทางอินเตอร์เน็ตมันยังไม่ได้ขนาดนั้น แล้วเราไม่ใช่คนที่เข้าพันทิพย์ เอาง่ายๆ ไม่ค่อยมีเวลาในการอ่านบล็อก และคอมเม้นท์ดีกว่า แต่นิตยสารมันเป็นสิ่งที่สามารถพกไปไหนก็ได้
หนังสือแรกๆ ที่ซื้อของ Kevyn Aucoin เสียชีวิตแล้ว เขาเป็นเมคอัพอาร์ตติสที่แต่งให้ดาราเยอะๆ และออกหนังสือชื่อ Making Faces of Mind เขามีไลน์เครื่องสำอางของตัวเองที่ยังขายอยู่ทุกวันนี้ และอีกคนที่มีอิทธิพลการแต่งหน้าของโมเมอีกคนคือ บ๊อบบี้ บราวน์ เพราะว่าเขาก็เริ่มจากการทดลองเล่นกับข้าวของของตัวเอง ก่อนที่จะมี makeup brand เป็นของตัวเอง และมีโอกาสไปเจอมาเมื่อปีที่แล้ว ได้คุยด้วยแป๊บนึง เรายิ่งรู้สึกเออนะเราถึงชอบเขา วิธีใช้ชีวิต วิธีเขียนหนังสือ
นอกเหนือจากนั้น ถ้าจะเป็นงานแฟนซีๆ หน่อย ก็จะเป็น Pat McGrath เขาเคยทำงานกับ MAC โมเมไม่แน่ใจตำแหน่งของเขา เป็นเหมือน creative director ให้กับ MAC อยู่พักนึง คนนี้จะแต่งหน้ามาทางสนุกสนาน แฟนซี แฟชั่นจ๋าๆ
Scott Barnes มีแบรนด์ของตัวเองเหมือนกัน แต่ค่อนข้างเล็กหน่อย ออกหนังสือเหมือนกัน คนนี้เก่งเรื่อง contour เปลี่ยนรูปหน้า ไฮไลท์
คือ เราชอบดู มันเหมือนการเรียนหนังสือ เหมือนทีวีแชมเปี้ยน เราชอบอะไร เราขวนขวาย ไม่ใช่ว่าพอเป็นโมเมพาเพลิน คนรู้จักแล้ว ก็นั่งสวยๆ แต่ซ้ำๆ เดิมๆ ถามว่าบางทีบางอย่างก็ไม่มีอะไรมากกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ เพราะรูปหน้าแต่ละคน อย่างโมเม มีวิธีแต่งหน้าของมัน วิธีคัดเบ้าของโมเมที่ชั้นรู้ว่าชั้นทำชั้นสวยแน่ล่ะ ซึ่งหลายคนบอกวิธีเดิมอีกแล้วแค่เปลี่ยนสี เอ้า แต่งแบบนี้แล้วรอด
นึกออกไหม บางทีการแต่งหน้ามันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่า ถ้าหน้าเราเพอร์เฟ็คมาก ทำอะไรก็สวย อย่างนั้นก็ดีไป แต่หน้าเรามันไม่ใช่ไง เราไม่ได้เกิดมาเพอร์เฟ็คอย่างนั้น เราอาจต้องมีวิธีการบางวิธีเฉพาะที่อาจต้องใช้ซ้ำๆ แต่ใช้แล้วเวิร์คอ่ะ เราก็แนะนำให้ทุกคนไปหาวิธีของตัวเองนะ ไปหาวิธีที่เป็น signature ของยู ที่ยูทำแล้วสบายใจ แฮปปี้
ก็เป็นลักษณะนั้นมากกว่า แต่ก็ยังอ่านเยอะ ดูเยอะ เหมือนเดิม ไม่ได้ว่าน้อยลง just เพราะว่าเป็นพาเพลิน”
จับลุคดาราแล้วเปรี้ยง!
