ก่อนจะเข้าสู่เรื่องรสชาติของอาหารขออธิบายคำว่า Chef's Table หน่อย ความหมายของ Chef's Table นั้นถ้าแปลตรงตัวคือโต๊ะที่อยู่ในครัวของร้านอาหาร แต่นัยที่ซ่อนอยู่บนโต๊ะอาหารของเชฟนั้นคือการแสดงความสามารถของเชฟในการปรุงอาหารมื้อพิเศษสำหรับแขกพิเศษในห้องส่วนตัว ซึ่งลูกค้าจะได้เห็นกรรมวิธีในการปรุงเมนูแต่ละจานซึ่งจะเสิร์ฟให้กินทันที สามารถพูดคุยใกล้ชิดกับเชฟได้ตลอดเวลา เรียกได้ว่าอาหารมื้อพิเศษนั้นจะได้ทั้งรสชาติ ความรู้เรื่องอาหารและความสนุกสนานไปพร้อม ๆ กัน
ปกติเชฟดัง ๆ ของเมืองนอกมักจะมีลูกค้าแห่จอง Chef's Table กันเยอะ แต่สำหรับอาหารไทยนั้นเท่าที่เคยชิมกันมายังไม่เคยมีใครทำเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนอย่างที่ เชฟวิชิต มุกุระ แห่งห้องอาหารไทยศาลาริมน้ำกำลังริเริ่มทำในขณะนี้
เชฟวิชิตบอกที่มาของไอเดียนี้ว่าตลอดเวลาที่ทำอาหารไทยให้คนต่างชาติได้ลิ้มลองมา 20 กว่าปีนั้น ตอนนี้อยากจะสร้างมิติใหม่ ๆ เพื่อยกวงการอาหารไทยขึ้นไปอีกระดับหนึ่งบ้าง จึงคิดว่าการทำ Chef's Table นั้นจะสามารถให้ความรู้เรื่องของอาหารไทยไปพร้อม ๆ กับการแสดงการทำอาหารให้แขกทั้งคนไทยและต่างชาติได้รับรู้เรื่องราวของอาหารผ่านสัมผัสทั้งห้า
แต่อย่างไรก็ตามเชฟวิชิตยังยืนยันว่าอาหารที่ทำนั้นยังคงเป็นอาหารรสชาติเดิม ๆ มีความละเมียดในการทำแต่พรีเซนต์ด้วยสไตล์อินเตอร์ ไม่ใช่ในรูปแบบฟิวชั่นเหมือนที่อื่น ๆ
ใครที่อยากจะลิ้มลองมื้อพิเศษนี้จะต้องสั่งจองล่วงหน้าก่อนหนึ่งวันเพื่อที่เชฟจะได้ตระเตรียมความพิเศษไว้ให้ เริ่มตั้งแต่เชฟวิชิตจะต้องไปจ่ายตลาดเองในตอนเช้าเพื่อดูว่าในวันนั้นที่ตลาดสดมีวัตถุดิบใหม่สดอะไรที่น่าสนใจบ้าง หลังจากนั้นจึงคิดเมนูทั้งหมดที่ต้องใช้วัตถุดิบที่ซื้อมาในวันนั้น ดังนั้นเมนูแต่ละครั้งจึงแตกต่างกันไป
แขกที่เลือก Chef's Table จะได้รับการต้อนรับด้วย “ค็อกเทลต้มยำ” เครื่องดื่มเย็น ๆ ที่มีส่วนผสมของตะไคร้ น้ำมะนาวน้ำโซดา รสชาติออกเปรี้ยวหอมกลิ่นเครื่องต้มยำ เรียกความสดชื่นขึ้นมาได้ทันตาเห็น นอกจากนี้ยังเสิร์ฟของว่าง 3 อย่างที่ล้วนเป็นอาหารไทยโบราณ คือ ม้าฮ่อ ปลาแห้งแตงโม ปอเปี๊ยะกุ้ง และข้าวฟูปลาฟู เมนูนี้พิเศษตรงที่ใช้ข้าวหอมมะลิแดงที่เชฟวิชิตลงมือปลูกเอง
จากนั้นเชฟจะเชิญแขกเข้าไปในครัวซึ่งมีห้องพิเศษที่เตรียมสำหรับ Chef's Table เอาไว้ ซึ่งภายในนอกจากจัดโต๊ะอาหารสำหรับ 8 ที่นั่งแล้ว ยังมีครัวเปิดที่แขกทุกคนจะเห็นเชฟทำอาหารได้อย่างใกล้ชิด
