>>จากชีวิตที่ผ่านประสบการณ์มามากมาย มีทั้งดีและร้าย มีทั้งเคยเศร้าเสียใจหรือมีความทุกข์มากมาย แต่วันนี้เราได้พบกับ “คุณไหม-วิธวดี แพ่งสภา” ที่มาพร้อมลูกรักทั้งสอง “น้องเอม วรสุดา” และ “น้องนนท์-ดลวัฒน์ แพ่งสภา” ในภาพของรอยยิ้มที่แสนสดใสและมีแต่เสียงหัวเราะและการเย้าแหย่กันระหว่างแม่ลูกระหว่างการถ่ายทำและสัมภาษณ์ในครั้งนี้
สิ่งที่ทำให้ชีวิตในปัจจุบันนี้ของคุณไหมมีความสุขได้อย่างที่เห็น เธอยกให้กับธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเธอแทบจะเรียกได้ว่าพลิกฝ่ามือ
“ทุกวันไหมจะถือศีล 8 อย่างเคร่งครัดทุกวันพระ คือ ไม่แต่งหน้า ไม่ออกงาน ตอนกลางคืนก็จะนอนบนพื้น ส่วนในวันธรรมดาก็สวดมนต์ ทำสมาธิ ทำให้ชีวิตเราสงบ สบายใจ และมีความสุขขึ้น...
ที่จริงไหมเรียนรู้ธรรมะมาตั้งแต่เล็ก ที่บ้านพาเข้าวัดตลอด อย่างคุณยายนี่เรียกได้ว่าเป็นคนสร้างวัดแคนางเลิ้งเลย เด็กๆ เราเลยได้เข้าวัด ทำบุญ ซึมซับมามาก แต่พอโตขึ้นไปเรียนต่างประเทศ เข้าสู่แวดวงสังคม ใช้ชีวิตตามแนวคิดแบบตะวันตก ก็เลยเริ่มห่างจากธรรมะไป”
:: ทุกข์หนัก เส้นทางสู่ธรรมะ
เมื่อโตขึ้น ชีวิตที่ผ่านอะไรหลายอย่าง มีประสบการณ์ร้ายๆ มากระทบมากเข้า ทำให้วิธวดีหันมาหาธรรมะอีกครั้ง “เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นชีวิตมีความทุกข์หลายอย่าง โดยทุกข์หนักที่สุดคือ คุณแม่ป่วย ท่านเป็นมะเร็ง ซึ่งไหมรักและสนิทกับแม่มาก เราทำใจไม่ได้ คิดแต่ว่าแม่ต้องอยู่กับเรา และเราคงอยู่ไม่ได้แน่ถ้าไม่มีแม่ พยายามทำทุกอย่างที่จะยื้อเขาไว้ อย่างถ้าเห็นแม่ไม่ทำตามคุณหมอ หรือใครเอาอาหารไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่อาหารที่หมอสั่งให้ทาน ไหมจะโกรธมาก โกรธคนรอบข้างไปหมด แล้วเราก็ร้อนเอง ทุกข์เอง...