“รายการมาบูมเนื่องจากว่าเราเริ่มแต่งหน้าตามดารา ในมุมมองของตัวเราเองคิดว่าจุดเปลี่ยนเลยเนี้ย มาจากการที่สาวไทยเรา อยากสวยเหมือนดารา content เริ่มเปลี่ยน เราเป็นคนพูดจาตรงๆ อยู่แล้ว แล้วเราไม่ได้มองว่า เรื่องบิวตี้เป็นเรื่องที่จะต้องมาแอ๊บสวย ว่าปัดสีนี้ซิคะ แล้วมันจะสวยนะ คือ ชีวิตมันเร็วกว่านั้น ทุกคนต้องการความจริง ไม่ได้ต้องการแบบว่า มโนภาพเอาว่าสวย
จุดแรกเลยที่เราบอกว่าเราต่าง คือ เราเปลือยหน้าให้ดู คนเห็นหน้าเราเต็มมาตลอดอยู่แล้วตั้งแต่แรก คนไม่ค่อยเห็นเราเปลือยหน้า อยู่ดีๆ เราจะมาเปลือยหน้าใส่กล้องทำไม เพราะเราไม่ใช่คนที่สุขภาพผิวดีที่สุดในโลก เรามีปัญหาผิวเหมือนผู้หญิงทั่วไป เรารู้สึกว่าการที่เราทำจริงในขณะนั้น คนเห็นความจริงใจว่า นี่เราปัญหาเหมือนกันเลย ฉันก็มี ฉันก็เป็นสิวแบบนี้ เป็นกระแบบนี้ ชั้นจะทำอย่างไรดี เค้าเห็นว่ามันสามารถทำได้จริง ไม่ได้เห็นภาพที่สำเร็จแล้ว แต่ไม่สามารถทำตามได้ ฉะนั้นมันเลยเป็นจุดที่ โห หน้าสด ทำไมหน้าสดอ่ะ
จากนั้นเราก็เปลี่ยนให้ดูว่า เราสามารถทำได้จริง แล้วมันไม่ได้เกินเอื้อมสำหรับคนอื่น ทำตามได้
นอกเหนือจากนั้น พอคนเริ่มรู้สึกตรงนี้ แต่งตามดาราที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น ละครหรืออะไรที่ออกมาในช่วงนั้น เริ่มมีคนดูแล้ว request ว่าขอลุคพี่ชมพู่เรยา, พี่พลอย หวานหวาน ในละคร 'ระบำดวงดาว', พี่อั้ม, ญาญ่า เราก็สนุกดี แต่งให้ บางทีถึงขั้นต้องถามเจ้าตัวเองเลยว่า ตกลงทำอะไรบ้างถึงแต่งได้แบบนี้ โชคดีว่า พอเรามี connection เราถาม ซึ่งก็เลยทำให้มันไปโดนใจคนที่อยากจะสวยในลักษณะนี้ ที่มีไอดอล อยากจะสวยเหมือนไอดอลของตัวเอง เขาก็เลยหันมาดู”
เม้าท์แรง โมเมมั่ว จับแปรงยังไม่เป็นเลย แต่งหน้าไม่เห็นจะเก่ง!
“มันจะมีวิจารณ์ในทางไม่ดีเสียงแว่วๆ มามากกว่า แต่ไม่เคยเจอกับตัว มันเป็นมาตั้งแต่สมัยร้องเพลงแล้วนะ การทำอาชีพในวงการบันเทิงมาก่อนหน้านี้ทำให้แข็งแรง ทำให้เรารู้สึกว่า คือ ก่อนหน้านี้คนพูดมาตลอดว่า เราเป็นนักร้องเพราะแม่ เพราะพี่ เรียนร้องเพลงหรือเปล่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ กับทุกวงการ เป็นเรื่องปกติ
แต่ครอบครัวเราสอนให้เราแข็งแรง และรู้ว่าถ้าเรารู้ในสิ่งทีเราทำแล้วเรารู้สึกว่า เราไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน และเราขยันในสิ่งที่เราอยากทำ เราหาข้อมูลนะ เราพยายามทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นก็เชื่อไป แล้วทำ
