หากคนสองคนตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความรักความเข้าใจ และทำชีวิตคู่ให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว เชื่อว่าไม่มีอะไรที่จะมาทำให้คนสองคนแยกออกจากกันได้ เฉกเช่นความรักของ เกรซ มหาดำรงค์กุล และ โน้ต-น.ท.จงเจต วัชรานันท์
แม้จะไม่มีข่าวระแคะระคายมาก่อนถึงความรักของเกรซและโน้ต แต่เมื่อทั้งสองจูงมือกันออกมาประกาศจัดงานแต่งงานเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ทำเอาคนรอบข้างที่รู้จักทั้งสองคนต่างประหลาดใจที่ทั้งคู่สามารถเก็บความลับไว้ได้อย่างเงียบเชียบ แต่ทุกคนก็แสดงความดีใจเพราะเห็นว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก
และแม้จะเหน็ดเหนื่อยกับงานฉลองแต่งงานที่เพิ่งผ่านพ้นไปได้ไม่นาน แต่ด้วยความเป็นกันเอง สบายๆตามสไตล์เกรซและโน๊ตทั้งคู่จึงยอมเปิดประตูห้องทำงานให้เราได้พูดคุยเรื่องราวความรักที่น่าประทับใจอย่างเป็นกันเอง
เกรซ มหาดำรงค์กุล ถือเป็นไฮโซน้ำดี เป็นเวิร์กกิ้งวูแมนที่ประสบความสำเร็จทั้งงานพิธีกร นักแสดง เป็นคนงามที่เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ ขณะที่ฝ่ายชายเป็นนายทหารหนุ่มอนาคตไกลแห่งกองทัพอากาศไทยและมีผลงานการแสดงทั้งทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์รวมทั้งเป็นนายแบบโฆษณาสินค้าด้วย
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อาจจะดูไม่หวือหวาเหมือนคู่อื่น เพราะทั้งคู่เริ่มต้นมาจากคำว่า “เพื่อน” ก่อน โดยคบหากันมานานกว่า 8 ปี และเพราะความเป็นเพื่อนนี่เองจึงทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักตัวตนของกันและกันอย่างเปิดเผย
"จริงๆแล้วเกรซ กับโน้ตนี่รู้จักกันมานานมากแล้วนะคะ คุณพ่อของพี่ปูเป้ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเกรซกับคุณพ่อของโน้ตเป็นตำรวจที่เรียกได้ว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทกันมาก..แต่ตัวเกรซเองก็มีแฟนอยู่แล้วในช่วงนั้น และคุณโน้ตเองก็มีแฟนเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างเห็นกันและกันมาโดยตลอด" เกรซเล่าด้วยรอยยิ้มเมื่อหวนกลับไปถึงตอนเริ่มต้นที่ได้รู้จักกับโน้ต
ส่วนโน้ตที่นั่งยิ้มข้างสาวเกรซ กล่าวเสริมว่า "ผมกับเกรซเป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เราเริ่มรู้จักกันในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวร เกรซรับบทเป็นสมเด็จพระสุพรรณกัลยา ส่วนผมเป็น จินหน่องอุปราชแห่งเมืองตองอู แต่ว่าไม่เคยได้เข้าฉากพร้อมกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวเลยนะครับ"
แม้จะไม่ได้เข้าฉากพร้อมกัน แต่ด้วยความที่เกรซเข้ากับคนง่ายมีเพื่อนฝูงเยอะ ขณะที่ฝ่ายหนุ่มโน้ตเองก็เพิ่งเลิกกับแฟน ดังนั้น โน้ตจึงกลายมาเป็นเพื่อนใหม่ของเกรซโดยปริยาย "เรามาสนิทกันข้างนอกมากกว่าค่ะ เพราะทุกคนในกองฯไม่ว่าผู้พันเบิร์ด หรือ ว่าปีเตอร์ นพชัย ชัยนาม พวกนี้เค้าจะเรียกเกรซว่า หัวหน้า พอวันไหนเลิกกองถ่ายเสร็จพวกนั้นก็จะมาหาเกรซแล้ว ...มาถามว่าวันนี้ไปไหนกันดีครับหัวหน้า อะไรแบบนี้"
