ณ. เวลานี้ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ตั๊น-จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกตัวแรงเป็นแกนนำของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะในโลกสังคมออนไลน์ เพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านกลุ่มนิติราษฎร์ คัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า “การออกมาครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคต้นสังกัด แต่ออกมาด้วยใจเทิดทูนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
ด้วยความรักชาติและสถาบันกษัตริย์ ซึ่งทางครอบครัวได้ปลูกฝังไว้ตั้งแต่เล็กๆ จนกลายเป็นความฝันที่เธออยากเห็นเมืองไทยพัฒนา เธอปฏิเสธการเป็นดาราดังหรือเซเลบออกงานไฮโซ เพื่อก้าวเข้าสู่วงการการเมืองอย่างเต็มตัวด้วยวัยเพียง 20 ต้นๆ จนถึงตอนนี้ ตั๊น ในวัย 26 ปี ทายาทคนโต ของ จุตินันท์ และคุณหญิงต้น-หม่อมหลวงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี ได้เรียนรู้งานการเมืองและเริ่มต้นสานฝันในการช่วยเหลือสังคมของตัวเองอย่างเต็มกำลัง
แม้หลายคนเคยปรามาสว่า เธอได้ครอบครัวเป็นแบคอัพ แต่ด้วยความตั้งใจที่อยากพัฒนาประเทศ ภาพหญิงสาวตัวเล็กๆ บวกกับเสียงใสๆ ที่คอยทักทายชาวบ้านในเขตดุสิตและราชเทวี ที่เธอรับผิดชอบ จึงแสดงให้เห็นเจตจำนงของเธอได้เป็นอย่างดี
“แม้จะพลาดจากการเป็น ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ตั๊นก็ลงพื้นที่ทุกวัน ไปเข้าร่วมงานบุญ งานศพ งานรื่นเริงต่างๆ ตอนช่วงมหาอุทกภัยที่ผ่านมา ก็ได้ลงพื้นที่เขตดุสิต ไปเปิดครัวชาวใต้ในหน่วยทหาร ร.1 พัน 3 โดยชวนแม่บ้านของกองทัพ มาทำกับข้าวส่งให้ทหารทุกวัน เป็นเวลาหนึ่งเดือนค่ะ ตั๊นคิดว่าในช่วงวิกฤติ เราก็ยังมีโอกาสได้เห็นความร่วมมือร่วมใจ และเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยค่ะ”
หลังจากบ่มเพาะประสบการณ์ในเมืองผู้ดีตั้งแต่ 9 ขวบ จนจบปริญญาตรี คณะภูมิศาสตร์ จากคิงส์คอลเลจ และปริญญาโทด้านกฎหมาย จาก รีเจนท์ส คอลเลจ ประเทศอังกฤษ รวมถึงประสบการณ์ในบริษัทชื่อดังหลายแห่งในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็น Blue UIR Advertising, Orange (True move), Christian Dior และขณะนี้ สาวตั๊นกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ประสบการณ์ในรั้วการศึกษาและการฝึกงาน คงไม่ท้าทายเท่าประสบการณ์การเมืองที่แท้จริงในสภาฯ ที่เธอได้รับ
การเข้ามาทำงานในตำแหน่งทางการเมือง ด้วยวัยเพียง 23 ปี ในตำแหน่งประจำสำนักนายกฯ โดยมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยโฆษกพรรคฯ แถมยังพ่วงนามสกุลดัง มีหรือที่สาวตั๊นจะไม่ถูกจับตามอง โดยเฉพาะ บรรดากระจอกข่าวที่มุ่งเป้าสนใจไปที่เธอเป็นพิเศษ และชื่อของตั๊นก็ดังเป็นพลุแตก เมื่อทุกสื่อตีข่าวสาวตั๊นแจกฏิทินลีโอสุดวาบหวิวประจำปี 2553 ที่กำลังมีปัญหาทางกฎหมายในขณะนั้นในสภาฯ
“ตอนนั้นตกใจมากกว่าค่ะ ตกใจว่าคนให้ความสำคัญกับเรามากขนาดนี้เลยเหรอ แต่ด้วยสถานที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้และระวังตัวมากขึ้น โดยเฉพาะ กับสถานที่ทางราชการด้วย ตั๊นก็เลยแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งประจำสำนักนายกฯ ค่ะ”
แต่ปัญหาและอุปสรรคก็ไม่ทำให้สาวตั๊นถอดใจ หลังจากนั้น เธอได้เข้าทำงานเป็นเลขาธิการรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที และด้วยตำแหน่งนี้ ทำให้เธอได้เรียนรู้และมีส่วนร่วมในการทำงาน ในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ที่แท้จริง “ตั๊นมีโอกาสได้คิดได้ทำโปรเจกต์ต์ต่างๆ อย่างที่ผ่านมา ก็ได้เริ่มต้นทำเว็บไซต์ถวายพระพรออนไลน์ www.welovekingonline.com ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ภูมิใจมาก เพราะได้ลงมือทำด้วยตัวเองค่ะ”