คนเกลียดมีอยู่แล้ว ไม่มีใครชอบให้ใครเด่นมาก ดังมาก มันจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่า มันไม่โอเค มันไม่ใช่กับทุกอาชีพ แต่เราอยู่ในที่แจ้งเท่านั้นเอง ฉะนั้นจิตใจมันแข็งแรงมาตั้งแต่สมัยร้องเพลงแล้ว ว่า
เราไม่ได้มองข้ามคอมเม้นท์นะ บางอย่างโอเค เราอาจจะเกินไปจริงๆ อาจจะทำไม่เป็นจริงๆ เราก็กลับไปย้อนดูมันแล้วปรับปรุงซิ ทำไมจะไปนั่งเครียดกับมัน ระทมทุกข์ทำไม คนไม่ชอบ
โอเคบางทีอาจจะมีบ้าง ว่าทำไมต้องพูดแรงขนาดนั้น หรือบางทีทำไมไม่รู้จักเราเลย ทำไมด่วนตัดสินใจ แต่มันก็ทำให้คิดได้ว่า คนที่ทุกข์และเครียดคือเค้านะ ไม่ใช่เรา
ถ้าเราเอามาใส่ใจ ถ้าเราเอามาเครียดตลอดเวลา เราทำงานไม่ได้เลยนะ แล้วเราจะยอมแบบไม่ทำในสิ่งที่เราชอบ ไม่ทำในสิ่งทีเรารัก และเป็นประโยชน์ต่อไปเพียงเพราะว่า เราถูกคอมเม้นท์เหรอ มันก็ไม่ใช่ไง ไม่งั้นมันก็ไม่ไปไหนกันสักที ก็อยู่ในที่เดิมๆ
คุณนั่งอยู่หลังคีย์บอร์ดจะทำอะไรก็ได้ไง ไม่มีใครเห็นหน้านี่ เราก็ไม่ได้ว่า ว่าคนที่ทำเหล่านั้นไม่ดี เขาอาจจะมีอะไรในใจที่เค้าอยากจะพูดแต่เขาไม่มีพื้นที่ให้พูด ถ้านี่คือพื้นที่ของคุณ ทำแล้วสบายใจ คุณทำเลย
แต่เราบอกตรงๆ ว่า เราไม่ค่อยอ่าน เพราะเราไม่มีเวลา แค่ที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบันนี้มันก็เยอะมากแล้ว 16-17 ชั่วโมงในวันหนึ่งแล้ว มันพอแล้ว บางทีเราก็อยากจะอยู่เงียบๆ ของเราบ้าง โดยไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์"
โมเมลั่น! ไม่ทับทางช่าง แค่สอนให้แต่งหน้าตัวเองเป็น
“หูย หนูแต่งคนอื่นไม่เป็นเลยจริงๆ นะ ให้มานั่ง แล้วบอกว่า หมวยมาก แก้ไขให้หน่อย เออ จะทำยังไงนะ ทำยังไงเนี้ย ในชีวิตนี้ก็ตาสองชั้นมาตั้งแต่แรก ก็แค่บอกว่า โอเค เคยเห็นช่างติดสติ๊กเกอร์กลายเป็นตาสองชั้น แล้วก็แต่งตาทับลงไป พี่คิดว่าน่าจะได้ แนะนำส่งต่อไปอีก เออ ไปดูพี่ช่างคนนี้เค้าทำนะ เค้ามีคลิป ดังนั้น ดังนี้
แต่เราก็จะบอกตลอดว่า ทุกคนที่ถ้าดูโมเมพาเพลินจริงๆ จะรู้ เราจะพูดตลอดว่า เราไม่ใช่ช่าง เราไม่เคยอยากจะทับทางช่าง และไม่เคยบอกว่า ชั้นเป็นเมกอัพอาร์ททิสมือหนึ่ง
โมเมพาเพลินคือ การที่อยากจะให้สาวๆ ทุกคนสวยได้ทุกวันด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ ทำตามได้จริง ไม่ได้สอนให้ไปเป็นช่างแต่งหน้า เปล่าเลย ถ้าอยากเรียนจริงๆ เราแนะนำให้ไปเรียนที่นั่น ที่นี่ นั่นเป็นสถาบัน ดูพี่เอาไว้สนุกๆ ประกอบกับสิ่งที่เรียนมา เพราะบางทีก็เหมือนการว่า สิ่งที่คนอื่นทำให้เรากับเราทำให้ตัวเองนั้นมันก็ไม่เหมือนกัน ทำไมจะต้องรอโอกาสพิเศษถึงจะสวย ทำไมสวยทุกวันไม่ได้ ไม่เคยมองว่า อุ้ย ชั้นเลิศกว่าช่าง บ้า!
