ได้ชื่อเป็นนักธุรกิจหนุ่มหมื่นล้าน ณัฐ-ณัฐพล จุฬางกูร ที่ต่อยอดธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอะหลั่ยรถยนต์ของครอบครัวไปจนถึงการสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง จนปัจจุบันอาณาจักรหมื่นล้านของเขาประกอบไปด้วย บริษัท ซัมมิท คอร์ปอเรชั่น และผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติ เบิร์คลีย์, สนามกอล์ฟซัมมิท วินด์มิลล์กอล์ฟคลับ, สนามกอล์ฟซัมมิท กรีนวัลเล่ย์ เชียงใหม่คันทรี คลับ, ซัมมิทวินด์มิลล์กอล์ฟเรสซิเดนซ์ และเจ้าของนิตยสารซัมมิท ออนกรีน
แม้ณัฐในวัย 37 ปี ต้องดูแลรับผิดชอบธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท แต่เขาก็เหมือนคนหนุ่มทั่วไปที่มีไลฟ์สไตล์ย่ามว่าจะใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มใช้เวลาในการพักผ่อน เล่นกีฬา และอีกซอกมุมหนึ่งในความคิดของคนหนุ่มอย่างเขาที่ขาดไม่ได้และกลายมาเป็นอุนิสัยประจำตัวของเขาคือ การทางทำบุญทั้งที่วัด และมูลนิธิต่างๆ
ณัฐเปิดฉากเล่าถึงการเส้นทางการทำบุญของเขาว่า ผู้ที่จุดประกายสร้างสะพานบุญส่งต่อมาให้แก่เขาคือพ่อและแม่ที่ชอบทำบุญโดยจะพาเขาและพี่น้องทั้ง 6 คนเดินสายทำบุญ มีครั้งหนึ่งไปสร้าง โรงเรียนจุฬางกูรวิทยา ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และยกที่ดินสร้างวิทยาเขตให้กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่จังหวัดสุรินทร์ “ที่พ่อกับแม่ไปสร้างโรงเรียนมในแถบอีสานเพราะแม่เป็นคนสุรินทร์ก็เลยชวนพ่อไปสร้างโรงเรียนให้เด็กที่นั่น ซึ่งเราเห็นภาพแล้วมีความสุข”
ด้วยความที่ถูกปลูกฝังเรื่องการทำบุญมาตั้งแต่เด็ก เมื่อก้าวขึ้นบริหารซัมมิทกรุ๊ป เขาจึงคิดโครงการ “เติมน้ำใจให้ชีวิตกับซัมมิท คอร์ปอเรชั่น” ขึ้นเพื่อช่วยเหลือให้โอกาสผู้ยากไร้ รวมทั้งเชิดชูคนดีอยู่แล้วให้มีกำลัง โดยกิจกรรมนี้จะตระเวนไปตามสถานที่และสถานสงเคราะห์ต่างๆ ทุกสัปดาห์ โดยกิจกรรมใช้เวลาเพียง 1 นาทีนำไปถ่ายผ่านรายการ “วันนี้ที่รอคอย” ช่อง 9 ที่เป็นสื่อกลางส่งผ่านไปถคงคนที่เดือดร้อนหรือต้องการความช่วยเหลือ
ณัฐยังบอกอีกว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องการคืนกำไรสู่สังคม เพราะสังคมให้อะไรกับเขามามากแล้วซึ่งการทำบุญไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่หลายคนบอกไม่มีเวลา เขาคิดว่าเป็นข้ออ้าง
“ผมว่าการทำบุญไม่ได้จำกัดแค่การเข้าวัด แต่เราสามารถทำบุญได้ทุกที่ ทุกเวลา เพียงแต่ว่าเราจะให้ความสำคัญกับการทำบุญแค่ไหน กิจกรรมที่ไปทำตลอดคือทำบุญ เช้าเข้าวัด ให้ทาน ไปถวายสังฆทาน อย่างแม่ชีนฤมล ที่ต้องเดินทางไปเช้าเย็นกลับเพื่ออ่านหนังสืออัดเทปให้เด็กตาบอดฟังพอเรารู้ เราเห็นผมก็อยากช่วยเพราะแม่ชีก็แก่แล้ว อีกอย่างการเดินทางลำบากเราพอช่วยได้ในเรื่องเงินก็มอบให้แม่ชีเป็นกำลังใจ แล้ววันว่างผมก็จะไปอ่านหนังสือช่วยท่าน”