แล้วก็มีคนมาพูดให้เราคิดว่า ทุกอย่างมีเกิดก็ต้องมีดับ แม่ก็พยายามย้ำว่า ยังไงเขาก็ต้องจากเราไป ไม่วันนี้ก็วันหน้า เราต้องอยู่ให้ได้ด้วยตนเอง เราก็พยายามหาทางออก โดยเริ่มศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง คือแต่ก่อนเข้าวัด ทำบุญ แต่เราไม่ได้อิน ไม่ได้รู้สึกหรือเข้าใจมันจริงๆ ไหมเชื่อว่าคนเราจะหันหาธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นเพราะทุกข์ ไม่มีทางออก หาที่พึ่ง ถ้าตอนมีความสุขจะไม่ค่อยได้นึกถึงตรงนี้เท่าไร”
คุณแม่อยู่มาได้อีกถึง 4 ปี ท่านเพิ่งเสียไปเมื่อต้นปี เราก็เศร้ามาก แต่ก็สามารถทำใจได้ระดับหนึ่ง ไม่ถึงกับสติแตก ซึ่งก็เป็นเพราะได้เรียนรู้ธรรมะ ใช้เวลาหลายปีค่อยๆ ทำใจรับว่ายังไงแม่ก็ต้องจากเราไป เราแค่ทำหน้าที่ของลูกให้ดี ดูแลท่านให้สบายที่สุด ทั้งเรื่องสุขภาพกาย และสุขภาพใจ โดยตลอดเวลาคุณหมอที่รักษาแม่ซึ่งก็ศึกษาธรรมะเหมือนกัน ก็คอยช่วยพูดให้เราได้คิดว่า “เขาเองก็ช่วยคุณแม่เต็มที่ รักษาเต็มที่ แต่เมื่อมันถึงที่สุดเขาก็ต้องปล่อยไป เพราะคุณแม่อยู่ในร่างที่ผุพังแล้ว ก็เหมือนบ้านพังๆ คนอยู่อาศัยจะมีความสุขได้อย่างไร เมื่อท่านตาย ตามหลักพุทธศาสนา ท่านไม่ได้หายไปไหน แค่ย้ายไปอยู่ในอีกรูปหนึ่ง ย้ายไปอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าแม่เราทำดีคิดดีมาตลอด ต้องไปสู่ภพภูมิที่ดีแน่ๆ เราสบายใจได้”
:: สร้างสติ สู่ทางแห่งความสุข
คุณไหมย้อนให้ฟังถึงการเรียนรู้ธรรมะให้เราฟังว่า “เริ่มศึกษาจากหนังสือ มีคนชวนไปฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม แล้วเริ่มสวดมนต์ ทำสมาธิ เริ่มทำอาณาปานสติ เรียนรู้ที่จะมีสติอยู่กับตัว อย่าไปสนใจสิ่งรอบข้าง ซึ่งถ้าเกิดความโกรธขึ้น มันช่วยให้เราสงบได้ ดึงตัวเองออกจากอารมณ์โกรธได้ พอเริ่มได้ฝึกเยอะขึ้น เราก็เริ่มเข้าใจและทำได้ดีขึ้น จากแต่ก่อนสวดมนต์ได้มากสุดวันละ ½ ชั่วโมง ตอนนี้ไหมสวดมนต์ทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง แล้วก็ใส่บาตร กรวดน้ำทุกวัน การสวดมนต์ เจริญสติ มันทำให้ตัวเราเปลี่ยนไปเลยนะ ชีวิตดีขึ้นเยอะ ใจเย็นขึ้น มองโลกอย่างเข้าใจขึ้น
“การมีสติ มันทำให้เราได้หยุดคิด และคิดได้รอบคอบขึ้น ตามความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้ทัน ชีวิตก็มีความสุขขึ้น”
แต่ก่อนจะเป็นคนแรง แบบใครดีมาเราดีตอบ ใครร้ายมาเราร้ายตอบ ชีวิตมีแต่ถูกหรือผิด ไม่มีตรงกลาง