โน้ตเล่าเสริมถึงอดีตเมื่อครั้งที่ทั้ง 2 คนยังคงเป็นเพื่อนร่วมก๊วนอย่างอารมณ์ดี "ผมเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยน่ะครับ ก็ไปไหนไปกันหมดทั้งกลุ่มโดยมีเกรซเป็นหัวหน้า บางทีเกรซไปเมืองนอกมา มักจะหอบขนมมาฝากคนในกองฯบ่อยผมเลยมีโอกาสได้ทานขนมอร่อยของเกรซอยู่เสมอ"
การเริ่มต้นจากเพื่อนแล้วมาพัฒนาความรู้สึกพิเศษเกินเพื่อนของทั้งคู่เกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น ทั้งเกรซและโน้ตบอกไม่รู้ตัวเลย เพราะช่วงที่รู้จักกันตอนนั้นทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างก็มีแฟนอยู่แล้ว
ต่อมาโน้ตเลิกกับแฟน ทำให้เขากลับมาติดเพื่อน โดยเฉพาะเพื่อนที่ชื่อเกรซนั้นไปไหนก็ไปด้วย ดังนั้น ทุกครั้งที่เกรซเข้าฉากเพื่อนหนุ่ม-สาวที่รวม “โน้ต” ด้วย ก็จะพากันมาเยี่ยมเกรซที่เป็นหัวหน้าแก๊งตลอดทุกครั้งนั่นเอง
“วันไหนที่เกรซเข้าฉาก จะมีน้องๆนักแสดงผู้หญิงที่เข้าฉากกับเกรซหลายคน พวกนี้เค้าจะแต่งเป็นชาวพม่าแต่ละคนสวยๆค่ะ หนุ่มๆพวกนี้เค้าก็จะมากันแล้ว มาแอบดู บอกว่ามาเยี่ยมมาให้กำลังใจพี่เกรซ แต่ที่ไหนได้ในมือแต่ละคนก็จะมีกล้องถ่ายภาพติดมือมาด้วย เราก็รู้แล้วว่ามาแอบดูสาวแล้วบอกมาให้กำลังใจเกรซ อย่างโน้ตนี่เกรซเห็นเขามีแฟน จนเค้าเลิกกัน เค้าก็เห็นว่าเกรซเองก็มีแฟน แถมบางทีเกรซนัดกับหนุ่มไว้เขาก็ยังขอติดรถมาด้วยซะอีก จนเกรซนึกในใจว่าตามมาทำไมก็ไม่รู้ เกะกะชั้นมากเลย" ไฮโซสาวเล่าเรื่องราวในกองถ่ายแบบขำๆ
มาถึงตอนนี้คุณโน้ตรีบกล่าวเสริมว่า "จริงๆแล้วนี่ขอติดรถไปเฉยๆนะครับ เพื่อที่จะไปเจอสาว ตอนนั้นผมก็เลิกกับแฟนแล้ว เพื่อนๆเลยชอบแนะนำสาวๆให้น่ะครับ"
จากคำว่า “เพื่อน” ร่วมแก๊งเฮฮากันมา ต่างฝ่ายต่างช่วยกันหาแฟนให้เพื่อน จนกลายเป็นความสนิทสนมแบบที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว ว่าเปลี่ยนใจปิ๊งเป็นแฟนกันตอนไหนนั้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปโดยหนุ่มโน้ตสารภาพว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่งเกรซไปต่างประเทศ แล้วเล่นบีบีถามเกรซว่ากำลังทำอะไรอยู่ ด้วยความที่เกรซเค้าเป็นคนตลกๆ ครั้งนั้นไม่ตอบแต่ส่งภาพมา ผมชอบนะ ผมดูและก็ใช้ภาพเค้าภาพนั้นเป็นหน้าจอโทรศัพท์เลย”
ไฮโซสาวยังเล่าอีกว่า เมื่อเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนมาเป็นแฟนแล้ว ด้วยความที่เกรซมีความเป็นส่วนตัวสูงจึงบอกกับโน้ตว่าเราไม่ต้องตัวติดกันมาก “คือเกรซคิดว่าการที่เราคบกันไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา เราควรมีระยะห่างกันบ้าง เพราะเกรซเองก็ชอบที่จะอยู่คนเดียว ยอมรับว่ามีโลกส่วนตัวสูง ส่วนโน้ตเองเค้าก็ต้องทำงาน พอมีเวลาว่างเค้าก็ชอบถ่ายรูป ซึ่งตรงนี้เราให้เป็นอิสระกันและกัน"