โดยส่วนตัวณัฐชอบทำบุญกับเด็กๆที่เจ็บป่วยในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ มหาราชินี โรงพยาบาลเด็กที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของร่างกาย
“เตียงสายสัมพันธ์แม่ลูก” เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ ณัฐ ทำให้เด็ก โดยเขารู้สึกดีใจและภูมิใจ หลังจากได้พบน้องปีโป้ (ด.ช.สุทธิศักดิ์ ขาวจันทร์) ซึ่งป่วยเป็นโรคแพ้นมวัวมีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐาน กินอะไรไม่ได้นอกจากน้ำนมข้าว เมื่อน้องอาการทรุดลงก็รู้สึกแย่ และที่โรงพยาบาลก็เห็นเด็กป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งเยอะมาก ณัฐบอกได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เพราะเจ็บป่วย ขณะที่พ่อแม่จะมาเฝ้าดูแลลูกก็ไม่ได้เพราะเตียงเด็กจะเป็นเตียงเล็กมีลูกกรงสูงๆ
แม่ลูกสัมผัสกันไม่ได้ แม่บางคนอยากอยู่เฝ้าลูกที่ป่วยในระยะสุดท้ายก็ไม่มีที่นอนต้องลงไปนอนใต้เตียง เขาเลยถามโรงพยาบาลว่ามีอะไรที่จะช่วยได้บ้าง พอดีโรงพยาบาลมีโครงการเตียงสายสัมพันธ์แม่ลูกซึ่งเป็นเตียงไฟฟ้าใหญ่พอให้แม่ขึ้นไปนอนกอดลูกได้ ตกแต่งด้วยรูปสัตว์น่ารัก เขาจึงเข้าร่วมโครงการ
“ผมคิดว่าเวลาสั้นๆก่อนลมหายใจสุดท้ายของเด็กน้อยจะหมดไป เขาควรได้มีความสุขบ้าง พ่อแม่ก็ต้องอยากกอดลูก ผมเลยร่วมโครงการบริจาคไป 7 เตียง และพิธีกรรายการวันนี้ที่รอคอย คุณพิ้งค์ (ชมพูนุช โรจน์ชลาสิทธิ์) ก็มาร่วมบริจาคด้วย จากนั้นคุณพิ้งค์ก็ช่วยประชาสัมพันธ์อีกแรงหนึ่ง กลับไปตอนนี้เรามีเตียงเพิ่มขึ้นเป็น 115 เตียงแล้ว ผมเห็นเด็กที่ป่วยมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วย สิ่งที่ประทับใจ คือได้แม่นอนกอดลูกที่ป่วย” ณัฐกล่าว
สำหรับโครงการล่าสุดที่อยู่ระหว่างดำเนินการคือ ได้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการหาทุนสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา โดยอาคารหลังนี้จำนวน 1,600 ล้านบาท
หลายครั้งหลายคราที่มีเสียงกระทบกระแทกว่าการทำบุญของ "ณัฐ" เป็นการสร้างภาพให้ดูสวยหรูนั้น เขาบอกว่า ไม่สนใจ เพราะนับตั้งเล็กพ่อและแม่ปลูกฝังเรื่องการทำบุญมาตลอด เมื่อเรียนจบมาเป็นนักธุรกิจก็ได้พบเห็นเรื่องราวต่างๆมากมาย
หากคุณค่าของการแบ่งปันความสุขให้กันและกัน การช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าในสังคม เป็นการสร้างภาพเขาก็พร้อมและเต็มใจที่จะทำ