เสิร์ฟเมนูแรกด้วย กุ้งทอดผิวส้มซ่าคลุกกับข้าวหอมมะลิแดงฟู ใช้กุ้งทะเลตัวใหญ่ชุบแป้งบาง ๆ ทอดพอสุก นำไปคลุกับข้าวหอมแดงที่ทอดฟูกรอบ จากนั้นเหยาะซอสมะขามให้รสเปรี้ยวหวาน แต่งหน้าด้วยผักชีและแครอท จากนั้นเชฟก็หันไปสาละวนกันเมนูที่สองพร้อมกับพูดคุยและตอบคำถามของแขกเรื่องการทำอาหารไปด้วย
จานที่สองเป็น ปูจ๋า แต่หน้าตาคล้ายทอดมันกุ้งมากกว่า จานนี้ใช้เนื้อปูและเนื้อไก่บดผสมกะทิเพื่อให้เนื้อนุ่ม นำไปทอดในน้ำมันร้อน เสิร์ฟบนจานละ 2 ชิ้น มีอาจาดมาให้กินแกล้มกับปูจ๋า และมีกระเทียมเม็ดโตแกะเป็นดอกจำปีประดับอย่างสวยงาม
จากนั้นจึงคั่นด้วย เชอร์เบทต้มยำ เพื่อล้างปากก่อนที่จะเดินหน้าต่อสำหรับอาหารจานที่สามคือ เป็ดอบตะไคร้กรอบน้ำมะขาม ซึ่งใช้เป็ดย่างมาทอดกับตะไคร้ให้พอกรอบราดด้วยซอสมะขาม เสิร์ฟกับแองเจลแฮร์หรือสปาเก็ตตี้เส้นผมที่ลวกให้สุกคลุกเคล้ากับสมุนไพรสด เนื้อเป็ดนุ่มได้ซอสเปรี้ยวมาช่วยดับกลิ่นสาบเป็ดได้รสชาติหวานอร่อย
จานต่อมาเป็น ต้มยำปลาเก๋าน้ำใส รสชาติจัดจ้านกลมกล่อมแต่ไม่เผ็ดมากนัก ต่อจากนั้นเชฟและผู้ช่วยอีก 2 คนก็ไปจัดการผ่ากุ้งแม่น้ำตัวโตเพื่อนำไปนึ่งสำหรับเมนู กุ้งนึ่งพริกสดมะนาวไข่ขาว จานนี้เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย ดูน่ากินมากเพราะกุ้งแม่น้ำนึ่งสุกเนื้อขาวจั๊วะ ตรงส่วนมันกุ้งสีส้มสด ราดด้วยน้ำยำให้รสชาติแซบเหลือหลาย
เมนคอร์สเป็น เนื้อแกะย่างกับใบสะระแหน่ ราดซอสสะเดาน้ำปลาหวาน มีผักแกล้มเป็นดอกโสนผัดน้ำปลา กินกับข้าวหอมมะลิแดงของเชฟวิชิตที่เนื้อนุ่มหนึบ ๆ อร่อยจนกินเกลี้ยงจาน
ปิดท้ายด้วยเมนคอร์สอีกจานเป็น ปลาหิมะตุ๋นกับนมข้าว ซึ่งก็คือข้าวเดือน 5 ที่เปลือกยังสีเขียวทำเหมือนข้าวต้มที่หุงกับน้ำสต็อกปลา ได้เนื้อข้าวต้มที่เหนียวข้น โรยหน้าด้วยขิงซอยทอดกรอบ เพื่อดับคาวปลา จานนี้ก็อร่อยอีกแล้ว
ส่วน ขนมหวานเป็นถั่วแปบ เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมข้าวหอมมะลิแดงรสชาติหอมเย็นชื่นใจ
ตอนนี้ Chef's Table เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการมาเดือนกว่าแล้ว ซึ่งมีลูกค้าทั้งชาวเอเชียและฝรั่งแห่มาจองแน่นมาก และผลตอบรับดีมากเพราะลูกค้าทุกคนประทับใจกับอาหารไทยพร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่าจะกลันบมาอีก
ใครสนใจจะลิ้มลอง Chef's Table บ้างจะต้องสั่งจองล่วงหน้าหนึ่งวัน มีให้เลือก 6 คอร์สราคา คนละ 2,900 บาท++ หรือ 8 คอร์ส ราคาคนละ 3,900 บาท++ โทร.จองที่02-656-9000 ต่อ 7330
Text by : ปราณ ชีวิน
อ่านเพิ่มเติม " เชฟวิชิต แห่งรร.โอเรียนเต็ลปลูกข้าวกินเอง "