xs
xsm
sm
md
lg

เพลงชีวิตที่ลิขิตเอง ของ แอน-เรวดี วุฒิพฤกษ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทุกครั้งที่แอน-เรวดี วุฒิพฤกษ์ มองไปยังเปียโนตัวโปรดทำให้เธอมีกำลังใจและเกิดพลังที่จะต่อสู้กับชีวิตในฐานะซิงเกิลมัม เพราะเปียโนทำให้เธอได้ค้นพบตัวเองเจอในเวลาที่เกือบจะสายเกินไป..

เรวดี วุฒิพฤกษ์ ศิลปินและนักเปียโนหญิงผู้ซึ่งแสดงผลงานของตัวเองร่วมกับศิลปินชายอีกสามคนในนิทรรศการชื่อ intuition The 4 in Art ที่โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เธออาจจะไม่ใช่ศิลปินใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่บทเรียนของชีวิตที่ผ่านมาคงจะเป็นอุทาหรณ์สำหรับอีกหลาย ๆ คนที่กำลังสิ้นหวังในชีวิต

แอน-เรวดี เป็นพี่สาวคนโตในจำนวนพี่น้องทั้งหมดสามคน ของนายแพทย์วิสุทธิ์ วุฒิพฤกษ์ หลังจบคณะครุศาสตร์ สาขาดนตรีสากลวิชาเอกเปียโน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ่อสนับสนุนให้ไปเรียนต่อเมืองนอก ด้วยสาเหตุที่ชอบโมซาร์ตอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วแอนจึงเลือกไปเรียนเปียโนต่อที่เมืองซาลเบิร์ก ประเทศออสเตรีย กับ นักเปียนโนระดับแนวหน้าคนหนึ่งของประเทศออสเตรีย ชื่อศาสตราจารย์เคิร์น จอร์ช( Prof. Kern George of Mozartteum)

การเรียนการสอนแบบเข้มข้น คุณครูไม่ดุ แต่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาซ้อมเปียนโนวันละไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมง ตรงนั้นทำให้แอนมีวินัยและทักษะการเล่นเปียนโนดนตรีเพิ่มขึ้น และด้วยความที่เป็นนักเรียนไทยเพียงคนเดียวที่นั่น ดังนั้น ทุกเย็นเธอจะใช้เวลาหมดไปกับการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ และเข้าร้านเครื่องเขียนซื้อกระดาษและสีมาหัดเขียนภาพ ทำให้เธอได้วิชาเขียนภาพติดตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นของแถม

เส้นทางชีวิตของแอน น่าจะสุขสบาย เพราะได้เดินตามทางในสิ่งที่รักแล้ว แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับเธอ เมื่อกลับมาเมืองไทยและได้แต่งงานกับคนที่เธอเลือก พร้อมกับหาเลี้ยงชีพด้วยการเขียนภาพขายในเชิงพาณิชย์คือเพื่อใช้ตกแต่งคอนโดฯ แต่ก็มาเมื่อเกิดฟองสบู่แตก ภาพเขียนที่ช่วยจุนเจือฐานะของครอบครัวกลับขายไม่ได้เลย สภาพครอบครัวที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วจึงทรุดหนักกว่าเดิม
 

“การมีชีวิตครอบครัว เป็นสิ่งที่เราไม่คิดและไม่มีภาพอยู่ในหัวมาก่อนเลยว่าจะเป็นอย่างไร จนได้แต่งงานทำให้รู้ว่าเป็นชีวิตอีกด้านหนึ่งซึ่งคิดไม่ถึง การที่ต้องมาใช้ชีวิตกับคนคนหนึ่งที่เรารัก แต่มันไม่เป็นไปอย่างที่คิด กลายเป็นว่าเราถูกคนคนหนึ่งมาควบคุมชีวิต ทำให้รู้สึกว่าตัวฉันอยู่ที่ไหน รู้สึกว่าตัวเองแย่มากแต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ครอบครัวของเราฟัง จนถึงวันหนึ่งเมื่อลูกโตจะเข้าโรงเรียน จำเป็นต้องใช้เงิน เงินเก็บเริ่มร่อยหรอเลยเดินก็ดูของรอบๆบ้าน ตอนนั้นแอนคิดแต่เพียงว่าจะเลือกเอาของในบ้านที่มีอยู่ไปขายเพื่อนำเงินมาให้ลูก สามีบอกว่า"เปียนโนไงเธอไม่ได้เล่นแล้วไม่ใช่เหรอ ขายไปเถอะ" แอนย้อนถึงจุดวิกฤตในชีวิต