แต่ตอนนี้เราไม่ได้มองแบบนั้นแล้ว มองอะไรให้ลึกขึ้น แต่ก่อนอาจจะดูแค่การกระทำเขา มองว่าทำแบบนี้มันไม่ถูกนะ แต่ตอนนี้เริ่มมองให้รอบด้าน มองว่าทำไมเขาถึงทำ มันมีที่มาที่ไป เข้าใจการกระทำ เข้าใจคนมากขึ้น และไม่ว่าใครจะทำอะไรกับเรา ก็พยายามปล่อยว่าง คิดในแง่ดีว่าเขาคงมีเหตุผลที่ทำให้ทำลงไปในวันนั้น อย่าไปเอามาเป็นอารมณ์ อภัยให้เขา
อย่างมีคนขับรถปาดหน้า เราก็รู้สึกโกรธนะ เป็นธรรมดาคนเราก็ต้องมีอารมณ์ แต่ก่อนโกรธแล้วก็อารมณ์เสียไปหมด ตอนนี้โมโหหน่อย แต่ก็หยุดได้ คิดว่าเขาคงต้องรีบไป ไม่ได้ตั้งใจ แล้วเราก็จะรู้สึกสบายใจเอง”
:: มองชีวิตมุมใหม่ เพิ่มมิตรในสังคม
นอกจากในเรื่องของอารมณ์แล้ว ทัศนคติและมุมมองของชีวิตก็เปลี่ยนไป ปัจจุบันนี้ไม่ว่าใครเห็นหน้าเธอก็อดไม่ได้ที่จะทักถึงความผ่องใสและประกายแห่งความสุข “ทุกวันนี้ไหมมองทุกอย่างในแง่บวก อย่างแต่ก่อนจะมีไม่ชอบหน้าคนนั้นคนนี้ แต่ตอนนี้ไหมสามารถเดินเข้าไปยิ้ม ไปทักคนที่เราเคยไม่ชอบหน้าได้เลยนะ ซึ่งแต่ก่อนนี่ไม่มีทางเลย
ตอนนี้คนเหล่านั้นก็กลายมาเป็นมิตร แม้จะไม่สนิทแต่ก็พูดคุยกันได้ รู้สึกดีต่อกัน บางคนก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีไป มีเพื่อนมากขึ้น มีคนยิ้มกับเรามากขึ้น มีความสุขขึ้น จะไปไหน ทำอะไร เราก็ไม่ต้องไม่สบายใจว่าจะไปเจอคนที่เราเกลียด คนที่เราโกรธ คนที่เราไม่ชอบ การที่เราเกลียดโกรธใคร เราก็เป็นทุกข์เอง เป็นภาระในจิตใจเราเอง ตอนนี้เหมือนเราวางภาระตรงนั้นลงก็เบาขึ้น สบายขึ้น”
การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นที่ทำให้เธอได้พบเพื่อนใหม่ๆ ทำให้วิธวดีรู้ว่า มีหลายคนที่ไม่ชอบกิริยาของเธอในอดีต “พี่บางคนเขาบอกกับไหมเลยนะว่า ก่อนหน้านี้ เขาไม่ชอบหน้าเราเลย เพราะเดินเข้ามาในงานก็หน้าบึ้ง เวลาคุยก็เหมือนไม่อยากคุย ไม่ชอบใจก็ชักสีหน้า คิดว่าเรารวยเหรอ หยิ่งเหรอ ทำเหมือนไม่อยากมาแบบนี้ จะมาทำไม...
แต่ก่อนยอมรับว่าหน้าบึ้งจริง เวลาไปงาน เพราะบางทีรู้สึกไม่อยากไป ไปแล้วไม่มีความสุข เบื่อเจอคน และต้องไปพูดคุยกันเรื่องอะไรไม่รู้ ตอนนั้นเวลาไปงานก็เหมือนไปเพื่อเข้าสังคม ไปตามหน้าที่ และมองวงสังคมตรงนี้ในแง่ไม่ดี รู้สึกว่าทุกคนในงานไม่มีใครจริงใจกัน ใส่หน้ากากเข้าหากัน ถ้าลุกจากเก้าอี้เมื่อไหร่เราโดนนินทาแน่
แต่พอมาวันนี้ที่เราปรับปรุงชีวิตใหม่ ความคิดเราก็เปลี่ยนไป เข้าใจแล้วว่าทุกสังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี ในวงสังคมยังมีมิตรดีๆ อีกเยอะ ถ้ารู้จักคบหา อย่าไปตัดสินเหมารวมว่าทุกคนที่อยู่ในสังคมจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทุกวันนี้ไหมมีเพื่อนดีๆ เยอะมาก จากคนที่เราไม่เคยชอบหน้า พอเราเริ่มหยิบยื่นความเป็นมิตรให้ ยิ้มให้ หลายคนตอนนี้ดีกับเรามาก แนะนำสิ่งดีๆ ให้กัน อย่างตอนคุณแม่ป่วยก็เอานู่นนี่มาให้ ช่วยเหลือทุกอย่าง