คนดูพาเพลินจริงๆ จะรู้ว่า เราไม่แต่งหน้าคนอื่น อย่างน้อยคือ ไม่ใช่ตอนนี้ เรารู้สึกว่าเรายังไม่พร้อม และเรายังไม่เก่งพอ ยังไม่มีความสามารถไปรับผิดชอบชีวิตใครได้ว่า เขาต้องสวยที่สุดในวันนี้ แต่เราบอกได้ว่าใช้สิ่งนี้สิ ประมาณนี้ หรือแนะนำให้ไปเจอคนที่เป็น expert จริงๆ
สำหรับช่างแต่งหน้าในเมืองไทย เราชอบดูทุกคน สมัยแรกๆ ที่ออกอัลบั้มแต่งหน้ากับพี่ต้อ ชลภาคย์ ทุกอัลบั้ม พี่ต้อเป็นคนแต่ง, ป้ามล-กมล ฉัตรเสน, พี่เป็ด-อภิชาติ นรเศรษฐาภรณ์ หรือช่างแต่งหน้ารุ่นใหม่ พี่ป็อก, พี่ป้อม”
เมกอัพทำชีวิตดีขึ้น คนสวยมักได้โอกาส
"ส่วนหลายคนอาจมองว่าเรื่องความงามเป็นเรื่องฉาบฉวยหรือเปล่า มาสอนให้ผู้หญิงฉาบฉวย อาจจะแบบสวยอย่างเดียวหรือเปล่า และไม่มีอะไรเลยหรือเปล่า เราบอกมันไม่ใช่
ที่เราบอกให้สวย เพราะเราไม่รู้ว่าโอกาสในชีวิต หรือคนอื่นมองเราด้วยอะไร เราบอกอยู่แล้วว่า เด็กพาเพลิน เราอยากให้สวย ฉลาด สมาร์ท อดทน อย่าสวยแล้วไม่มีอะไร เพราะว่าเดี๋ยวนี้คนสวยดาษดื่นมีเยอะ แต่ ณ จุดที่คุณจะได้งานไม่ได้งาน ได้โอกาสหรือไม่ได้โอกาสนั้น มันอยู่ที่กึ๋น มันไม่ได้อยู่ที่สวยอย่างเดียว
แต่แน่นอน ดูคนสวยแล้วมันชื่นใจกว่าก่อนล่ะ สมมุติว่าคุณต้องไปทำงานที่ใช้หน้าตาเป็นหลัก เป็นหน้าตาขององค์กรหรืออะไรก็แล้วแต่ คุณจะบอกว่าชั้นไม่สนใจ ชั้นมีกึ๋น ชั้นจะเปลือยหน้าไปทำงาน มันก็ไม่ใช่ คุณจะไม่ได้โอกาสที่คุณควรจะได้
มีหลายคนนั่งอ่านอยู่ อาจมองว่าเรื่องนี้มันงี่เง่ามาก มันเรื่องฟุ้งเฟ้อ มันต้องมีอยู่แล้ว แต่เราจะบอกจากมุมมองของเราล่ะกันว่า มาจากไหน ทำไมถึงต้องแต่งหน้า ทำไมต้องทำผม เราอยากให้คนที่ไม่เคยดูพาเพลินและตัดสินไปล่วงหน้าแล้วว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่าที่สุด เสียเวลาที่สุด เปลืองที่สุด มอมเมาผู้หญิง ลองไปดูสักตอน แล้วค่อยตัดสินใจ”
ค่ะ อ่านคำพูดล้วนๆ แล้ว เห็นถึงความมุ่งมั่น และเชื่อมั่น ที่ทำให้เธอยืนหยัดอยู่ในแวดวงความงามได้ถึงทุกวันนี้ นับวันยิ่งมีคนตามเธอทางโชเชียลเน็ตเวิร์กมากขึ้นด้วยซ้ำ เธอไม่แคร์กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แรงๆ เพราะ...
“เราไม่ใช่ช่าง เราไม่เคยอยากจะทับทางช่าง และไม่เคยบอกว่า ชั้นเป็นเมกอัพอาร์ททิสมือหนึ่ง”
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net