คือเปียโนหลังเก่าที่พ่อซื้อให้ตอนสมัยเรียนจุฬาฯ เธอจึงไปลูบคลำเปียโนสุดรักตัวนี้อย่างยากที่จะตัดใจ พร้อมกับพรมนิ้วไปตามคีย์ระบายความรู้สึกออกมาเป็นเสียงดนตรี

“เชื่อมั้ยว่าเล่นแล้วมันหยุดไม่ได้ 9 ชั่วโมงที่เล่นนั่งเล่นอยู่อย่างนั้น เล่นให้สมกับที่เราไม่เคยได้เล่นมานาน นั่งเล่นจนพ่อเห็น พ่อเลยตะโกนบอกว่าสอนเปียโนสิ เลยตัดสินใจไม่ขายแล้ว มานั่งวางแผนเริ่มสอน ช่วงแรกมีนักเรียนเพียง 3 คน จากนั้นก็เริ่มมีมาเรื่อย ๆ จุดนี้เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นเหมือนมานั่งนับชีวิตใหม่เลยทีเดียว"

แอนเล่าอีกว่า เธอกลับมาเล่นเปียนโนอีกครั้งควบคู่กับการเขียนรูปเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา ตั้งแต่นั้นมาเลยตั้งเป้าในใจไว้ว่าจะเล่นเปียโนให้ได้ดั่งที่ใจนึก และจะบินเยี่ยมอาจารย์เพื่อจะไปออดิชั่นให้อาจารย์ที่เคยสอนดู

“ช่วงนั้นแอนสอนเปียโนไปพร้อมกับเขียนภาพขาย ไม่รู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน แอนมุ่งมั่นและอดทนจนสามารถพาลูกชายบินไปหาอาจารย์และเก็บเกี่ยวประสบการณ์รอบสองที่สหรัฐอเมริกาได้ ในที่สุดการใช้ชีวิตอยู่กับลูกเพียงลำพังที่อเมริกา ทำให้รู้สึกว่าการอยู่คนเดียวเป็นสิ่งที่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกลับเมืองไทยจึงตัดสินใจบอกกับสามีว่าขอชีวิตของชั้นคืนเถอะนะ เขาก็โอเค" แอนเล่าพร้อมรอยยิ้ม

และเมื่อแอนกลับมาอยู่บ้าน เป็นซิงเกิ้ลมัมเต็มตัวก็ตั้งหน้าทำงานเป็นทั้งครูสอนเปียโน และได้วาดรูปแนวอิมเพรสชั่นนิสอย่างที่ตัวเองชอบ จนสามารถจัดนิทรรศการงานตัวเองได้ถึง 3 ครั้งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือสามารถเก็บเงินซื้อ “แกรนด์คอนเสิร์ตเปียโน” ตัวงามราคากว่า 7 ล้านบาท ที่ใฝ่ฝันมานานได้สำเร็จในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ

“แอนเคยคิดว่ามันไกลเกินเอื้อมสำหรับตัวเองมาก แต่เมื่อถึงจุดนี้แล้วมันหยุดไม่ได้ หลายคนคงคิดว่าบ้า ซื้อเปียโนตัวละ 7 ล้านบาท แต่เมื่อเค้าได้มาอยู่กับเราแล้วเราอบอุ่น เป็นเหมือนเทพบุตรในชีวิตของเราเลยทีเดียว ทุกคืนก็ใช้ชีวิตอยู่กับเขาวนเวียนอยู่แบบนี้"

หลังฝนตกท้องฟ้าจะสว่างสดใสเสมอบางครั้งบางทีอาจจะได้พบว่า…วันที่แย่ๆก็เป็นวันที่สวยงามสำหรับเราได้เช่นเดียวกันเพราะว่าในความทุกข์นั้นจะทำให้เราให้ได้หยุด ทำให้เราได้ทบทวนกับเส้นทางและความสำคัญของชีวิต และวันนั้นจะเป็นวันที่ย้ำเตือนให้เราจดจำและเป็นศรัทธาและเป็นพลังขับเคลื่อนตัวเราให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีจุดหมายนั่นเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น