ทุกวันนี้เราไปงานสังคมคนละอารมณ์กับแต่ก่อนเลย ตอนนี้ไปอย่างมีความสุข ได้เจอพี่ๆ เพื่อนๆ ได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด ได้สังสรรค์กัน แต่จะเห็นว่า ไหมไปงานน้อยลงมาก เพราะเราไม่ได้ไปทุกงาน จะเลือกไปงานที่เราอยากไป และอีกส่วนหนึ่งคือออกงานเพื่อลูกด้วย เพราะลูกเราอยู่ในวัยที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ เริ่มทำงาน เขายังต้องเจริญเติบโตในหน้าที่การงานข้างหน้า ซึ่งเรื่องตรงนี้มันก็จำเป็นเหมือนกันนะ คนเราต้องมีเพื่อน มีสังคม รู้จักคน ซึ่งเราก็ทำตรงส่วนนี้ให้เขา”
:: เลี้ยงเหมือนเพื่อน รักเหมือนแม่
พูดถึงลูกทั้งสอง คุณแม่ไหมที่ดูจะสนิทสนม พูดคุยกับลูกๆ ได้อย่างสนุกสนานเหมือนวัยเดียวกัน เล่าถึงการเลี้ยงลูกในแบบวิธวดีให้ฟังว่า
“ไหมเลี้ยงลูกแบบให้อิสระ เราคุยกันเหมือนเพื่อน ไหมจะเคารพสิทธิ์ของลูก อย่างน้องนนท์ เราส่งเขาไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่จบประถมศึกษา อายุ 11 ขวบ เราส่งเขาให้ไปเรียนรู้ชีวิต ไปคิดเอง ทำเอง ตัดสินใจเองแต่เด็กๆ ดังนั้นโตมาแล้วเราจะไปสั่งเขา บังคับนู่นนี่มันไม่ได้ แต่เราจะให้คำแนะนำเขาแทน อธิบายว่า ทำไม เพราะอะไร ถ้าทำจะป็นอย่างไร หรือถ้าไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น แล้วให้เขาไปคิด ไปตัดสินใจเอง เรียนรู้เป็นบทเรียนชีวิตไป เราก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆ”
แม้เธอจะให้อิสระลูกขนาดไหน แต่เธอไม่เคยลืมให้ความอบอุ่น ความรักเขาควบคู่กันไปด้วย ดังนั้นน้องทั้ง 2 คนที่ได้ความรักจากแม่เต็มเปี่ยม จึงรักแม่มากเช่นกัน “เวลาเขาทำอะไรเขาจะคิดถึงไหม ซึ่งตรงนี้มันทำให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนดี เพราะเขาจะไม่ทำอะไรให้เราเสียใจหรือเดือดร้อนใจ...
ตอนนี้ลูกๆ ทั้งสองทำให้ไหมมีความสุข น้องเอมเริ่มทำงานแล้ว ดูจะไปได้ดีด้วย ส่วนน้องนนท์เรียนจบปริญญาตรีแล้ว ยังดูอนาคตอยู่ ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งเดียวที่ไหมยังรู้สึกติดค้างอยู่ คืออยากให้เขากลับไปเรียนต่อปริญญาโท เป็นสิ่งเดียวที่เรายังห่วงอยู่ มันเหมือนหน้าที่ยังไม่เรียบร้อย เป็นหนังสือที่ยังแต่งไม่จบ
ตอนนี้ไหมถือว่าอยู่เพื่อลูก เมื่อไรที่น้องนนท์เขาเรียนจบโท ไหมก็เหมือนสำเร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว ไหมมองว่าจะเริ่มต้นธุรกิจให้ลูก เราช่วยประคับประคองในช่วงแรกให้ หลังจากนั้นไหมจะวางมือให้เขาบริหารต่อ แล้วไหมก็ถือว่าเป็นอิสระของไหมแล้ว จะไปท่องเที่ยว ไปทำกิจกรรมที่เราชอบ ไปปฏิบัติธรรม เดินทางไปอินเดียอย่างที่ตั้งใจไว้ ได้มีเวลาที่เป็นของไหมเองบ้าง