นอกจากเว็บไซต์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ตั๊นได้เรียนรู้จากการทำงานกับกระทรวงคือ “ระบบราชการ” ซึ่งคนภายนอกอาจมองว่า ระบบราชการไทย “ห่วย” แต่นักการเมืองรุ่นใหม่คนนี้ กลับมองลึกไปถึงสาเหตุหลักของปัญหาที่แท้จริงเหล่านั้น
“ตั๊นรู้สึกเห็นใจข้าราชการเมืองไทยนะคะ ทุกวันนี้ ทุกคนก็ทำหน้าที่กันอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ปัญหาหลักคือ มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรก พอเปลี่ยนขั้วรัฐบาลทีไรก็มีปัญหาทุกครั้ง ข้าราชการ โดยเฉพาะ ปลัดกระทรวง ก็ต้องถูกย้ายบ้าง หรือต้องแบ่งขั้วเลือกข้างเพื่อให้ได้ตำแหน่งตามไปด้วย เหตุนี้ประเทศจึงต้องย่ำอยู่ที่เดิม จึงอยากให้ระบบราชการมีอิสระเพิ่มขึ้น โดยภาคการเมืองไม่มาก้าวก่าย เพียงแค่วางนโยบายแล้วให้ทางราชการดำเนินงานจัดการกันเองค่ะ”
สาวตั๊นกล่าวเสริมว่า “โครงการต่างๆ ที่ดีอยู่แล้วของรัฐบาลเดิม ควรถูกสานต่อค่ะ โดยเฉพาะ ด้านการศึกษา ซึ่งมันอาจไม่เห็นผลแค่เพียงปีหรือสองปี แต่ต้องใช้เวลาในระยะยาว อย่างที่ผ่านมา เด็กเข้าใจและตั้งใจเรียนกับระบบนี้ พอ 2 ปีผ่านไป อ้าว! เปลี่ยนอีกแล้ว เด็กงงค่ะ เมื่อผู้ใหญ่ยังเดินสะเปะสะปะกันแบบนี้ จะวางเส้นทางความรู้ให้เด็กเดินจนถึงเป้าหมายคงยากค่ะ”
ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงจุดหนึ่ง ที่สาวตั๊นได้เรียนรู้ในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองในช่วงเวลาไม่กี่ปี แต่ปัญหาใหญ่อย่างการแบ่งฝ่ายแบ่งสีของประชาชน ทำให้เส้นทางการเมืองของเธอไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เหมือนนักการเมืองยุคก่อนๆ แต่กระนั้นก็ตาม เธอยังเชื่อว่า แรงพลังจากคลื่นลูกใหม่ ยังเป็นพลังที่จะสร้างสรรค์ให้การเมืองไทยดีขึ้นได้ในอนาคต
“ถามว่าท้อกับเรื่องแบ่งขั้วแบ่งสีไหม คงตอบว่าไม่ท้อค่ะ แต่กลับอยากทำงานจริงจังขึ้น เพื่อให้ประเทศเดินหน้าค่ะ อยากให้คนไทยกลับมาสามัคคีกันเหมือนเมื่อก่อน ซึ่ง ณ จุดนี้ คงเป็นไปได้ยากค่ะ โดยเฉพาะ เรื่องสมานฉันท์ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่นะคะ ตั๊นคิดว่า เมื่อพรรคการเมืองสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อนาคตการเมืองไทยก็น่าจะเปลี่ยนแปลงไป บางทีพวกเราอาจจะเห็นว่า ถึงเวลาที่เราจะเลิกเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนรวมกันได้แล้ว ตั๊นรอให้ถึงวันนั้นค่ะ วันที่เราจะมีรอยยิ้มร่วมกัน และกลับมารักใคร่ปรองดองกันอีกครั้ง”
เส้นทางบนสายการเมืองของนักการเมืองรุ่นใหม่คนนี้ ยังอีกยาวไกล โดยเฉพาะ การก้าวเข้าสู่ตำแหน่งที่เธอใฝ่ฝันตั้งแต่เล็กๆ ว่า อยากเป็น “นายกรัฐมนตรีหญิง” และในขณะนี้ เธอก็มีโอกาสได้เห็นบทบาทของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยแล้ว สิ่งหนึ่งที่ตั๊นอยากฝากบอกไปถึงท่านนายกฯ คือ “รู้สึกดีใจที่ประเทศไทยเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้มาเป็นผู้นำ ในเมื่อได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกมาแล้ว ก็ไม่อยากให้ท่านทำให้ผู้หญิงอย่างเราที่เป็นนักการเมืองอาชีพต้องผิดหวังค่ะ”
คุณสมบัติหลักของการเป็นนักการเมืองที่ดีก็คือ การรู้หน้าที่ รู้จักรับผิดชอบ และซื่อสัตย์ ไม่คอร์รัปชัน แม้ตั๊นจะออกตัวว่า คงเห็นได้ยากจากนักการเมืองไทย แต่หากนักการเมืองรุ่นใหม่ จะเริ่มต้นทำมันอย่างจริงจัง เราคงเห็นอนาคตเมืองไทยที่สดใสในไม่ช้า…