ด้านโน้ตเองก็ยอมรับว่ารู้สึกแปลกที่ทั้งสองคนจะต้องเว้นระยะห่างกันบ้าง แต่ทั้งคู่ก็พยายามปรับกันไปที่ละนิด ตอนคบกันเป็นแฟนเลยไม่มีใครรู้เพราะเวลาไปเที่ยวก็ไปกันเป็นกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ทั้งสองคนจะตกลงใจใช้ชีวิตคู่ เกรซบอกว่า “ช่วงเวลาปีกว่าที่ผ่านมาหลังจากที่เราทั้งคู่ไม่มีใครเราก็เริ่มที่จะคุยกันมากขึ้น มีบางอย่างที่เราเห็นอะไรคล้ายๆกัน ...เราไม่อยากอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้วที่สำคัญคือเราคิดว่าเราอยากสร้างครอบครัว อยากมีลูกเราคุยเรื่องนี้บ่อยขึ้น จนคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วล่ะ แต่เราก็ไม่กล้าบอกใคร คือเกรซก็ยอมรับว่าอายๆ เพราะคือความที่เราเป็นเพื่อนกันไงคะ"
เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้แล้ว ทั้งเกรซและโน้ตก็วางแผนแต่งงานกันแบบเงียบๆและเรียบง่ายเพราะฝ่ายสาวยังไม่อยากให้ใครรู้และไม่อยากให้มีพิธีอะไรที่ยุ่งยาก “ตอนเตรียมงานเหนื่อยมาก ยิ่งตอนจะแจกการ์ดเรียนเชิญท่านมุ้ยเกรซยังอายเลย พอไปกราบเรียนเชิญท่าน ท่านก็อมยิ้ม”
สำหรับอนาคตชีวิตคู่ หลังจากนี้ทั้งเกรซและโน้ตตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “อยากมีลูก คือแต่งงานแล้วเรามีครอบครัวก็อยากมีลูกค่ะเกรซก็ปรึกษาแพทย์ด้วย ใครว่าอะไรดีก็ทำหมด เกรซนับถือคริสต์ แต่พอเพื่อนแนะนำให้ไหว้ขอพรพระเราก็ไป คือที่ไหนใครว่าดีเราก็ไหว้ขอหมด”
เนื่องในช่วงวาเลนไทน์อันเป็นเทศกาลแห่งความรักเราได้ขอให้ เกรซและโน้ต แนะเคล็ดลับการใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุขแก่คู่รักอื่นๆ บ้าง
“จริงๆ แล้วเกรซไม่กล้าแนะนำใครไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่เกรซกับโน้ตคือเราก็โตๆ กันแล้ว ได้เห็นชีวิตคู่ของหลายคน เห็นงานแต่งงานที่ใหญ่โต มีคำมั่นสัญญา แต่สุดท้ายบางคู่ก็อย่างที่เห็นๆ อันนี้เกรซกับโน้ตคือเราไม่มีสัญญาแต่ขอทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้เกียรติกัน มีอะไรค่อยๆ พูดคุยกัน อย่าไปคิดอะไรที่มันไม่ดีไปก่อนดีกว่า” ไฮโซสาว เกรซ มหาดำรงค์กุล และน.ท.จงเจตกล่าวทิ้งท้าย
จากหญิงสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง มีโลกส่วนตัว มีความแข็งแรงซ่อนอยู่ในความหวาน ขณะที่น.ท.จงเจต วัชรานันท์ นายทหารที่มีความเป็นศิลปินอยู่ในตัวเอง ทั้งคู่ดูเหมือนจะมีความสุข ด้วยเกียรติยศ หน้าที่ทางการงาน และฐานะทางสังคม
แต่ลึกๆ ในใจของทั้งคู่นั้น ต่างก็มองหาใครสักคนที่จะมาอยู่เคียงข้างเราตลอดไป ทั้งยามสุข ยามทุกข์และแล้วในที่สุดทั้งคู่ก็หากันจนเจอ ทั้งสองเดินเข้ามาในชีวิตเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกันเหมือนดังที่ท่อนหนึ่งของเพลงThe Wedding song ที่ขับขานในคืนวันวิวาห์ของทั้งสองคนในวันนั้น
...You by my side
that's how I see us
I close my eyes
and I can see us
we're on our way to say "I do"
my secret dreams have all come true..
+