เพราะทั้งชีวิตนี้ไหมแทบไม่มีเวลาตามใจตัวเองเลย เราทุ่มให้ครอบครัวแบบเต็มร้อยมาตลอด อย่างไปเที่ยวต่างประเทศ เราชอบเดินชมพิพิธภัณฑ์ เดินเล่นในสวน ก็ไม่เคยได้ทำ ส่วนใหญ่มีแต่ไปชอปปิ้งอยู่ในเมืองใหญ่ หรือเราสนใจอะไร อยากเข้าร้านคลาสนั่นนี่ มันไม่สามารถไปขัดเวลาของครอบครัว ติดภาระหน้าที่ของความเป็นแม่ เป็นภรรยา ไหมทุ่มทุกอย่างให้ลูกและสามีทั้งหมดจริงๆ”
:: บทเรียนรักจากประสบการณ์ตรง
นอกจากเรื่องงานและเรื่องเรียนที่เธอเป็นห่วงบุตรทั้งสองแล้ว เรื่องคู่ชีวิตก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเธอได้นำบทเรียนความรักที่ผ่านมาถ่ายทอดแนะนำลูกๆ ต่อไปว่า
“จะมองใคร จะคบใคร ให้ดูนานๆ แล้วที่สำคัญที่สุดคืออย่าคิดหวังว่าเราจะเปลี่ยนใครได้ แต่คิดว่าเราจะเปลี่ยนเราเองไปหาคนนั้นได้ไหม เขาดีพอที่เราจะเปลี่ยนตัวเราเองหรือเปล่า ซึ่งการรักกัน การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันของคน 2 คน มันต้องปรับให้เข้ากันได้ โดยต้องไม่ฝืนตัวเองด้วย เพราะถ้าเราฝืน มันก็ทำได้ไม่นานหรอก คนเรามีธาตุแท้ของตัวเอง แต่ละคนต้องเป็นตัวของตัวเอง โดยที่แต่ละฝ่ายรับในกันและกันได้มันถึงไปรอด”
คุณไหมสอนว่า การมีชีวิตคู่ส่วนหนึ่งมันคือการให้อภัย โดยตัวเธอเองก็ให้อภัยมาตลอด “แต่ให้จำไว้ว่าคนเราจะให้อภัยไปทั้งชีวิตมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าให้อภัยแล้วอีกฝ่ายยังทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วเราจะให้อภัยไปจนถึงวันตายมันก็ไม่ใช่ คนเราก็ต้องมีขีดจำกัดเหมือนกัน การจะให้อภัยมันต้องมาพร้อมกับการถอยออกไปดูว่า หลังจากให้อภัยแล้วทำตัวดีขึ้นไหม ยังทำผิดแบบเดิมๆ อยู่หรือเปล่า สมควรที่จะยังให้อภัยหรือเปล่า ถ้ามันไม่ใช่เราก็ต้องถอยออกมา”
ส่วนคนที่จะมองหามาเป็นคู่ชีวิต เธอสอนว่าอย่ามองที่ลาภยศ เงินทอง แต่ให้มองว่ามาจากครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ เพียบพร้อมไหม เป็นประเด็นหลัก เพราะเธอเชื่อว่า ครอบครัวคือพื้นฐานของชีวิตคนเรา เป็นการหล่อหลอมตัวตน คนที่มาจากชีวิตที่บอบช้ำในครอบครัว มันส่งผลให้เขามีปัญหาได้
“เวลาพูดเรื่องพวกนี้ น้องเอมจะเข้าใจมากกว่า เพราะเขาเริ่มโตแล้ว เคยมีแฟนที่คบกัน 8-9 ปี ที่เลิกกันไป เขาผ่านอะไรมาพอสมควร ก็จะเข้าใจได้ แต่กับนนท์จะยังไม่ค่อยเท่าไร เขายังเด็ก คึกคะนอง เวลาอกหักก็จะเฮิร์ต เศร้าเสียใจ แต่สักพักก็กลับมาอารมณ์ดี เฮฮาปาร์ตี้ ชีวิตเขายังอยู่ในวัยสนุก คงต้องให้เขาโตอีกหน่อยแล้วเค้าจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น และเข้าใจสิ่งที่ไหมพยายามสอนมากขึ้น”
:: “วรสุดา” พีอาร์สาวหน้าใหม่
สำหรับลูกๆ ทั้ง 2 คน ตอนนี้น้องเอม วรสุดา กำลังสนุกสนานกับงานในสาย PR ด้วยการก้าวเข้าไปเป็นพนักงานน้องใหม่ไฟแรงของบริษัท Public Hit บริษัทประชาสัมพันธ์ชื่อดัง โดยเธอทุ่มเทให้กับงานแบบเต็มร้อย
“เริ่มทำงานกับน้าตุ๊ก (เพียงเพ็ญ พรายแสง) มาได้ประมาณ 7 เดือน ก็สนุกกับงานนะคะ แต่งานหนักมาก งานเลิก 6 โมง แต่กว่าจะทำงานเสร็จ ได้กลับบ้านก็มักจะ 2-3 ทุ่ม ถึงบ้านก็เหนื่อยแล้ว ไม่ได้ทำอะไร ชีวิตประมาณ 90% จะอยู่กับงาน พอเสาร์-อาทิตย์ เราก็เลยอยากพักเพราะเราเหนื่อย ไม่อยากออกไปไหน แต่พอวันหยุดคุณแม่เขาก็อยากมีเวลาแบบผู้หญิงๆ ด้วยกัน ไปชอปปิ้ง ทำเล็บ ทำผมกัน หรือมีเวลาไปกินข้าวนอกบ้านกัน พร้อมหน้ากับแม่และน้องชาย ซึ่งระหว่างสัปดาห์แต่ละคนก็มีภารกิจของตัวเอง พอวันหยุดก็อยากใช้เวลาด้วยกัน เราก็เข้าใจนะ แต่บางทีเราเหนื่อยมา 5 วันแล้วก็อยากจะพัก เลยทำให้บางทีก็ขัดๆ กันกับคุณแม่บ้าง”
จากแต่ก่อนที่เคยเป็นแต่แขกผู้ไปร่วมงาน มาวันนี้ต้องเป็นคนจัดงานเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของงานอีเวนต์ต่างๆ สาวเอมบอกว่าเธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย
“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานพีอาร์คืออะไรบ้าง เวลาไปงานมีคนมาขอชื่อเรายังไม่รู้เลยว่าเขาเอาไปทำอะไร พอได้มาเรียนรู้ตรงนี้ ได้เรียนรู้ระบบ ทั้งเขียนข่าว ส่งข่าว แปลงานต่างๆ ติดต่อคน ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองไปเยอะเลย เพราะงานนี้ต้องทำงานกับคนหลากหลายมาก ทั้งลูกค้า ทั้งสื่อ ผู้ร่วมงานมากมาย ทำให้เราจะทำอะไรเราคิดมากขึ้น รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวกับคนอื่นอย่างไร และบางครั้งเวลาเห็นกิริยาของบางคน มันก็ทำให้เราแอบคิดไม่ได้ว่าแต่ก่อนเราทำตัวแบบนั้นหรือเปล่านะ มันทำให้เรามองโลกมากขึ้น เอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น”
โดยก่อนหน้าที่จะมาตกหลุมเสน่ห์กับอาชีพนี้ สาวเอมเคยไปสมัครงานตามบริษัทต่างๆ เพื่อใช้ความรู้ทางด้านการตลาดแบบที่ร่ำเรียนมาในปริญญาโท แต่สาวดีกรีนักเรียนนอกคนนี้กลับต้องผิดหวังในการสมัครงาน “เคยสมัครไปหลายบริษัทนะ ซึ่งสอบผ่านข้อเขียน แล้วเขาก็เรียกสัมภาษณ์หลายรอบมาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร เวลาไปสัมภาษณ์งาน คำถามที่เจอตลอดคือ เขารู้จักเรา รู้จักแม่เรา แล้วก็ถามว่า จะทำงานไหวเหรอ ทำได้เหรอ งานหนักนะ ต้องไปขนของ ดูแลคนนั้นคนนี้ เราจะไม่วีน ไม่เหวี่ยงเหรอ...
มันทำให้เราเริ่มรู้ว่าคนอื่นเขามองเราเป็นไง ตัดสินเราจากภาพลักษณ์ยังไง เหมือนสิ่งที่เขาเห็นว่าเราอยู่ในสังคม มันกลายมาเป็นจุดด้อยของเรา มันทำให้เรารู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าคนอื่น ทำให้คนรู้ว่าที่จริงเราเป็นคนลุยขนาดไหน เป็นคนทำงานได้นะ ไม่เหมือนที่เขาเข้าใจ ทำให้รู้ว่าที่เขาตัดสินใจจากภาพลักษณ์เรานั้น มันผิด”
:: “ดลวัฒน์” กำลังค้นหาตัวตน
ส่วนน้องนนท์ ชายหนุ่มคนเดียวในการสัมภาษณ์วันนี้ มีดีกรีเป็นถึงนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 2 แห่งสถาบันอิมพีเรียล คอลเลจ จากประเทศอังกฤษ ที่ตอนนี้กำลังเล็งหางานด้านการเงิน การลงทุน “นนท์รู้ว่าคุณแม่อยากให้นนท์ไปเรียนต่อปริญญาโทให้จบก่อน ค่อยกลับมาทำงานเมืองไทย แต่นนท์อยากจะหาประสบการณ์ทำงานก่อนสักหน่อย ก่อนไปเรียนต่อด้านการบริหารธุรกิจ ก็เลยมีเถียงๆ กันเรื่องนี้อยู่ เขากลัวว่าเราทำงานติดลมแล้วจะไม่กลับไปเรียน...
นนท์อยากทำหลายอย่าง เรื่องหุ้นก็สนใจ อสังหาริมทรัพย์ก็สนใจ โดยมองว่า ยังไงโตไปก็ต้องทำธุรกิจอะไรสักอย่างแน่ แต่ตอนนี้เป็นช่วงค้นหาตัวเองก่อน ว่าเราจะไปทางไหน หรือจะทำอะไรดี”
หนุ่มคนนี้แม้จะไปเติบโตอยู่อังกฤษกว่าครึ่งค่อนชีวิต แต่ก็สนิทสนมกับครอบครัวเป็นอย่างดี เพราะแม้จะเรียนที่นั่นเป็น 10 ปี แต่ทุกปีก็กลับบ้านบ่อยมาก เรียกได้ว่าทุกวันหยุดยาว หรือปิดเทอมก็จะบินกลับมาอยู่เมืองไทยตลอด
“สนิทกับแม่และพี่เอมนะ แต่นนท์ก็แอบมีโลกส่วนตัวสูงเหมือนกัน อย่ามายุ่งอะไรกับเราเยอะ เราจะไม่ชอบ แต่ก่อนก็มีทะเลาะกับแม่บ้าง เพราะต่างคนต่างใจร้อน แล้วก็แรงทั้งคู่ แต่ตอนนี้หลังจากได้บวชเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เรานิ่งขึ้น สงบขึ้น อย่างแต่ก่อนจะชอบออกไปเฮฮาปาร์ตี้ กินเที่ยว ดื่มแบบวัยรุ่นทั่วไป แต่ตอนนี้ก็อยู่บ้านมากขึ้น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นกีตาร์ ทำกิจกรรมที่เราชอบอยู่ในบ้าน แล้วก็ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ตอนนี้ก็ถือว่าชีวิตมีความสุขดีนะ จะมีเครียดก็นิดเดียว คือเรื่องหางาน ที่ตอนนี้ยังไม่ลงตัวซะที”
น้องนนท์อาจจะเครียด แต่รู้สึกคุณแม่ไหมน่าจะไม่นะคะ เพราะอาจมีข้ออ้างโน้มน้าวใจให้ลูกชายคนนี้ไปเรียนต่อได้ไวขึ้น … สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณแม่กับคุณลูกจะตกลงกันอย่างไร จะมีนักศึกษาปริญญาโทคนใหม่ หรือสังคมไทยจะได้พนักงานหนุ่มการเงินหน้ามนมาเพิ่มอีกราย... :: Text by Flash
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net